เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วง สงครามฝรั่งเศส – อินเดียน หรือ French – Indian War นั้นเองครับ โดยเป็นความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศส – อังกฤษ ซึ่งกำลังแข่งกันสร้างอิทธิพลกันในทวีป อเมริกาเหนือ (เอาจริงๆสงครามนี้เป็นสงครามย่อยในสงคราม 7 ปี) และทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ดึง เหล่าชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองมาเป็นพันธมิตรด้วย .. การรบในสงครามนี้จะไม่ใช่การรบสเกลใหญ่แบบในยุโรป ที่กองทัพหมื่นรบกันพันตู ปืนใหญ่ ยิงกันบึ้มๆ น่ะครับ เนื่องด้วยภูมิประเทศที่เป็นป่า เขา ลำเนาไพร ทำให้การรบส่วนใหญ่จะเป็นการรบปิดล้อมป้อม ไม่ก็ยิงกันเปาะแปะๆตามป่าซะมากกว่าครับ และเหตุการณ์ที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่าทำให้กองทัพอังกฤษนั้นขายขี้หน้าเชียวครับ เหตุการณ์นี้คือ การยุทธแห่ง Monongahela
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1754 พลตรี Edward Braddock ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในอเมริกาเหนือ (ตำแหน่งนี้ถูกตั้งขึ้นในช่วง สงคราม 7 ปี และคนรับตำแหน่งนี้คนแรกก็คือ Braddock นั้นเอง)โดย Braddock นั้นเป็นนายทหารชั้นสูง และมีประสบการณ์รบในยุโรปมายาวนาน แต่ประสบการณ์ของเขานั้นใช่ไม่ได้กับที่นี่ .. เมื่อเดินทางมาถึง อเมริกา เขาก็ได้เกณฑ์เหล่าชาวอาณานิคมมาเป็นทหาร ซึ่ง 1 ในนั้นก็มี พันเอก George Washington ด้วย ทางอังกฤษนั้นมีแผนการจะเข้าตี ป้อม Duquesne (ปัจจุบันอยู่ใน Pennsylvania) ซึ่งเป็นป้อมที่มีกองกำลังของ ฝรั่งเศส ตั้งอยู่ เพื่อให้อังกฤษสามารถเข้าไปควบคุมเขต Ohio ได้หมด แต่ป้อมที่ว่านี้ก็ตั้งลึกเข้าในป่า Braddock เลยมีความคิดว่าจะทำ Campaign ระยะยาวเลยทีเดียว เขาก็ลงทุนรวบรวมเสบียงและเกวียนมากมายมาขนเสบียงสำหรับการทำศึกล้อมป้อม นอกจากนี้ยังสั่งให้เหล่าทหารช่วยกันถางป่าทำถนนให้กองทัพเดินอีกด้วย เรียกว่าเอิกเกริกเลยทีเดียวครับ โดยเรียกการเดินทัพครั้งนี้ว่า “การเดินทางของ Braddock” และมันเป็นระยะทางทั้งสิ้นกว่า 110 ไมล์ เลยทีเดียว!! มันเริ่มขึ้นเมื่อตอนเดือน มีนาคม ค.ศ. 1755 โดย Braddock มีกำลังทั้งสิ้นราวๆ 2,200 นาย เป็น ทั้งทหารเชิ้ตแดงประจำการและกองกำลังอาณานิคม ... การกระทำของ Braddock นั้นแม้จะล่าช้า แต่เน้นความชัวร์มากกว่าเพราะเขาไม่ถนัดเคลื่อนทัพกระจายไปตามภูมิประเทศที่ตนเองไม่รู้จัก.. จนกระทั่ง 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1755 ความพยายามของใกล้เป็นจริงเมื่อ พวกเขาข้ามแม่น้ำ Monongahela และเดินทางตะวันออกไปอีก 2 ไมล์ พวกเขาก็ได้สร้างหมู่บ้าน Frazier ขึ้นเป็นหมู่บ้านชั่วคราว ในตอนนี้หากเดินทัพเลียบแม่น้ำไปก็จะเหลือระยะทางเพียง 7 ไมล์ เท่านั้นก็จะถึง ป้อม Duquesne!!
Braddock ไม่รอช้าในการเข้าโจมตีป้อม ในเวลาบ่ายโมงตรงของวันนั้นเขาก็ได้เคลื่อนกำลังพลกว่า 1,300 นายตรงไปยัง ป้อม ป้อม Duquesne กองกำลังของอังกฤษนั้นเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัย ประกอบด้วยกรมทหารราบ Grenadier ที่ 44 และ 48 และยังมี กองกำลังอาณานิคม ร่วมอยู่ด้วย...ในขณะที่กองกำลังของฝรั่งเศสนั้น มี กองกำลัง troupes de la Marine หรือ ฝรั่งเศสโพ้นทะเลราวๆ 108 นาย กองกำลังอาณานิคม 137 นาย และ นักรบอินเดียนแดง 600 กว่านาย รวมทั้งสิ้น 800 กว่า นับว่าน้อยกว่ากำลังของฝั่งอังกฤษมาก Daniel Hyacinthe Liénard de Beaujeu ผู้บัญชาการทหารในป้อม มีความคิดว่าเข้าควรนำกำลังไปดักซุ่ม กองทัพของอังกฤษก่อนจะเข้าปิดล้อมค่าย ความจริง Beaujeu นั้น ทราบการเคลื่อนไหวของฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ตอนกำลังข้ามแม่น้ำ Monongahela มาแล้วจากเหล่า อินเดียนแดงที่ออกไปลาดตระเวนหาข่าว แต่กว่าเขาจะทราบเรื่องก็ช้าเกินไปกว่าที่ฝรั่งเศสจะสกัดการข้ามแม่น้ำ.... ในตอนนี้กำลังผสม ฝรั่งเศส – อินเดียนแดง ราวๆ 891 นาย เคลื่อนออกมาจากป้อม ปล่อยให้ป้อมนั้นว่างเปล่า จนส่วนที่กำลังที่ล่วงหน้าของอังกฤษนั้น ได้สังเกตการณ์ตำแหน่งของป้อม และก็พบว่าป้อมนั้นไม่มีการดำเนินกิจกรรมใดๆเลยเหมือนถูกทิ้งร้างไว้อย่างนั้น... สิ่งนี้ยิ่งทำให้อังกฤษได้ใจและรีบเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่าป้อมไร้การป้องกันแล้ว.........

เส้นทางการเดินทัพของ Braddock
แต่ทันใดนั้น พันโท Thomas Gage พร้อมกับกำลังล่วงหน้าราวๆ 300 นายได้เดินมาถึงจุดซุ่มโจมตี ไม่รอช้า ฝรั่งเศส และ อินเดียนแดง เปิดฉากยิงใส่ทหารอังกฤษทันที ยังไม่ทันทีพวกเขาจะตั้งตัวด้วยซ้ำ ทหารอังกฤษล้มตายจำนวนมากทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหน.... มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ และ ควันจากดินปืน แต่ดูเหมือนจะเกิด Lucky Shoot เมื่ออยู่ดีๆมีกระสุนนัดหนึ่งพุ่งเข้าสังหาร Beaujeu ผู้บัญชาการกองกำลังฝรั่งเศส – อินเดียนแดง จนเสียชีวิต แต่ผู้กอง Jean-Daniel Dumas ก็ยังคงนำกองกำลังสู้ต่อไม่ถอย เมื่อนายพล Braddock ทราบ เรื่องเขารีบนำกำลังส่วนที่เหลือเข้าต่อสู้ด้วยทันที Braddock นั้นพยายามสั่งให้ทหารอยู่ในแถวและจัดระเบียบใหม่ เช่นที่ทำกันในยุโรป เขาเชื่อว่า ด้วยระเบียบวินัยอันแข็งแกร่งของอังกฤษจะพิชิตข้าศึกได้ แต่นั้นยิ่งทำให้เสียเวลาและกลายเป็นเป้าง่ายขึ้นเมื่อทหารรวมกันเป็นกลุ่มๆก้อนๆ ในตอนนี้ ทหารอังกฤษต่างยิงปืนออกไปโดยไม่รู้เป้าหมาย บ้างยิงกันเองก็มี จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายเริ่มมากขึ้น จนกระทั่งผ่านไป 3 ชั่วโมง Braddock ถูกยิงเข้าที่ปอดและร่วงตกจากหลังม้า ...... เมื่อเป็นเช่นนี้ทหารอังกฤษเริ่มเสียขวัญและแตกแถวหนีไปอย่างไร้ระเบียบ เปิดช่องให้ เหล่านักรบอินเดียนแดงซึ่งเก่งในการสู้ระยะประชิดวิ่งเข้าตะลุมบอล....พวกเขาใช้ขวานและมีดสั้นไล่สับทหารอังกฤษที่กำลังเสียขวัญ นอกจากนี้ยัง ถลกหนังหัวพวกเขาอีกตะหาก...ถึงแม้ พันเอก George Washington จะไม่มีสายการบัญชาที่คุมทหารอังกฤษ แต่เขานั้นก็ควบคุมกองกำลังที่กำลังเสียขวัญหนีข้ามแม่น้ำไปได้สำเร็จ รวมถึงตัวนายพล Braddock ที่บาดเจ็บสาหัสนอนหายใจโรยรินอีกด้วย และเขาก็เสียชีวิตในอีกไม่นานให้หลัง กองทัพอังกฤษนั้นถอยอย่างเป็นระเบียบไปตามถนนที่พวกเขา สร้างไว้ ทำให้กองกำลังฝรั่งเศส – อินเดียนแดงไม่ไล่ตาม แต่พวกเขาหันมาจัดการกับเหล่าผู้บาดเจ็บที่เหลือรอดแทน ส่วนใหญ่ก็โดนถลกหนังหัวโดยอินเดียนแดงไปตามระเบียบ และมีรายงานว่ามีทหารอังกฤษ 12 คนโดนเผาทั้งเป็น

พลตรี Edward Braddock ขณะโดนยิงจนบาดเจ็บสาหัส สังเกตุได้ว่า การโจมตีของ ฝรั่งเศส - อินเดียน นั้น มาจากป่าทุกทิศทุกทาง
สรุปความสูญเสีย กองกำลังอังกฤษเสียชีวิต 457 นาย รวมถึง นายพล Braddock บาดเจ็บอีก 450 นาย ส่วนฝรั่งเศส – อินเดียน นั้น ตายแค่ประมาณ 30 และบาดเจ็บ 57 นายเท่านั้น นับว่าเป็นหายนะทางการทหารของอังกฤษก็ว่าได้ และทำให้พวกเขาไปปรับปรุงและคิดกลยุทธ์วิธีรับมือกับสงครามรูปแบบนี้ในอนาคต
Battle of the Monongahela หายนะของเหล่าเชิ้ตแดง
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1754 พลตรี Edward Braddock ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในอเมริกาเหนือ (ตำแหน่งนี้ถูกตั้งขึ้นในช่วง สงคราม 7 ปี และคนรับตำแหน่งนี้คนแรกก็คือ Braddock นั้นเอง)โดย Braddock นั้นเป็นนายทหารชั้นสูง และมีประสบการณ์รบในยุโรปมายาวนาน แต่ประสบการณ์ของเขานั้นใช่ไม่ได้กับที่นี่ .. เมื่อเดินทางมาถึง อเมริกา เขาก็ได้เกณฑ์เหล่าชาวอาณานิคมมาเป็นทหาร ซึ่ง 1 ในนั้นก็มี พันเอก George Washington ด้วย ทางอังกฤษนั้นมีแผนการจะเข้าตี ป้อม Duquesne (ปัจจุบันอยู่ใน Pennsylvania) ซึ่งเป็นป้อมที่มีกองกำลังของ ฝรั่งเศส ตั้งอยู่ เพื่อให้อังกฤษสามารถเข้าไปควบคุมเขต Ohio ได้หมด แต่ป้อมที่ว่านี้ก็ตั้งลึกเข้าในป่า Braddock เลยมีความคิดว่าจะทำ Campaign ระยะยาวเลยทีเดียว เขาก็ลงทุนรวบรวมเสบียงและเกวียนมากมายมาขนเสบียงสำหรับการทำศึกล้อมป้อม นอกจากนี้ยังสั่งให้เหล่าทหารช่วยกันถางป่าทำถนนให้กองทัพเดินอีกด้วย เรียกว่าเอิกเกริกเลยทีเดียวครับ โดยเรียกการเดินทัพครั้งนี้ว่า “การเดินทางของ Braddock” และมันเป็นระยะทางทั้งสิ้นกว่า 110 ไมล์ เลยทีเดียว!! มันเริ่มขึ้นเมื่อตอนเดือน มีนาคม ค.ศ. 1755 โดย Braddock มีกำลังทั้งสิ้นราวๆ 2,200 นาย เป็น ทั้งทหารเชิ้ตแดงประจำการและกองกำลังอาณานิคม ... การกระทำของ Braddock นั้นแม้จะล่าช้า แต่เน้นความชัวร์มากกว่าเพราะเขาไม่ถนัดเคลื่อนทัพกระจายไปตามภูมิประเทศที่ตนเองไม่รู้จัก.. จนกระทั่ง 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1755 ความพยายามของใกล้เป็นจริงเมื่อ พวกเขาข้ามแม่น้ำ Monongahela และเดินทางตะวันออกไปอีก 2 ไมล์ พวกเขาก็ได้สร้างหมู่บ้าน Frazier ขึ้นเป็นหมู่บ้านชั่วคราว ในตอนนี้หากเดินทัพเลียบแม่น้ำไปก็จะเหลือระยะทางเพียง 7 ไมล์ เท่านั้นก็จะถึง ป้อม Duquesne!!
Braddock ไม่รอช้าในการเข้าโจมตีป้อม ในเวลาบ่ายโมงตรงของวันนั้นเขาก็ได้เคลื่อนกำลังพลกว่า 1,300 นายตรงไปยัง ป้อม ป้อม Duquesne กองกำลังของอังกฤษนั้นเป็นกองทัพที่มีระเบียบวินัย ประกอบด้วยกรมทหารราบ Grenadier ที่ 44 และ 48 และยังมี กองกำลังอาณานิคม ร่วมอยู่ด้วย...ในขณะที่กองกำลังของฝรั่งเศสนั้น มี กองกำลัง troupes de la Marine หรือ ฝรั่งเศสโพ้นทะเลราวๆ 108 นาย กองกำลังอาณานิคม 137 นาย และ นักรบอินเดียนแดง 600 กว่านาย รวมทั้งสิ้น 800 กว่า นับว่าน้อยกว่ากำลังของฝั่งอังกฤษมาก Daniel Hyacinthe Liénard de Beaujeu ผู้บัญชาการทหารในป้อม มีความคิดว่าเข้าควรนำกำลังไปดักซุ่ม กองทัพของอังกฤษก่อนจะเข้าปิดล้อมค่าย ความจริง Beaujeu นั้น ทราบการเคลื่อนไหวของฝั่งอังกฤษ ตั้งแต่ตอนกำลังข้ามแม่น้ำ Monongahela มาแล้วจากเหล่า อินเดียนแดงที่ออกไปลาดตระเวนหาข่าว แต่กว่าเขาจะทราบเรื่องก็ช้าเกินไปกว่าที่ฝรั่งเศสจะสกัดการข้ามแม่น้ำ.... ในตอนนี้กำลังผสม ฝรั่งเศส – อินเดียนแดง ราวๆ 891 นาย เคลื่อนออกมาจากป้อม ปล่อยให้ป้อมนั้นว่างเปล่า จนส่วนที่กำลังที่ล่วงหน้าของอังกฤษนั้น ได้สังเกตการณ์ตำแหน่งของป้อม และก็พบว่าป้อมนั้นไม่มีการดำเนินกิจกรรมใดๆเลยเหมือนถูกทิ้งร้างไว้อย่างนั้น... สิ่งนี้ยิ่งทำให้อังกฤษได้ใจและรีบเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่าป้อมไร้การป้องกันแล้ว.........
เส้นทางการเดินทัพของ Braddock
แต่ทันใดนั้น พันโท Thomas Gage พร้อมกับกำลังล่วงหน้าราวๆ 300 นายได้เดินมาถึงจุดซุ่มโจมตี ไม่รอช้า ฝรั่งเศส และ อินเดียนแดง เปิดฉากยิงใส่ทหารอังกฤษทันที ยังไม่ทันทีพวกเขาจะตั้งตัวด้วยซ้ำ ทหารอังกฤษล้มตายจำนวนมากทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหน.... มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ และ ควันจากดินปืน แต่ดูเหมือนจะเกิด Lucky Shoot เมื่ออยู่ดีๆมีกระสุนนัดหนึ่งพุ่งเข้าสังหาร Beaujeu ผู้บัญชาการกองกำลังฝรั่งเศส – อินเดียนแดง จนเสียชีวิต แต่ผู้กอง Jean-Daniel Dumas ก็ยังคงนำกองกำลังสู้ต่อไม่ถอย เมื่อนายพล Braddock ทราบ เรื่องเขารีบนำกำลังส่วนที่เหลือเข้าต่อสู้ด้วยทันที Braddock นั้นพยายามสั่งให้ทหารอยู่ในแถวและจัดระเบียบใหม่ เช่นที่ทำกันในยุโรป เขาเชื่อว่า ด้วยระเบียบวินัยอันแข็งแกร่งของอังกฤษจะพิชิตข้าศึกได้ แต่นั้นยิ่งทำให้เสียเวลาและกลายเป็นเป้าง่ายขึ้นเมื่อทหารรวมกันเป็นกลุ่มๆก้อนๆ ในตอนนี้ ทหารอังกฤษต่างยิงปืนออกไปโดยไม่รู้เป้าหมาย บ้างยิงกันเองก็มี จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายเริ่มมากขึ้น จนกระทั่งผ่านไป 3 ชั่วโมง Braddock ถูกยิงเข้าที่ปอดและร่วงตกจากหลังม้า ...... เมื่อเป็นเช่นนี้ทหารอังกฤษเริ่มเสียขวัญและแตกแถวหนีไปอย่างไร้ระเบียบ เปิดช่องให้ เหล่านักรบอินเดียนแดงซึ่งเก่งในการสู้ระยะประชิดวิ่งเข้าตะลุมบอล....พวกเขาใช้ขวานและมีดสั้นไล่สับทหารอังกฤษที่กำลังเสียขวัญ นอกจากนี้ยัง ถลกหนังหัวพวกเขาอีกตะหาก...ถึงแม้ พันเอก George Washington จะไม่มีสายการบัญชาที่คุมทหารอังกฤษ แต่เขานั้นก็ควบคุมกองกำลังที่กำลังเสียขวัญหนีข้ามแม่น้ำไปได้สำเร็จ รวมถึงตัวนายพล Braddock ที่บาดเจ็บสาหัสนอนหายใจโรยรินอีกด้วย และเขาก็เสียชีวิตในอีกไม่นานให้หลัง กองทัพอังกฤษนั้นถอยอย่างเป็นระเบียบไปตามถนนที่พวกเขา สร้างไว้ ทำให้กองกำลังฝรั่งเศส – อินเดียนแดงไม่ไล่ตาม แต่พวกเขาหันมาจัดการกับเหล่าผู้บาดเจ็บที่เหลือรอดแทน ส่วนใหญ่ก็โดนถลกหนังหัวโดยอินเดียนแดงไปตามระเบียบ และมีรายงานว่ามีทหารอังกฤษ 12 คนโดนเผาทั้งเป็น
พลตรี Edward Braddock ขณะโดนยิงจนบาดเจ็บสาหัส สังเกตุได้ว่า การโจมตีของ ฝรั่งเศส - อินเดียน นั้น มาจากป่าทุกทิศทุกทาง
สรุปความสูญเสีย กองกำลังอังกฤษเสียชีวิต 457 นาย รวมถึง นายพล Braddock บาดเจ็บอีก 450 นาย ส่วนฝรั่งเศส – อินเดียน นั้น ตายแค่ประมาณ 30 และบาดเจ็บ 57 นายเท่านั้น นับว่าเป็นหายนะทางการทหารของอังกฤษก็ว่าได้ และทำให้พวกเขาไปปรับปรุงและคิดกลยุทธ์วิธีรับมือกับสงครามรูปแบบนี้ในอนาคต