มาต่อกันดีกว่า ตอน 2-2
ระยะทางจาก Leh ไปจนถึง Nubra นั้นรวมๆแล้วกว่า 150 km แต่เราใช้เวลาไปแล้ว 4-5 ชม ด้วยเพราะสภาพถนนหนทางเป็นหิน ข้างนึงคือภูเขา อีกข้างเป็นเหวลึก การเดินทางต้องใช้ประสบการณ์จากคนขับและกำลังใจจากคนนั่ง อย่าได้ทะเลาะกันให้คนขับอารมณ์เสียเพราะอาจเสียสมาธิ พาลหลบรถที่สวนไปมาไม่ถูกสเต็ปก็เป็นได้ จังหวะที่หลบกันนี่ ยิ่งถ้าด้านที่เราหลบเป็นเหวล่ะก้อ นโมตัสสะท่องเอาไว้ ทำได้แค่นั้น
ตลอดระยะทางไปนูบร้าจะเห็นได้ว่ามีการก่อสร้างตลอดเวลา จะมีแรงงานชาวอินเดียมานั่งทุบหินจากก้อนใหญ่ๆมาเป็นก้อนเล็กๆขนาดเท่าๆกัน เพื่อมาให้ทำถนน ส่วนนึงที่ต้องทำการทำการก่อสร้างก็เพราะหินไสลด์ถล่มและการกัดเซาะของน้ำตลอดเวลา
แต่ถึงแม้จะตื่นเต้นจากเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย วิวสองข้างทางก็ถึงกับทำเอาหลับไม่ลง ต้องลดระดับกระจกเพื่อถ่ายภาพอยู่เนื่องๆ มันเหมือนเรากำลังลัดเลาะภูเขาไต่ระดับขึ้นลงไปเรื่อยๆตามภูเขาที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้า อดไม่ได้ที่จะชี้ชวนกันให้ดูว่าช่างยิ่งใหญ่ อลังการ พอเวลาผ่านไปเหมือนรถเรากำลังมุ่งตรงเข้าไปที่นั่น ยิ่งใกล้ ยิ่งชิด ยิ่งรู้สึกว่าเรามันเล็กนิดเดียว
สิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราตอนนี้มันคือผลผลิตจากธรรมชาติทั้งสิ้น ภูเขาลูกมหึมาเรียงตัว ทอดเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา ด้านล่างเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ เดาได้เลยถ้าอยู่ในช่วงหิมะละลายที่นี่ต้องเต็มไปด้วยน้ำแล้วสะท้อนแนวของภูเขาสวยงามจับใจเป็นแน่ บางช่วงก็จะเป็นลำธารน้ำใส เห็นแล้วอดคิดอยากเอาเท้าไปจุ่มน้ำไม่ได้ เพราะน้ำช่างใส ไหลแรงเสียจริง บรรยายแบบนี้ก็ยังเชือว่า ภาพที่ภ่ายมาได้แค่ครึ่งเดียวของสิ่งที่รู้สึกจริงๆ อย่าพลาดด้วยประการทั้งปวง ต้องไปกันให้ได้นะ
ต้องขออภัยภาพที่ได้มาอาจไม่สวยเท่าตาเห็น เพราะใช้กล้องมือถือถ่ายเป็นส่วนใหญ่ นี่ถ้ามีกล้องโปรดีๆ มันคงจะอลังการชัดเจนกว่านี้ แต่เพราะวิวมันสวยด้วยตัวของมันเอง ใช้กล้องไรถ่ายมันก็ออกมาสวยระดับนี้หมดอ่ะ
ในที่สุดช่วงบ่าย เราก็มาถึง Diskit Monastery ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดที่ Nubra วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ด้านหน้าจะมีพระพุทธรูปพระศรีอาริยเมตไตรย ขนาดใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นสวยงาม การมาที่วัดนี้รถสามารถนำเราขึ้นไปได้ค่ะ แต่แค่ลานจอดเท่านั้น ที่เหลือเราๆ ท่านๆต้องเดินขึ้นไปสถานเดียวเท่านั้นนะคะ เดินๆ หอบๆ เป็นเรื่องปกติค่ะ ใครเดินไม่ไหว ก็อย่าฝืนค่อยๆเดินไป สูดเอา oxygen เข้าไปเยอะๆ จะได้มีเวลาชื่นชมความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของวัดนี้ไปด้วยในตัว










เสร็จจากการไหว้พระแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าที่พัก ซึ่งอยู่ที่หมู่บ้าน Hundar (ฮุนเดอร์) ที่พักวันนี้เราจะพักกันที่ Cold Dessert Camping หนทางที่ไปที่พัก เรียกว่าสุดจะบรรยาย พวกเรามองหน้ากันถามคุณลุงคนขับว่า ใช่แน่เหรอคะ ที่นี่มีที่พักแน่นะ เพราะทางเข้านั้น เป็นหินใหญ่ๆ รถที่ขับเข้าไปนั้นต้องบดขยี้กับหินตลอดทาง รถคุณลุงนี่มันแน่จริงๆนะ ทนทายาทเลยทีเดียว oh finally คุณลุงก็พามาจอดที่ Camp แห่งหนึ่ง เบื้องหน้าที่เห็นคือที่พักเป็นกระโจมสีขาวเทา ด้านในจะมีเตียงนอน ผ้าห่ม และไฟหลอดเล็กๆซึ่งกดเท่าไหร่ก็ไม่ติดสักที รูดซิบออกไปจะเป็นส่วนของห้องน้ำ ที่เป็นเพื้นปูนง่ายๆ มีก้อกน้ำและชักโครก เอาให้เท่าที่จำเป็นต้องใช้ แต่แม่เจ้าา ประเด็นคือ น้ำไม่ไหลจ้า ! สอบถามที่พักได้ความว่า ที่นี่จะเปิดปิดไฟเป็นเวลา ไฟฟ้าจะมาเมื่อ 7.30pm ของทุกๆวันพร้อมๆกับน้ำ ถ้าน้ำมาต้องรีบกรอกน้ำใส่ถังไว้เผื่อจะเอาไว้ใช้อาบหรือยามจำเป็น นี่ตรูมาเที่ยวหรือเข้าค่ายวะเนี่ย ดูลำบากนิดๆนะ ณ จุดนี้!555?


มาถึงที่พักได้ ทีมงานของช้าน มาถึงไม่มีเร้าหรือ ล้มตัวฟุบลงนอนทันที โอเครๆ เรามีเวลาให้พัก 1 ชม ก่อนที่เย็นนี้จะพาไปขี่อูฐนะจ้ะ ตามอัทธยาศัยได้เลยจ้ะ
เดินออกมาหน้า Camp ก็เจอวิว อลังการดาวล้านดวงแบบนี้เลยจ้า เอ้าสูดอากาศเข้าให้เต็มปอด
ถึงจะไม่มีน้ำไม่มีไฟ บอกตัวเอง พวกเรานี้โนแคร์ โนสนละเพราะเรามาตามหาธรรมชาติ สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่สิ ร้อยล้านพันล้าน ประมาณ 5 โมงเย็น คุณลุงก็มารับพวกเราไปเดินเล่นที่โซนทะเลทรายและขี่อูฐกัน lสนนราคาค่าขี่อูฐนั้นก็ประมาณ 200 รูปี ต่อ 15 นาที ก็ประมาณ 100 บาทไทย ไม่แพงเนอะ แต่สงสารเจ้าอูฐจับใจ เพราะตัวก็เล็กแถมนักท่องเที่ยวฝรั่งแต่ละคนตัวใหญ่ๆ หนักๆทั้งนั้น
การขึ้นลงอูฐก็จะมีพี่เลี้ยงคอยออกคำสั่งและจูงสายให้เดินไปกลุ่มๆตามๆกัน ใครได้อูฐนิสัยดี มันก็เดินเรียบร้อย ถ้าได้อูฐผัวเมีย มันก็คอยอ้อล้อ เดินจู๊บๆๆกันไปตามเหมือนอูฐของเรากะนิกนั่นเอง ส่วนอูฐของน้องบลูนั้น รั้งท้าย นางเหมือนหมดแรง อยากจะหยุดเวลาทุกวินาทีเพื่อนอนอย่างเดียว
อูฐมันอยากจุ๊บๆกัน ขาตรูกะพี่นิกก็เลยต้องพันกัน ขำก็ขำ อยากด่าอูฐแต่พูดภาษาอุฐไม่เป็นอีก ทนๆไปละกัน
ขี่อุฐเดินเล่นได้สักพักก็กลับที่พักกันเถอะ พี่เหนื่อย มาถึงไม่ทันไรท้องก็ร้องจ๊อกๆ เดินเข้าไปถามที่ห้องอาหารว่าวันนี้จะได้ทานอาหารเย็นประมาณกี่โมง ได้คำตอบมาว่า 8.00pm คับท่าน โอ้ยยยย กินข้าวเย็นกันดึกแท้ที่อินเดียเนี่ย เห็นหลายที่แล้วตั้งแต่ที่ Guesthouse คนที่นี่ทานข้าวกันประมาณ 7.45-8.00 กัน เออ เอาว่ะ ไปอาบน้ำรอก็ได้ เดินๆๆ ดุ่มๆไปที่เต๊นท์ของตัวเอง ปรากฏไฟก็ยังไม่มา แต่ตอนนี้มองหน้าเริ่มไม่ค่อยชัดละ นับคุยไปสัพเพเหระ เรื่องพ่อ แม่ ญาติโกโหติกา มากันทั้งเหย้าจนไฟฟ้ามา ดีใจเหมือนถูกหวย เอ้าพี่น้องไปอาบน้ำเหอะ จะได้ไม่เสียเวลา
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในส่วนของห้องน้ำนั้นไซร์ รู้สึกถึงความหนาวเหน็บขึ้นทันที เปิดซิปออกมาถามน้องผู้ร่วมชะตากรรมว่า พวกเราควรซักแห้งไหมวันนี้ ไม่งั้นอาจถึงตายได้ ไม่เชื่อลองดู! น้องเปรมได้ยินดังนั้นก็ลองทดสอบทันที พร้อมสรุปผลไปในทิศทางเดียวกันว่าคืนนี้เราเอาผ้าเปียกเช็ดตัวเถอะพี่ นั่นไงตรูว่าละ ใครจะไปทนได้วะ นี่ขนาดไม่ใช่หน้าหนาวนะเนี่ย สำหรับ Camp ที่นี่จะปิดในฤดูหนาวนะคะ เพราะถึงมาได้ก็ไม่น่าอยู่ไหว
ตกลงซักแห้งกันเรียบร้อยก็ออกมาทานอาหารเย็น วันนี้อาหารเปิดมาหน้าตาพอกินได้ ไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ มีชา(ไจ) อินเดียมาเสริฟพร้อมๆกับอาหารแบบอินเดีย ทุกอย่างออกเป็นสีคล้ายแกงกะหรี่เหมือนกันหมด
ของฟรีจากเพื่อนร่วม Camp
กินข้าวเย็นเสร็จ พร้อมเบียร์สองกระป๋องที่ได้รับแจกจากเพื่อนร่วมแคมป์ ก็ได้เวลานอน ขากลับมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงดาวนับล้านลอยอยู่ตรงหน้า ระยิบระยับ ได้ยินเสียงเด็กกระเหรี่ยงสองคนคุยกัน (บลู+นิก) ว่าจะถ่ายรูปดาวคืนนี้ให้ได้ นึกในใจ ตรูแหงนหน้าดูเอาน่าจะเซฟสุดนะ แล้วก็จริงซะด้วย เห็นมันเถียงกันอยู่นานในที่สุดก็เงียบเสียงไป การที่จะบันทึกภาพดาวตอนกลางคืน ท่ามกลางอากาศหนาวขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บันทึกด้วยตาเอาน่าจะดีที่สุดนะน้องนะ คืนนี้นอนแบบคลุมโปงหนาวทั้งหัวทั้งตัว
นอนหลับฝันดีทุกคน ขอให้อย่าแข็งตายซะก่อนล่ะคืนนี้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า จะเดินทางกลับ Leh กันซะที Good night bye bye...
Quotes for today.
“It is better to see something once than to hear about it a thousand times.”

ติดตามเรื่องราวทริปอื่นๆได้ที่ www.jennythejourney.com
Facebook fan page :
https://www.facebook.com/jennythejourney.world
ติดตาม
ตอน 1 :
https://pantip.com/topic/37391318
ตอน 2 :
https://pantip.com/topic/37397160
ตอน 3 :
https://pantip.com/topic/37400675
[CR] รีวิว เลห์ ลาดัก อินเดียที่รัก Ladakh I'm fall in love ไม่ไปคือพลาดนะจ๊ะ (Aug 2017) ตอน 2-2
สิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราตอนนี้มันคือผลผลิตจากธรรมชาติทั้งสิ้น ภูเขาลูกมหึมาเรียงตัว ทอดเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา ด้านล่างเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ เดาได้เลยถ้าอยู่ในช่วงหิมะละลายที่นี่ต้องเต็มไปด้วยน้ำแล้วสะท้อนแนวของภูเขาสวยงามจับใจเป็นแน่ บางช่วงก็จะเป็นลำธารน้ำใส เห็นแล้วอดคิดอยากเอาเท้าไปจุ่มน้ำไม่ได้ เพราะน้ำช่างใส ไหลแรงเสียจริง บรรยายแบบนี้ก็ยังเชือว่า ภาพที่ภ่ายมาได้แค่ครึ่งเดียวของสิ่งที่รู้สึกจริงๆ อย่าพลาดด้วยประการทั้งปวง ต้องไปกันให้ได้นะ
ต้องขออภัยภาพที่ได้มาอาจไม่สวยเท่าตาเห็น เพราะใช้กล้องมือถือถ่ายเป็นส่วนใหญ่ นี่ถ้ามีกล้องโปรดีๆ มันคงจะอลังการชัดเจนกว่านี้ แต่เพราะวิวมันสวยด้วยตัวของมันเอง ใช้กล้องไรถ่ายมันก็ออกมาสวยระดับนี้หมดอ่ะ
เดินออกมาหน้า Camp ก็เจอวิว อลังการดาวล้านดวงแบบนี้เลยจ้า เอ้าสูดอากาศเข้าให้เต็มปอด
ถึงจะไม่มีน้ำไม่มีไฟ บอกตัวเอง พวกเรานี้โนแคร์ โนสนละเพราะเรามาตามหาธรรมชาติ สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่สิ ร้อยล้านพันล้าน ประมาณ 5 โมงเย็น คุณลุงก็มารับพวกเราไปเดินเล่นที่โซนทะเลทรายและขี่อูฐกัน lสนนราคาค่าขี่อูฐนั้นก็ประมาณ 200 รูปี ต่อ 15 นาที ก็ประมาณ 100 บาทไทย ไม่แพงเนอะ แต่สงสารเจ้าอูฐจับใจ เพราะตัวก็เล็กแถมนักท่องเที่ยวฝรั่งแต่ละคนตัวใหญ่ๆ หนักๆทั้งนั้น
ขี่อุฐเดินเล่นได้สักพักก็กลับที่พักกันเถอะ พี่เหนื่อย มาถึงไม่ทันไรท้องก็ร้องจ๊อกๆ เดินเข้าไปถามที่ห้องอาหารว่าวันนี้จะได้ทานอาหารเย็นประมาณกี่โมง ได้คำตอบมาว่า 8.00pm คับท่าน โอ้ยยยย กินข้าวเย็นกันดึกแท้ที่อินเดียเนี่ย เห็นหลายที่แล้วตั้งแต่ที่ Guesthouse คนที่นี่ทานข้าวกันประมาณ 7.45-8.00 กัน เออ เอาว่ะ ไปอาบน้ำรอก็ได้ เดินๆๆ ดุ่มๆไปที่เต๊นท์ของตัวเอง ปรากฏไฟก็ยังไม่มา แต่ตอนนี้มองหน้าเริ่มไม่ค่อยชัดละ นับคุยไปสัพเพเหระ เรื่องพ่อ แม่ ญาติโกโหติกา มากันทั้งเหย้าจนไฟฟ้ามา ดีใจเหมือนถูกหวย เอ้าพี่น้องไปอาบน้ำเหอะ จะได้ไม่เสียเวลา
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในส่วนของห้องน้ำนั้นไซร์ รู้สึกถึงความหนาวเหน็บขึ้นทันที เปิดซิปออกมาถามน้องผู้ร่วมชะตากรรมว่า พวกเราควรซักแห้งไหมวันนี้ ไม่งั้นอาจถึงตายได้ ไม่เชื่อลองดู! น้องเปรมได้ยินดังนั้นก็ลองทดสอบทันที พร้อมสรุปผลไปในทิศทางเดียวกันว่าคืนนี้เราเอาผ้าเปียกเช็ดตัวเถอะพี่ นั่นไงตรูว่าละ ใครจะไปทนได้วะ นี่ขนาดไม่ใช่หน้าหนาวนะเนี่ย สำหรับ Camp ที่นี่จะปิดในฤดูหนาวนะคะ เพราะถึงมาได้ก็ไม่น่าอยู่ไหว
กินข้าวเย็นเสร็จ พร้อมเบียร์สองกระป๋องที่ได้รับแจกจากเพื่อนร่วมแคมป์ ก็ได้เวลานอน ขากลับมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงดาวนับล้านลอยอยู่ตรงหน้า ระยิบระยับ ได้ยินเสียงเด็กกระเหรี่ยงสองคนคุยกัน (บลู+นิก) ว่าจะถ่ายรูปดาวคืนนี้ให้ได้ นึกในใจ ตรูแหงนหน้าดูเอาน่าจะเซฟสุดนะ แล้วก็จริงซะด้วย เห็นมันเถียงกันอยู่นานในที่สุดก็เงียบเสียงไป การที่จะบันทึกภาพดาวตอนกลางคืน ท่ามกลางอากาศหนาวขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บันทึกด้วยตาเอาน่าจะดีที่สุดนะน้องนะ คืนนี้นอนแบบคลุมโปงหนาวทั้งหัวทั้งตัว
นอนหลับฝันดีทุกคน ขอให้อย่าแข็งตายซะก่อนล่ะคืนนี้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า จะเดินทางกลับ Leh กันซะที Good night bye bye...
Quotes for today.
“It is better to see something once than to hear about it a thousand times.”
ติดตามเรื่องราวทริปอื่นๆได้ที่ www.jennythejourney.com
Facebook fan page : https://www.facebook.com/jennythejourney.world
ติดตาม
ตอน 1 : https://pantip.com/topic/37391318
ตอน 2 : https://pantip.com/topic/37397160
ตอน 3 : https://pantip.com/topic/37400675