ตามความเข้าใจของเราในสมัยโบราณสินสอดคือเงินที่ฝ่ายชายมอบให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง เนื่องจากการแต่งงานสมัยก่อนฝ่ายหญิงเมื่อแต่งไปก็ต้องไปอยู่ดูแลปรนนิบัติฝ่ายชาย ทำให้ไม่สามารถดูแลพ่อแม่ฝ่ายตนเองได้ เงินสินสอดจึงมอบให้ฝ่ายหญิงไว้เพื่อชดเชยในส่วนนี้
แต่ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป เงินสินสอดกลับถูกเรียกกันอย่างไม่สมเหตุสมผล
เราก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน เราเป็นหญิง จบม.3 เมื่อตอนวัยรุ่นเคยพลาดและมีลูก 1 คน โดยที่ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ เราก็ทำงานของเราเรื่อยมา จนปัจจุบันมีทรัพย์สินแตะๆ ร้อยล้าน โดยสร้างจากมือตัวเองล้วนๆ และเราก็มาเจอกับสามี และทางแม่เราเรียกสินสอด 5ล้าน เรารู้ดีว่าทางเขาไม่มีขนาดนั้น เราจึงประกาศเลยว่าไม่แต่ง แต่เราก็คุยกันว่ามีพร้อมเท่าไหร่เมื่อไหร่ก็ได้ เราก็อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา เขามาอยู่บ้านเราไม่ได้ เราก็ไปๆมาๆระหว่างบ้านเขาและบ้านเรา
คนที่มีปัญหาคือแม่เราคนเดียว พ่อเราเสียชีวิตแล้ว พี่น้องเราทุกคนเข้าใจและเห็นใจเขา แม่ดูถูกเหยียดหยามเขาสารพัด ชี้หน้าด่าเป็นหมูเป็น หมา ด่าเราโง่เหมือนควาย หลงจนมองไม่เห็นอะไร
ที่สำคัญที่เรารัยไม่ได้เลยคือแม่เรากลับให้การสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตากับผู้ชายอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนเรา เราทำงานร่วมกันและรู้จักกันมา 10 กว่าปี เรากับเขาเป็นได้แค่เพื่อนและพี่ชายที่ดีต่อกันเพราะเขามีครอบครัวมีภรรยาและลูกแล้ว
ระหว่างเรากับสามีเราต่างก็โตๆกันแล้ว มันเป็นความรู้รักในแบบผู้ใหญ่ มีเหตุมีผลมากกว่าอารมณ์ ต่างจากรักในแบบวัยรุ่นมาก ต่างคนต่างก็มีงานและหน้าที่ของตัวเอง เรา 36 สามี 42
เราเข้าใจคะว่าสังคมไทยต้องให้การเคารพต่อพ่อแม่ เราก็เคารพคะ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อแม่แล้วจะทำอะไรหรืกับชีวิตของลูกก็ได้
ถามว่าเราเครียดไหม เราเฉยๆ เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องของเรา หากแม่เราไม่ยอมที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง คนที่เครียดคือตัวแม่เอง
เป็นกำลังใจให้กับหลายๆคู่ที่กำลังเก็บเงินกันนะคะ
ปล.พิมพ์จากมือถือ หน้าจอมันเล็กเนื้อหาอาจไม่ต่อเนื่องหรือขาดหายขออภัยด้วยคะ
ว่าด้วยเรื่องสินสอด
แต่ในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป เงินสินสอดกลับถูกเรียกกันอย่างไม่สมเหตุสมผล
เราก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน เราเป็นหญิง จบม.3 เมื่อตอนวัยรุ่นเคยพลาดและมีลูก 1 คน โดยที่ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ เราก็ทำงานของเราเรื่อยมา จนปัจจุบันมีทรัพย์สินแตะๆ ร้อยล้าน โดยสร้างจากมือตัวเองล้วนๆ และเราก็มาเจอกับสามี และทางแม่เราเรียกสินสอด 5ล้าน เรารู้ดีว่าทางเขาไม่มีขนาดนั้น เราจึงประกาศเลยว่าไม่แต่ง แต่เราก็คุยกันว่ามีพร้อมเท่าไหร่เมื่อไหร่ก็ได้ เราก็อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา เขามาอยู่บ้านเราไม่ได้ เราก็ไปๆมาๆระหว่างบ้านเขาและบ้านเรา
คนที่มีปัญหาคือแม่เราคนเดียว พ่อเราเสียชีวิตแล้ว พี่น้องเราทุกคนเข้าใจและเห็นใจเขา แม่ดูถูกเหยียดหยามเขาสารพัด ชี้หน้าด่าเป็นหมูเป็น หมา ด่าเราโง่เหมือนควาย หลงจนมองไม่เห็นอะไร
ที่สำคัญที่เรารัยไม่ได้เลยคือแม่เรากลับให้การสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตากับผู้ชายอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนเรา เราทำงานร่วมกันและรู้จักกันมา 10 กว่าปี เรากับเขาเป็นได้แค่เพื่อนและพี่ชายที่ดีต่อกันเพราะเขามีครอบครัวมีภรรยาและลูกแล้ว
ระหว่างเรากับสามีเราต่างก็โตๆกันแล้ว มันเป็นความรู้รักในแบบผู้ใหญ่ มีเหตุมีผลมากกว่าอารมณ์ ต่างจากรักในแบบวัยรุ่นมาก ต่างคนต่างก็มีงานและหน้าที่ของตัวเอง เรา 36 สามี 42
เราเข้าใจคะว่าสังคมไทยต้องให้การเคารพต่อพ่อแม่ เราก็เคารพคะ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อแม่แล้วจะทำอะไรหรืกับชีวิตของลูกก็ได้
ถามว่าเราเครียดไหม เราเฉยๆ เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องของเรา หากแม่เราไม่ยอมที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง คนที่เครียดคือตัวแม่เอง
เป็นกำลังใจให้กับหลายๆคู่ที่กำลังเก็บเงินกันนะคะ
ปล.พิมพ์จากมือถือ หน้าจอมันเล็กเนื้อหาอาจไม่ต่อเนื่องหรือขาดหายขออภัยด้วยคะ