เห็นช่วงนี่หลายคนมาดราม่าเรื่องสินสอด เลยอยากจะแสดงความเห็นในแง่มุมของปัญญาชนคนหนึ่งในสังคมไทย

ขอออกตัวก่อนว่าดิฉันไม่เคยเล่นพันทิป และไม่เคยคิดจะสมัครสมาชิก แต่สังคมออนไลน์ได้มีการแชร์กระทู้ต่างๆในพันทิปมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสินสอด ซึ่งหลายคนกำลังดราม่ากันอยู่ และมีทั้งงฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บ้างก้อบอกว่า ทำไมต้องมีสินสอด ต่างประเทศเขาไม่เห็นต้องมี บ้างก็บอกว่า พอทีเถอะ อย่ามาอ้างว่าค่าน้ำนมเลย เพราะฝ่ายชายก้อกินนมแม่เหมือนกันไม่ใช่หรอ หรือแม้แต่มีหลายคนกล้าพูดว่า ถามจริงเหอะ พวกผู้หญิงนี่คิดว่าตัวเองเลิศเลอ ประเสริฐ บริสุทธิ์ผุดผ่อง สมบูรณ์แบบนักหรอ ถึงกล้าเรียกสินสอดแพงขนาดนี้ ดิฉันบอกตามตรงว่า อ่านความเห็นของคุณผช ดิฉันบอกตามตรงว่า อ่านความเห็นของคุณผช ทั้งหลายแล้ว เจ็บหัวใจจัง ทำไมความคิดถึงได้เห็นแก่ตัวกันแบบนี้

สังคมไทยเราเป็นเมืองพุทธ มีวัฒนธรรมอันดีมาแต่โบราณ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถ้ามีลูกสาว ก็จะสอนให้มีความรักนวลสงวนตัว จึงเป็นที่มาของการมีสินสอด ในอดีต สินสอดก็เหมือนเงินที่ให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง ความหมายก็ตรงตัวนั่นแหละ เพื่อนำหญิงนั้นมาเป็นภรรยา สินสอดก็มีไว้เพื่อแทนความขอบคุณ ที่พ่อแม้ได้เลี้ยงลูกสาวได้อย่างดีจนได้ออกเรือน ทำหน้าที่แม่และภรรยาที่ดีต่อไปในอนาคต แต่ปัจจุบันนี้ สังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วไม่จำเป็นต้องแต่งออกเสมอไป ผู้หญิงก็สามารถทำมาหาเงิน ดูแลตนเองและครอบครัวได้ ไม่เหมือนแต่ก่อน สินสอดในสมัยนี้จึงเหมือนเป็นแค่หลักประกันให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงสบายใจ ว่าแต่งงานไปแล้วลูกจะไม่ลำบาก ถึงหย่าร้างกัน ก็ยังมีเงินก้อนนี้ไว้ดูแลตัวเองและลูก ซึ่งอาจจะมีในอนาคตได้ ดิฉันจะไม่ขอพูดถึงความเหมาะสมของจำนวนสินสอดว่าควรเป็นเท่าไหร่ แต่ก็ควรจะมากพอที่จะให้ลูกสาวอยู่ต่อไปได้ ตามฐานะที่ควรจะเป็นในสังคม และถึงจุดนี้ ได้แ่านความเห็นของชายหนุ่มหลายๆคนในที่นี้มาเถียงว่า ถึงหย่ากันก็แบ่งทรัพย์สินกันไปสิ. ทำไมต้องมีสินสอด พ่อแม่ขายลูกกินหรืออย่างไร อยากจะบอกว่า ตราบใดที่สังคมยังเชิดชูความรักนวลสงวนตัวของผู้หญิง และมีคำว่าแม่หม้าย อยู่ล่ะก็ สินสอดก็ต้องมีต่อไปเข่นกัน เพราะว่าพ่อม่ายกับแม่ม่ายนั้นต่างกันมาก

ไม่นานมานี้คุณคงได้เห็นพ่อม่ายไฮโซ เพิ่งจะแต่งงานใหม่กับดาราสาวชื่อดัง คือคุณตั๊กกับคณเจนี่ จะเห็นได้ว่าสังคมให้โอกาสพ่อม่าย มากกว่าผํ้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ม่าย อย่างเทียบกันไม่ได้ ยิ่งเป็นแม่ม่ายลูกติด ยิ่งยากที่จะหาผู้ชายดีๆที่จริงใจซักคนมาเดินเคียงข้าง ในชีวิตหลังจากนั้น
มีแม่ม่ายซักกี่คนกัน ที่ได้เจอสามีใหม่ที่แสนดี ใครได้เจอนั้นจัดเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก ส่วนพ่อม่ายนั้น ไม่มีอะไรบุบสลาย ภาระไม่มี ดูแลภรรยาใหม่ได้ มีภรรยาและลูกใหม่ได้อย่างปกติ ไม่มีใครตราหน้าว่าเป็นพ่อม่ายอีก

ตราบใดที่สังคมไทยยังคงชื่นชมสาวบริสุทธิ์ สาวรักนวลสงวนตัว ตราบนั้นก็ยังคงคุณค่าของคำว่าสินสอด มันเป็นวงจรแบบบนี้ คุณมองออกกันบ้างมั้ย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
แค่พาดหัวก็ตื้บแล้ว ออกตัวว่าเป็นปัญญาชน เหมือนจะขู่นิดๆว่า นี่เป็นความคิดที่ฉลาดมากนะ อย่ามาเห็นต่างนะ หึหึ เอาหละผมจะขอโง่อีกสักครั้งละนะ ยิ้ม

ผมคิดว่าถ้าปัญหาของคุณคือสิทธิสตรียังไม่ได้รับความเคารพเท่าที่ควร ก็ควรจะไปแก้ที่ตรงนั้น ไม่ใช่บอกว่าในเมื่อมันเป็นแบบนี้ก็ขอสินสอดปลอบใจละกัน! อารมณ์เหมือนวางเงินประกันที่ไถ่ถอนไม่ได้

ผมคิดว่าถ้าผู้หญิงต้องการหลุดจากสถานะที่คุณไม่ปราถนา คุณต้องเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ผู้หญิงที่มีราคาสูงก็ยังนับว่ามีราคา ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสินค้าที่ซื้อขายในท้องตลาดเพราะคุณดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ "ซื้อได้" ทำไมคุณถึงไม่คิดว่าคุณคือสิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้หละครับ? ถ้ากรอบเดิมๆมันไม่ได้เอื้ออะไรกับพวกคุณ ทำไมคุณไม่เดินออกมาจากกรอบหละครับ

ผมพูดไปก็เหมือนจะปกป้องสินทรัพย์ตัวเอง แต่จริงๆมันไม่ใช่หรอกครับ ผมมั่นใจว่าการแต่งงานไม่ใช่ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ถ้ามองมิตินี้ผมจะไม่แต่งงานเด็ดขาด ยังไงผมเป็นผ้ชายผมก็รู้ว่าตัวเองต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ไม่มีได้กำไรหรอกครับ ผู้ชายที่ยังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้างคงไม่ขอเงินเมีย และผู้ชายที่รักภรรยา ก็คงไม่ยอมเห็นภรรยาเป็นลูกอกตัญญู พ่อแม่ลำบากก็ไม่สามารถจะส่งเงินให้ใช้ได้ ยังไงก็ขาดทุนครับถ้าคิดเป็นตัวเงิน แต่เราแต่งงานเพราะเรื่องอื่นครับ แต่งงานเพื่อจะสร้างครอบครัวที่มีพื้นฐานของความรัก ความรักที่ไม่ได้มองกำไรขาดทุน มันน่าเศร้านะครับ ตอนรักกันมันก็เริ่มมาจากรัก พอจะแต่งกันกลับเป็นเรื่องของกำไรขาดทุน ความรักมันมาจบที่ผลประโยชน์เหรอครับ?

คุณอาจจะมองว่าสินสอดคือการซื้อประกัน และจำนวนเงินควรจะมากพอให้ผู้หญิงอยู่ได้ หากต้องเลิกรากันไป ถ้าสมมุติว่ามันแก้ปัญหานี้โดยไม่สร้างปัญหาอื่นก็ดีสิครับ แต่ในชีวิตจริงมันไม่ใช่ ผู้ชายทุกคนไม่ได้รวย ไม่ได้มีคนสนับสนุน และผู้ชายส่วนมากก็ยังมีพ่อแม่ต้องดูแล การต้องเก็บเงินซื้อบ้าน รถ และหากพ่อแม่ลำบากก็ยังต้องค้ำจุน คุณคิดว่าจะเหลืองเงินมาเป็นค่าตัวในระดับที่ให้คุณอยู่ได้หากต้องเลิกกันสักเท่าไหร่ครับ คุณอยากจะให้ผู้ชายอกตัญญู หรืออยากให้ผู้ชายไม่ต้องคิดเรื่องมีบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมีครอบครัว (แล้วให้คุณซื้อเองผ่อนเอง) เอาแบบนั้นรึเปล่าครับ ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ตั้งกระทู้ว่าอยากให้แฟนซื้อบ้าน และผ่อนบ้านแทนเลยครับ แค่แฟนช่วยดาวน์ช่วยผ่อนก็ดีใจจะแย่แล้ว ส่วนตัวผมเองไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ถ้าให้ผมพูดกลางๆ มันเป็นปัญหาสังคมไปแล้ว 8 ปีก่อนผมเรียนจบ เงินเดือนพนักงานทั่วๆไป 15000 บาท ถ้าบริษัทเล็กๆก็ 10000 เดียว ข้าวจานละ 20-25 บาท ผ่านไป 8 ปี เงินเดือนสตาร์ทเท่าเดิม ข้าวจานละ 35-40 บาท คุณพอเห็นภาพมั้ยครับ คนจนในวันนี้จนยิ่งกว่าอะไร นี่ยังไม่นับราคาบ้านที่ตอนนี้ต่ำกว่าล้านหาแทบไม่เจอ ถ้ามีก็สภาพเป็นรูหนู คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนยอมให้ลูกสาวออกเรือนไปอยู่แบบนี้น มันกลายเป็นว่าคนจนเนี่ยไม่มีสิทธิ์แต่งงานเลยใช่มั้ยครับ? พูดให้เจ็บอีกนิดต้องบอกว่า คนจนอย่าริรัก อย่าลืมนะครับทุนนิยมมันมีพื้นฐานง่ายๆว่าทุกคนห้ามรวย คนรวย และพอมีกินน่าจะมีไม่เกิน 20 อีก 80 ต้องจนครับ เราไม่สามารถห้ามไม่ให้มีคน 80 คนที่จน แต่เรากลับห้ามเค้ามีครอบครัวทางอ้อม ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็น พวกเขายังมีค่าใช้จ่ายจากความรักอีก คุณคิดว่ามันน่าเศร้ามั้ยครับ?

ถ้าคุณจะแก้ปัญหาของ 80 คนโดยไม่แก้ประเพณี ก็มีทางเดียวคือผู้หญิงจะต้องทิ้งไอ้ 80 คนนั้นไปหา 20 คนที่สามารถวางประกันความเสี่ยงให้ได้ ผลก็คือ 20 คนนั้นน่าจะมีภรรยามากกว่า 1 คน ทีนี้ครอบครัวสุขสันต์เลยครับ คุณคงไม่ชอบหรอก

ย้ำนะครับ ผมเห็นใจผู้หญิงในหลายๆเรื่อง แต่ถ้าคุณจะช่วยกันแก้ไขเรื่องพวกนั้น อยากจะยกระดับสิทธิสตรีคุณก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่รับเงินค่าเสียหายล่วงหน้า ลองคิดดูดีๆนะครับ คุณสามารถเรียกร้องอะไรได้มากกว่าเงิน แต่ถ้าจะทำแบบนั้น คุณต้องอย่าให้เงินมาซื้อได้ คุณมีค่ามากกว่าเงินสินสอดเยอะมากนะครับ
ความคิดเห็นที่ 14
ความเห็นบนๆบอกว่าการรักนวลสงวนตัวกับสินสอดไม่เกี่ยวกัน มันก็ดูไม่เกี่ยวกันจริงนั่นแหละค่ะ
แต่คิดว่าประเด็นของเจ้าของกระทู้ไม่ได้เหลวไหลซะทีเดียว
คือสังคมที่มีความไม่เท่าเทียมทางเพศต่อเพศใดเพศหนึ่ง มันมีค่านิยมอื่นมาหักล้างทำให้เกิดความสมดุล

การเป็นผู้หญิงมันมีความแย่อยู่หลายอย่าง เช่น
ความไม่ปลอดภัยและการเป็นเหยื่ออาชญากรรม
การที่ถูกเลี้ยงดูอย่างระมัดระวังตลอดเพราะความไม่ปลอดภัย (ทำให้ช่วยตัวเองได้น้อยลง)
การถูกตัดสินและดูถูกเมื่อทำสิ่งที่ผู้ชายทุกคนทำ เช่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
ตัวเลือกในการทำงานน้อยกว่าผู้ชายในกรณีที่มีลูก หรือ กรณีที่ไม่มีการศึกษา
รับภาระที่หนักกว่าในการเลี้ยงลูก และในกรณีที่ท้องโดยไม่พร้อม ผู้หญิงซวยกว่าเพราะหนีไม่ไหนไม่ได้ สังคมตราหน้า
ต้องยอมรับว่ากฏหมายบ้านเราหละหลวมและไม่มีการแก้ไขเรื่องพวกนี้เพื่อคุ้มครองผู้หญิงเท่าไหร่

แต่ในขณะเดียวกันในความไม่เท่าเทียมกันมันก็มีสิ่งชดเชย
เช่นมีวัฒนธรรมที่ว่าผู้ชายต้องปกป้องดูแลผู้หญิง
ผู้ชายรับภาระอื่นๆที่ต้องใช้กำลัง (ตั้งแต่เรื่องง่ายๆเช่นถือของให้ หรือลุกให้บนรถเมล์ ไปจนถึงเกณทหาร)
ผู้ชายเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายเงินเลี้ยงดู ตั้งแต่ออกเดทแรกยันถึงค่าสินสอด
ค่านิยมที่ว่าเอะอะก็อ้างว่า "เป็นผู้ชายต้องเสียสละ" ครอบครัวโอบอุ้มช่วยเหลือ เป็นธุระให้ผู้หญิง ส่วนผู้ชายมักถูกปล่อยให้ช่วยตัวเอง

เราว่าการดำรงอยู่ของค่านิยมทั้งสองกลุ่มมันทำให้สังคมสมดุล คือทั้งชายหญิงผลัดกันได้เปรียบเสียเปรียบแล้วแต่สถานการณ์
ถ้าถามตัวเราเอง เราก็อยากจะบอกว่าเลิกมันให้หมดเลยได้มั้ย
ลบความได้เปรียบเสียเปรียบแล้วทุกคนเท่าเทียมกันหมดทุกสถานการณ์ได้มั้ย
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้?​
คุณทำให้ผู้ชายไทยทุกคนเลิกเอาเปรียบผู้หญิงไม่ได้
คุณก็ทำให้พ่อแม่ทุกคนเลิกเรียกสินสอดไม่ได้นั่นแหละ

เจ้าของกระทู้ยกตัวอย่าง ความไม่เท่าเทียมต่อหญิง ที่ในทางกลับกันทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมต่อชาย
คือผู้ชายบางส่วนมีพฤติกรรมได้แล้วลืมง่าย เช่นแต่งงานหรืออยู่กินแล้วไม่พอใจก็เลิกซะง่ายๆ
ปล่อยให้ผู้หญิงรับผิดชอบลูก และแต่งงานใหม่ได้ยาก เพราะสังคมถือเรื่องผู้หญิงเสียพรหมจรรย์แล้ว นี่คือสถานการณ์ที่ผู้หญิงเสียเปรียบ
สังคมปล่อยให้เกิดการเสียเปรียบนี้ขึ้น เพราะไม่มีการลงโทษผู้ชายพวกนี้ในทางประเพณี
และการฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูตามกฏหมายไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยง่ายและยุติธรรม
เพราะฉะนั้นพ่อแม่ผู้หญิงจึงหวาดระแวงว่าคนที่ไม่ดีพอ เหลาะแหละ จะมาหลอกลูกแต่งงานแล้วทำให้ชีวิตลูกยุ่งยากลำบาก
จึงเกิดความไม่ไว้ใจและต้องการที่จะพิสูจน์ผู้ชายที่จะเข้ามาในชีวิตลูก
เกิดการเรียกค่าสินสอด ทำให้การได้มันยากขึ้นเพื่อให้ผู้ชายเห็นค่าลูกตัวเอง
นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่ความไม่เท่าเทียมต่อผู้หญิง นำไปสู่การสร้างกรอบประเพณีไม่เท่าเทียมสำหรับชายเพื่อหักล้างกัน
สิ่งที่เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน มันจึงเกี่ยวกัน จริงๆยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกมาก

แน่นอนว่า ในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยค่านิยมเหล่านี้มีหญิงแย่ ชายแย่ หญิงดี ชายดี พ่อแม่ดีๆ พ่อแม่แย่ๆ ปะปนคละเคล้ากันไป
มีคนใช้สินสอดเป็นเครื่องมือขูดรีดหรือปลดหนี้ มีคนที่ไม่ต้องการสินสอดเลย มีพ่อแม่ที่ให้เงินลูกเวลาแต่งงานด้วยซ้ำ
ในระดับบุคคลค่านิยมนี้อาจจะถูกนำไปใช้ในแบบต่างๆกัน ทั้งดีและไม่ดี
การถกเถียงในพันทิปส่วนใหญ่จะยกตัวอย่างโจมตีหญิงแย่ ชายแย่บางคน หญิงดี ชายดีบางคน
แบบนี้คงจะเถียงกันไม่จบ เพราะมองที่ระดับบุคคลย่อยๆ ไม่ใช่ภาพรวมของสังคม
เพราะฉะนั้น ที่พูดมานี่ไม่ได้อิงระดับบุคคลนะคะ ไม่ได้พยายามจะบอกประเพณีไหนดี หรือบอกให้ใครยอมใคร
และก็ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ของเราเอง  ส่วนตัวเราไม่เคยคิดจะเรียกสินสอดใคร
แต่อยากจะชี้ประเด็นหนึ่งว่าบางที เหตุของค่านิยมนี้มันอาจเกี่ยวโยงกับค่านิยมอื่น
ในระดับสังคม ถ้าเราเลือกได้อยากให้ยกเลิกมันทุกอย่างที่ไม่เท่าเทียม และอยากให้ทุกคนดีต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน
อยากให้ทุกคนสามารถไว้ใจกันได้ ทั้งหญิงชายตุ๊ดเกย์
คำถามคือ คุณคิดว่าคนทุกคน ทั้งผู้หญิงชายจะช่วยนำพาสังคมนี้ไปถึง หรือไปใกล้จุดเท่าเทียมมากขึ้นได้อย่างไร?
หรือพวกเราแค่ต้องยอมรับว่าความไม่เท่าเทียมต่อทั้งสองเพศคงต้องดำรงอยู่ต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่