ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อโลกนวนิยาย (ฉบับที่ 7) ลงบทสัมภาษณ์ 'พนมเทียน' ในส่วนของชีวิต และงานเขียนต่างๆ เว้นแต่เพชรพระอุมา ไปนั้น อาจกล่าวได้ว่านั่นคือ 'ภาค 1' ของนิยายชีวิตโลดโผน และสิ่งซึ่ง กำลังจะนำเสนอในโลกนวนิยาย ฉบับนี้คือ 'ภาคสมบูรณ์' ของความเป็น 'พนมเทียน' นั่นเอง
คัดบทสัมภาษณ์บางส่วนจากเว็บไซต์ happyreading.in.th ที่มาของ 'เพชรพระอุมา' และประสบการณ์ล่าสัตว์รวมไปถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกล่าตลอดชีวิตของผู้ประพันธ์
ประสบการณ์ในชีวิตจริงของพนมเทียน ไม่ทราบว่าการจับมือเข้าป่าครั้งแรกเป็นอย่างไร
ผมมีบ้านอยู่สายบุรี ปัตตานีนะครับ ตระกูลผมก็เคยทำเหมืองทองเหมืองโต๊ะโมะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่นราธิวาส ที่นั่นน่ะป่าทั้งนั้น ผมก็ขลุกอยู่กับพราน พวกพรานพื้นเมืองล่ะ อย่างตาบุญคำในเพชรพระอุมาก็มีตัวจริงนะ แกเป็นมุสลิม อยู่กับคุณตาผม ทะลึ่งที่หนึ่งเลย (หัวเราะ)
ผมจับปืนครั้งแรก อายุราว 14-15 ปี
กว่าจะยิงปืนแม่นใช้เวลานานไหม
ผมเป็นคนทำบาปขึ้นฮะ ยิงอะไรจะถูกเสมอ เขาเรียกว่าคนทำบาปขึ้นคือมีเคราะห์มากนะฮะ อย่างบางทีผมก็ยิงไม่ตั้งใจนะ ยิงสกัดหน้าสกัดหลัง ก็ยังไปถูกมัน เริ่มตั้งแต่สัตว์เล็กก่อน กระรอก กระแต นก ไล่ขึ้นไปเรื่อย มีสัตว์ชนิดเดียวที่ผมไม่ล่าคือช้าง เพราะเราตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ในใจว่า เขาเป็นสัตว์ใหญ่เหลือเกิน ถ้าหากว่าไม่ใช่ป้องกันชีวิตตัวเองหรือผู้อื่นที่ไปด้วยกันแล้ว จะไม่ยิงเป็นอันขาด
เข้าป่านี่มีความสุขมากไหม เข้าไปเพื่อพักผ่อนหรือล่าสัตว์มากกว่ากัน
เข้าป่าแต่ละครั้งผมถือว่า หนึ่ง ไปพักผ่อน สอง มันมีความรู้สึกว่า...ยังไงล่ะ...สนุกสนานในการจะฆ่า Enjoy Killing น่ะ คือ หมายความว่า กระทิงก็ดีหรือไอ้กวางก็ดี อะไรเงี๊ยะ มันผ่านเข้าทางปืนเราแล้วเรายิง เวลามันม้วนกลิ้งลงไปมันเป็นภาพซึ่ง...ซึ่งอธิบายไม่ถูก เวลามันวิ่งเอาหัวชนพื้นก่อนที่ตีลังกาสามสี่ทอด
แต่นี่คือความคิดของผมในยุคโน้นนะครับ ไม่ยุคนี้ ยุคนี้ผมทำไม่ได้เลย สงสารมัน
........
พนมเทียนเข้าป่าไหนบ้าง
หลายป่า ส่วนใหญ่ก็แถบเมืองกาญจน์นี่ล่ะครับ หรือไม่ก็ทางปักษ์ใต้ แถบยะลาเข้าไปแต่ละครั้งก็สิบห้าวันบ้าง เดือนนึงบ้าง บางทีก็เอารถไป บางทีก็ไปรถไฟ อย่างแถวไทรโยค เมื่อก่อนเขาไม่ควบคุมอาวุธปืนเท่าไหร่ ปืนไรเฟิลนี่ห่อๆ รวมกันเข้า ถ้าหากการ์ดรถถาม ก็บอกว่าเครื่องมือรังวัด จะไปสำรวจรังวัดที่นั่งรถไฟไปลงที่ใกล้น้ำตกนะฮะ แล้วก็ข้ามเรือไปถ้าไปด้วยรถจิ๊ป ก็ฝากชาวบ้านไว้ แล้วก็เดินเท้าต่อหรือไม่ก็เกวียน
พนมเทียนล่าสัตว์มานาน ทำไมจึงเลิกล่า
ผมสำนึกได้ มาสำนึกเมื่อตัวเองมีอายุ ผมยุติมา 27 ปีแล้ว
ปี 2511 ปีที่ลูกชายผมเกิด ผมเข้าป่าปีนั้นปีสุดท้าย รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ เริ่มหายใจไม่ออก เริ่มมึนศรีษะอย่างรุนแรง ตอนนั้นอายุผมย่าง 40 ตัดสินใจเด็ดขาด
ทุกวันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ยังมีการล่าสัตว์
สัตว์มีน้อยเต็มทีแล้ว ตอนนี้ผมก็อยู่ในกลุ่มต่อต้านการล่าด้วย ขออย่าทำมันเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก เราอยู่ในบ้านในเมืองก็สบายดีอยู่แล้ว
ป่าก็เหมือนกันครับ ตอนนี้ โอ้โห...เสียดายมาก ไม่รู้จะทำอย่างไงครับ พูดแล้วก็เหมือนกับคนที่เคยทั่วๆไปนั่นแหละ สมัยหนุ่มๆนั่น ป่ายังเป็นป่าจริงๆ ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ มีแต่ไม้ตายซาก
จากประสบการณ์ตัวเอง ทำให้คิดเขียนเรื่องเพชรพระอุมาขึ้นมา
คืออย่างนี้นะฮะ ผมเกิดมาเป็นนักเขียนนักประพันธ์ เรื่องอะไรก็ต้องเขียนจะสังเกตได้ว่าผมเขียนเรื่องหลายประเภท
แล้วผมก็เที่ยวป่าตั้งแต่เด็กกระทั่งหนุ่ม ปมก็คิดว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องเขียนเรื่องป่าให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ แต่ตอนที่คิดนั่น ยังไม่ลงมือเขียนเพราะตอนนั้น บรมครูซึ่งเป็นรุ่นอาผมยังมีชีวิตอยู่ คุณครูมาลัย ชูพินิจหรือ 'เรียมเอง' หรือ ('น้อย อินทนนท์' ผู้เขียน 'ล่องไพร') ผมก็คิดว่าอย่าไปเขียนแข่งกับท่าน ให้ท่านเล่นไปก่อน ในที่สุดท่านก็ล่วงลับไป เมื่อสบโอกาส ผมจึงเริ่มเขียนบ้าง
.................................................
ขอถามเรื่องปืนบ้าง สมัยที่พนมเทียนยังท่องป่า ชอบปืนขนาดไหนเป็นพิเศษ
ผมใช้ชนิดเดียวกับรพินทร์ครับ (หัวเราะ) คาลิเบอร์ .458 (คุณเป๊กกี้ซึ่งนั่งอยู่ด้วย เสริมว่า ชอบถึงขนาดไปขอทะเบียนรถหมายเลขนี้โดยเฉพาะ)
..................................................
ผมเคยเป็นพราน แล้วก็เปลี่ยน เลิกล่าสัตว์ ศึกษาธรรมะ ...
มีจุดสรุปอย่างหนึ่ง ที่ผมได้จากการเขียนเรื่องนี้ เรียกว่า 3 ลักษณะ คือในตอนต้นนั้น
เป็นศิลปะในการล่า เรื่องความเป็นอยู่ของสัตว์ป่า และการดำรงชีพในป่า พอเริ่มภาคหลัง ก็เป็นการเล่นกับคุณธรรม มโนธรรม ความอดกลั้น รวมทั้งด้านจิตวิทยา ส่วนตอนท้ายก็เป็นภาคที่ทำให้ผู้อ่านมาถึงจุดโล่งอกเสียที คือทุกคนสมใจปรารถนา ต่างคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ต้องพลัดพรากอีกแล้ว
....................................................
รพินทร์เป็นคนที่ไม่อยากทำร้ายคนอื่น แม้แต่การฆ่าสัตว์ ก็ไม่ยิงทิ้งยิงขว้าง จะยิงเฉพาะเป็น อาหารหรือป้องกันชีวิตคนอื่น ผิดกับพวกเจ้านายที่ยิงกันคะนองมือจริงๆแล้ว
...................................................
ขอบคุณเนื้อหาจาก: โลกนวนิยาย รายสัปดาห์ ฉบับที่ 12 ประจำวันที่ 29 – 4 เมษายน 2539
'เพชรพระอุมา' ขายให้ฝรั่งคือทางออก?
ดีแล้วที่ ช่อง 7 ไม่ทำซะที
แม้จะเป็นเรื่องแต่ง แม้จะทำหนองน้ำแห้งเป็นเขตสงวนรักษาพันธ์สัตว์ป่า โดยมีรพินทร์เป็นผู้ดูแล(จากบทสัมภาษณ์) แต่สถานการณ์ปัจจุบัน
(จากกระแสคดีเจ้าสัวล่าสัตว์ป่ามรดกโลก) ยังไงก็ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เหมือนส่งเสริมให้เข้าป่าล่าสัตว์ เรียกว่าอ้างคนดูสามารถแยกแยะละครกับกรณีนี้ไม่ได้
คิดแบบนี้ อาจยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งถ้า ช่อง 7 ไม่ต่อลิขสิทธิ์(หากคิดเหมือนเรา ตระหนักถึงผลกระทบและความไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียตังค์ฟรี) คงมีคนต่อคิวแย่งซื้อ ยิ่งรู้สึกท้าทาย อยากเอาชนะจะสร้างให้ได้
ขอแนะนำ ขายลิขสิทธ์ให้ต่างชาติทำซีรี่ส์(TV Series)ดีกว่าโดยเฉพาะฝรั่ง เงินถึง มือถึง เช่น J.J. Abrams (Lost) ต้องระดับฮอลลีวู้ดถึงจะเติมเต็มจินตนาการได้ บทประพันธ์คลาสสิคตลอดกาลที่คนไทยอยากให้มีชีวิตมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ฝีมือการประพันธ์ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก แล้วที่คนไทยไม่ทำก็เพราะวิกฤติสัตว์ป่าอาจไปซ้ำเติมปัญหาแค่ข้อนี้ข้อเดียวก็เป็นทางลงทางออกที่สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเงินและคุณภาพซีจี
หรือถ้าเจ้าของบทประพันธ์ไม่คิดขายให้ต่างชาติ ตามความเห็นของเราให้อยู่ในตัวหนังสือนี่แหละดีที่สุด อย่างน้อยชื่อเสียงความโด่งดังเหนือกาลเวลาของนิยายอมตะ 'เพชรพระอุมา' ก็ช่วยเสริมคุณค่าของ 'หนังสือ' (กระดาษที่จับต้องได้) ที่อายุขัยสวนทางกับการเติบโตของยุคดิจิตอลทุกทีจนน่าใจหาย
แม้จะดาวน์โหลดอ่านได้ก็ตามทีเถอะ
'พนมเทียน'(เพชรพระอุมา) ล่าสัตว์มานานทำไมจึงเลิกล่า
คัดบทสัมภาษณ์บางส่วนจากเว็บไซต์ happyreading.in.th ที่มาของ 'เพชรพระอุมา' และประสบการณ์ล่าสัตว์รวมไปถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกล่าตลอดชีวิตของผู้ประพันธ์
ประสบการณ์ในชีวิตจริงของพนมเทียน ไม่ทราบว่าการจับมือเข้าป่าครั้งแรกเป็นอย่างไร
ผมมีบ้านอยู่สายบุรี ปัตตานีนะครับ ตระกูลผมก็เคยทำเหมืองทองเหมืองโต๊ะโมะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่นราธิวาส ที่นั่นน่ะป่าทั้งนั้น ผมก็ขลุกอยู่กับพราน พวกพรานพื้นเมืองล่ะ อย่างตาบุญคำในเพชรพระอุมาก็มีตัวจริงนะ แกเป็นมุสลิม อยู่กับคุณตาผม ทะลึ่งที่หนึ่งเลย (หัวเราะ)
ผมจับปืนครั้งแรก อายุราว 14-15 ปี
กว่าจะยิงปืนแม่นใช้เวลานานไหม
ผมเป็นคนทำบาปขึ้นฮะ ยิงอะไรจะถูกเสมอ เขาเรียกว่าคนทำบาปขึ้นคือมีเคราะห์มากนะฮะ อย่างบางทีผมก็ยิงไม่ตั้งใจนะ ยิงสกัดหน้าสกัดหลัง ก็ยังไปถูกมัน เริ่มตั้งแต่สัตว์เล็กก่อน กระรอก กระแต นก ไล่ขึ้นไปเรื่อย มีสัตว์ชนิดเดียวที่ผมไม่ล่าคือช้าง เพราะเราตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ในใจว่า เขาเป็นสัตว์ใหญ่เหลือเกิน ถ้าหากว่าไม่ใช่ป้องกันชีวิตตัวเองหรือผู้อื่นที่ไปด้วยกันแล้ว จะไม่ยิงเป็นอันขาด
เข้าป่านี่มีความสุขมากไหม เข้าไปเพื่อพักผ่อนหรือล่าสัตว์มากกว่ากัน
เข้าป่าแต่ละครั้งผมถือว่า หนึ่ง ไปพักผ่อน สอง มันมีความรู้สึกว่า...ยังไงล่ะ...สนุกสนานในการจะฆ่า Enjoy Killing น่ะ คือ หมายความว่า กระทิงก็ดีหรือไอ้กวางก็ดี อะไรเงี๊ยะ มันผ่านเข้าทางปืนเราแล้วเรายิง เวลามันม้วนกลิ้งลงไปมันเป็นภาพซึ่ง...ซึ่งอธิบายไม่ถูก เวลามันวิ่งเอาหัวชนพื้นก่อนที่ตีลังกาสามสี่ทอด
แต่นี่คือความคิดของผมในยุคโน้นนะครับ ไม่ยุคนี้ ยุคนี้ผมทำไม่ได้เลย สงสารมัน
........
พนมเทียนเข้าป่าไหนบ้าง
หลายป่า ส่วนใหญ่ก็แถบเมืองกาญจน์นี่ล่ะครับ หรือไม่ก็ทางปักษ์ใต้ แถบยะลาเข้าไปแต่ละครั้งก็สิบห้าวันบ้าง เดือนนึงบ้าง บางทีก็เอารถไป บางทีก็ไปรถไฟ อย่างแถวไทรโยค เมื่อก่อนเขาไม่ควบคุมอาวุธปืนเท่าไหร่ ปืนไรเฟิลนี่ห่อๆ รวมกันเข้า ถ้าหากการ์ดรถถาม ก็บอกว่าเครื่องมือรังวัด จะไปสำรวจรังวัดที่นั่งรถไฟไปลงที่ใกล้น้ำตกนะฮะ แล้วก็ข้ามเรือไปถ้าไปด้วยรถจิ๊ป ก็ฝากชาวบ้านไว้ แล้วก็เดินเท้าต่อหรือไม่ก็เกวียน
พนมเทียนล่าสัตว์มานาน ทำไมจึงเลิกล่า
ผมสำนึกได้ มาสำนึกเมื่อตัวเองมีอายุ ผมยุติมา 27 ปีแล้ว
ปี 2511 ปีที่ลูกชายผมเกิด ผมเข้าป่าปีนั้นปีสุดท้าย รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ เริ่มหายใจไม่ออก เริ่มมึนศรีษะอย่างรุนแรง ตอนนั้นอายุผมย่าง 40 ตัดสินใจเด็ดขาด
ทุกวันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ยังมีการล่าสัตว์
สัตว์มีน้อยเต็มทีแล้ว ตอนนี้ผมก็อยู่ในกลุ่มต่อต้านการล่าด้วย ขออย่าทำมันเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก เราอยู่ในบ้านในเมืองก็สบายดีอยู่แล้ว
ป่าก็เหมือนกันครับ ตอนนี้ โอ้โห...เสียดายมาก ไม่รู้จะทำอย่างไงครับ พูดแล้วก็เหมือนกับคนที่เคยทั่วๆไปนั่นแหละ สมัยหนุ่มๆนั่น ป่ายังเป็นป่าจริงๆ ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ มีแต่ไม้ตายซาก
จากประสบการณ์ตัวเอง ทำให้คิดเขียนเรื่องเพชรพระอุมาขึ้นมา
คืออย่างนี้นะฮะ ผมเกิดมาเป็นนักเขียนนักประพันธ์ เรื่องอะไรก็ต้องเขียนจะสังเกตได้ว่าผมเขียนเรื่องหลายประเภทแล้วผมก็เที่ยวป่าตั้งแต่เด็กกระทั่งหนุ่ม ปมก็คิดว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องเขียนเรื่องป่าให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ แต่ตอนที่คิดนั่น ยังไม่ลงมือเขียนเพราะตอนนั้น บรมครูซึ่งเป็นรุ่นอาผมยังมีชีวิตอยู่ คุณครูมาลัย ชูพินิจหรือ 'เรียมเอง' หรือ ('น้อย อินทนนท์' ผู้เขียน 'ล่องไพร') ผมก็คิดว่าอย่าไปเขียนแข่งกับท่าน ให้ท่านเล่นไปก่อน ในที่สุดท่านก็ล่วงลับไป เมื่อสบโอกาส ผมจึงเริ่มเขียนบ้าง
.................................................
ขอถามเรื่องปืนบ้าง สมัยที่พนมเทียนยังท่องป่า ชอบปืนขนาดไหนเป็นพิเศษ
ผมใช้ชนิดเดียวกับรพินทร์ครับ (หัวเราะ) คาลิเบอร์ .458 (คุณเป๊กกี้ซึ่งนั่งอยู่ด้วย เสริมว่า ชอบถึงขนาดไปขอทะเบียนรถหมายเลขนี้โดยเฉพาะ)
..................................................
ผมเคยเป็นพราน แล้วก็เปลี่ยน เลิกล่าสัตว์ ศึกษาธรรมะ ...
มีจุดสรุปอย่างหนึ่ง ที่ผมได้จากการเขียนเรื่องนี้ เรียกว่า 3 ลักษณะ คือในตอนต้นนั้น เป็นศิลปะในการล่า เรื่องความเป็นอยู่ของสัตว์ป่า และการดำรงชีพในป่า พอเริ่มภาคหลัง ก็เป็นการเล่นกับคุณธรรม มโนธรรม ความอดกลั้น รวมทั้งด้านจิตวิทยา ส่วนตอนท้ายก็เป็นภาคที่ทำให้ผู้อ่านมาถึงจุดโล่งอกเสียที คือทุกคนสมใจปรารถนา ต่างคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ต้องพลัดพรากอีกแล้ว
....................................................
รพินทร์เป็นคนที่ไม่อยากทำร้ายคนอื่น แม้แต่การฆ่าสัตว์ ก็ไม่ยิงทิ้งยิงขว้าง จะยิงเฉพาะเป็น อาหารหรือป้องกันชีวิตคนอื่น ผิดกับพวกเจ้านายที่ยิงกันคะนองมือจริงๆแล้ว
...................................................
ขอบคุณเนื้อหาจาก: โลกนวนิยาย รายสัปดาห์ ฉบับที่ 12 ประจำวันที่ 29 – 4 เมษายน 2539
'เพชรพระอุมา' ขายให้ฝรั่งคือทางออก?
ดีแล้วที่ ช่อง 7 ไม่ทำซะที
แม้จะเป็นเรื่องแต่ง แม้จะทำหนองน้ำแห้งเป็นเขตสงวนรักษาพันธ์สัตว์ป่า โดยมีรพินทร์เป็นผู้ดูแล(จากบทสัมภาษณ์) แต่สถานการณ์ปัจจุบัน
(จากกระแสคดีเจ้าสัวล่าสัตว์ป่ามรดกโลก) ยังไงก็ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เหมือนส่งเสริมให้เข้าป่าล่าสัตว์ เรียกว่าอ้างคนดูสามารถแยกแยะละครกับกรณีนี้ไม่ได้
คิดแบบนี้ อาจยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งถ้า ช่อง 7 ไม่ต่อลิขสิทธิ์(หากคิดเหมือนเรา ตระหนักถึงผลกระทบและความไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียตังค์ฟรี) คงมีคนต่อคิวแย่งซื้อ ยิ่งรู้สึกท้าทาย อยากเอาชนะจะสร้างให้ได้
ขอแนะนำ ขายลิขสิทธ์ให้ต่างชาติทำซีรี่ส์(TV Series)ดีกว่าโดยเฉพาะฝรั่ง เงินถึง มือถึง เช่น J.J. Abrams (Lost) ต้องระดับฮอลลีวู้ดถึงจะเติมเต็มจินตนาการได้ บทประพันธ์คลาสสิคตลอดกาลที่คนไทยอยากให้มีชีวิตมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ฝีมือการประพันธ์ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก แล้วที่คนไทยไม่ทำก็เพราะวิกฤติสัตว์ป่าอาจไปซ้ำเติมปัญหาแค่ข้อนี้ข้อเดียวก็เป็นทางลงทางออกที่สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเงินและคุณภาพซีจี
หรือถ้าเจ้าของบทประพันธ์ไม่คิดขายให้ต่างชาติ ตามความเห็นของเราให้อยู่ในตัวหนังสือนี่แหละดีที่สุด อย่างน้อยชื่อเสียงความโด่งดังเหนือกาลเวลาของนิยายอมตะ 'เพชรพระอุมา' ก็ช่วยเสริมคุณค่าของ 'หนังสือ' (กระดาษที่จับต้องได้) ที่อายุขัยสวนทางกับการเติบโตของยุคดิจิตอลทุกทีจนน่าใจหาย
แม้จะดาวน์โหลดอ่านได้ก็ตามทีเถอะ