คุณสมบัติคณะกรรมการประจำหลักสูตร... โดย Chanin Chareonkul .. 12/2/2561
https://pantip.com/topic/37368621
ท่านอาจารย์ Chanin Chareonkul เขียนได้เห็นภาพชัดว่าการกำหนดชื่อปริญญาเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของอาจารย์ประจำหลักสูตร ทำให้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอื่นที่ไม่ได้มีปริญญาตรงกับชือหลักสูตรมาเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรไม่ได้ ทั้งๆที่โลกเรานี้องค์ความรู้ต่างๆก็เป็นสหวิทยาการ (multidisciplinary) คณะกรรมการ สกอ.ที่กำหนดเงือนไขไม่รู้ไปหลับอยู่ไหนหลายสิบปี ตอนหนึ่งท่านเขียนว่า...
“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามที่พ่อสอนไว้ ไม่อยากเป็นลูกหลาน
ไม่รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง และอาศัยตำแหน่งความได้เปรียบ เร่หากำไรประโยชน์เข้าหาตัว..."
ทำให้ผมนึกว่าถ้าคณะกรรมการให้รางวัลโนบลเอาตามอย่างคณะกรรมการกำหนดเงื่อนไขหลักสูตรของ สกอ. โลกคงไม่มีผู้รับรางวัลโนเบิลทางเศรษฐศาสตร์อย่าง Prof. Herbert H. Simon (ได้รางวัลปี 1978 (
https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/economic-sciences/laureates/1978/press.html ) เพราะท่านไม่มีปริญญาทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นศาสตราจารย์ที่มีปริญญาด้านรัฐศาสตร์ มีงานวิจัยตีพิมพ์นอกจากทฤษฎีการตัดสินใจในภาวะเหตุผลจำกัด (bounded rational decision theory) แล้ว ยังมีด้าน สถิติประยุกต์ การวิเคราะห์ปฏิบัติการ บริหารธุรกิจ และที่สำคัญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI: artificial intelligence)
ไปอ่านข้อเขียนของท่านอาจารย์ข้างล่างครับ
.. สรายุทธ 12/2/2561
https://www.facebook.com/search/top/?q=chanin%20chareonkul
ข้าพเจ้า ขอบอกแต่ต้นว่า ความคิดเห็นต่อไปนี้ เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้า ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่มีส่วนใดๆเกี่ยวข้องกับสถาบันที่ข้าพเจ้า เคย และ หรือ ที่ได้ไปพึ่งพาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน เขียนมายาวหน่อย
ด้วยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้สูงวัย แต่ก็ไม่ใช่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน นั่งติดตามท่านที่สถาปนาตัวเอง หรืออาศัยผู้มีอำนาจ หรือใช้โอกาสที่คนเบื่อผู้มีอำนาจ แทรกตัวเข้าไป กำหนดมาตรฐานโน่นนี่นั่น กำหนดทิศทางการพัฒนาทั้งทางวิชาการ และวิชาชีพ จะด้วยผลประโยชน์ หรือเพื่อพวกพ้อง โดยไม่ฟังเสียงใคร เอากฏหมายยุคพวกมากลากไป ออกมา กฏกระทรวง และเฉพาะ สกอ ที่ออกมาสมัยพระเจ้าเหา มาทำให้ปั่นป่วนไปหมด
ตอนแรก ขอพูดถึง “คุณสมบัติของคณะกรรมการหลักสูตร” โดยหลักการแล้วดีมาก แต่การกำหนดคุณสมบัติคณะกรรมการโดยเอา “ชื่อปริญญา” มาเป็นตัวตั้ง หากเป็นหลักสูตร ที่เป็นสหวิชาการ และต้องสร้างคนออกมารับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนวุ่นวาน ทำนายอนาคตยาก จะต้องอาศัย ความรู้ความสามารถข้ามสาขา (Transdisciplinary) สร้างคนให้คิดเป็น รับมือและนำความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ให้กรรมการประจำหลักสูตร แต่งตั้งโดย มาเอาชื่อปริญญา เป็นเกณฑ์ มันต้องคิดใหม่ รวมทั้งเกณฑ์ การขอตำแหน่งวิชาการด้วย
ยกตัวอย่าง หลักสูตรด้านการสาธารณสุข คณะกรรมการประจำหลักสูตร จะต้องมีปริญญาทางการสาธารณสุข จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า
1. คุณูปการของคนคิดค้นและพัฒนา ตารางชีพ ทั้ง John Grount และ Halley คนแรกถือเสมือน บิดาด้านประชากรศาสตร์ คนที่สองเป็นนักดาราศาสตร์ คิด สร้างหลักการ ตารางชีพ ให้นักสาธารณสุข มาพัฒนา summary measures of population health ที่นักวิชาการและวิชาชีพสาธารณสุข นำมาใช้เป็นเครื่องมือบอกขนาด (Magnitude) ของปัญหาและความเสี่ยงด้านสุขภาพในทุกวันนี้ เช่น DALY, HALE ฯลฯ ในองค์ประกอบของคณะกรรมการหลักสูตรสาธารณสุขศาตร์ ควรมีผู้รู้ด้านนี้หรือไม่ นี่ยังไม่ต้องพูดถึง สถานการณ์โลกาภิวัตน์ ที่กระทบต่อการ เกิด ตาย ย้ายถิ่น ประชากรชายขอบ ผู้เปราะบาง ฯลฯ
2. ในขณะที่แวดวงวิชาการ เขาพยายามผลักดันการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ด้านการสาธารณสุข เช่น มีผู้เสนอว่า “การสาธารณสุขคืออะไรก็ตาม ที่สังคมขับเคลื่อนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร” ไม่ใช่เพียง “วิทยาศาสตร์หรือศิลปะ ในการป้องกันโรค ....” ที่ท่องกันแบบนกแก้วนกขุนทอง ลองกลับไปดูประวัติศาสตร์สาธารณสุข คนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเสมือนบิดาการสาธารณสุขยุคใหม่ คือ Sir Edwin Chadwick นักกฎหมายและนักปฏิรูปสังคม เห็นความทุกข์ยากของผู้ยากไร้ ทั้งด้านความเจ็บป่วย และความลำบากขัดสน ไร้หลักประกัน ได้ขับเคลื่อนการออกกฏหมาย The Poor Law คนในแวดวงสาธารณสุข ที่รู้รากเหง้าของวิชาชีพตนเอง ก็จะเชิดชู และไม่เข้าใจผิดว่า Winlows ผู้เสนอ นิยาม การสาธารณสุข ว่าเป็นเสมือนบิดาของวิชาชีพนี้ (นายแพทย์ วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร แพทย์ไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Edwin Chadwick อันทรงเกียรติ จากอังกฤษ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง) ตอนนี้กฏหมาย เป็นเครื่องมือที่สำคัญ และเราต้องการผู้รู้ทางกฏหมาย มาเอื้ออำนวยความยุติธรรม คุ้มครองคนให้เสมอภาคด้านกฏหมายโดยถ้วนหน้า คนที่มีพื้นฐานทางกฏหมาย ก็ต้องเข้ามาช่วยัฒนาและบริหารหลักสูตร
3. ขณะที่ องคการอนามัยโลก ขับเคลื่อน 🚎Health in All, All in health ให้การกำหนดนโยบายสาธารณะทุกเรื่อง เอาประเด็นด้านสาธารณสุข เข้าไปพิจารณาด้วย นักรัฐประศาสนศาสตร์ ก็ต้องมีบทบาทในวิชาชีพนี้ แต่กลับถูกตีความว่าชื่อปริญญา ไม่ตรง เป็นกรรมการหลักสูตรไม่ได้
4. ในขณะที่แบบแผนปัญหาสุขภาพคนไทยเป็นลูกผสมทั้งติดเชื้อ เรื้อรัง ไม่ติดต่อ และโรคที่มาจากพยาธิทางสังคมในกระแสการเปลี่ยนแปลง รู้ทั้งรู้ว่า สถานการณ์ที่เป็นแบบ Syndemics (พนันเลยว่าถาม คำนี้ พวกกำหนดมาตรฐาน ของ สกอ หลายคนก็ไม่รู้ ขอปรามาส) เรายังงุ่มง่ามอยู่กับการแก้ปัญหาที่เน้น Pathogenesis approach ทำมาหากินกับความทุกข์ของชาวบ้าน แก้ปัญหาเชิงกลไก เสมือนเครื่องมือแค่มีฆ้อน ก็ทำได้แค่ทุบ ให้ปัญหามันยุบลงไป ทั้งๆที่รู้ว่า หลายโรคที่เราแบกปัญหาอยู่ทุกวันนี้ มันเรื้อรัง รักษาไม่หาย แต่คนก็สามารถจะอยู่อย่างมีคุณภาพได้ มุมองและการคิดแก้ปัญหาเชิงระบบที่ซับซ้อน ต้องนำมาช่วยกันคิดกันทำ ปรับเอาแนว Salutogenesis มาใช้ด้วย แต่ก็ไม่นำพา ตีกรอบซะงานสาธารณสุขกลับไปยุคมืด สมัยห่า (Black Death) ลงในยุโรปโน้น (แกล้งดัดจริตเขียนให้พวกกำหนดมาตรฐานทางการศึกษา ที่ สกอ หมั่นไส้เล่น และถ้าข้องใจ ก็โต้มา)
5. ที่เขียนมาทั้งหมด จะว่าไป ก็กระทบผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะตัวเองมีคุณสมบัติ เป็นกรรมการหลักสูตรด้านสาธารณสุขอยู่แล้ว แต่ต้องเขียน เพราะหวั่นใจว่า การที่เราพูดๆ ทำๆ กัน เราต้อง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามที่พ่อสอนไว้ ไม่อยากเป็นลูกหลาน

ไม่รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง และอาศัยตำแหน่งความได้เปรียบ เร่หากำไรประโยชน์เข้าหาตัว.... ใครโกรธก็ช่าง ในจะด่าก็ช่าง เพราะฉันไม่อยากให้มีกรณีการฟ้องศาลปกครองเพื่อพิทักษ์สิทธิ ของคนที่มีความสามารถ มีคุณธรรม ที่จะมาผดุงวิชาชีพนี้...ฉันมันนับถอยหลังจะเข้าโลงแล้ว...
คุณสมบัติคณะกรรมการประจำหลักสูตร... โดย Chanin Chareonkul .. 12/2/2561 สรายุทธ กันหลง
https://pantip.com/topic/37368621
ท่านอาจารย์ Chanin Chareonkul เขียนได้เห็นภาพชัดว่าการกำหนดชื่อปริญญาเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของอาจารย์ประจำหลักสูตร ทำให้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญอื่นที่ไม่ได้มีปริญญาตรงกับชือหลักสูตรมาเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรไม่ได้ ทั้งๆที่โลกเรานี้องค์ความรู้ต่างๆก็เป็นสหวิทยาการ (multidisciplinary) คณะกรรมการ สกอ.ที่กำหนดเงือนไขไม่รู้ไปหลับอยู่ไหนหลายสิบปี ตอนหนึ่งท่านเขียนว่า...
“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามที่พ่อสอนไว้ ไม่อยากเป็นลูกหลาน
ทำให้ผมนึกว่าถ้าคณะกรรมการให้รางวัลโนบลเอาตามอย่างคณะกรรมการกำหนดเงื่อนไขหลักสูตรของ สกอ. โลกคงไม่มีผู้รับรางวัลโนเบิลทางเศรษฐศาสตร์อย่าง Prof. Herbert H. Simon (ได้รางวัลปี 1978 ( https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/economic-sciences/laureates/1978/press.html ) เพราะท่านไม่มีปริญญาทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นศาสตราจารย์ที่มีปริญญาด้านรัฐศาสตร์ มีงานวิจัยตีพิมพ์นอกจากทฤษฎีการตัดสินใจในภาวะเหตุผลจำกัด (bounded rational decision theory) แล้ว ยังมีด้าน สถิติประยุกต์ การวิเคราะห์ปฏิบัติการ บริหารธุรกิจ และที่สำคัญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI: artificial intelligence)
ไปอ่านข้อเขียนของท่านอาจารย์ข้างล่างครับ
.. สรายุทธ 12/2/2561
https://www.facebook.com/search/top/?q=chanin%20chareonkul
ข้าพเจ้า ขอบอกแต่ต้นว่า ความคิดเห็นต่อไปนี้ เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้า ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่มีส่วนใดๆเกี่ยวข้องกับสถาบันที่ข้าพเจ้า เคย และ หรือ ที่ได้ไปพึ่งพาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน เขียนมายาวหน่อย
ด้วยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้สูงวัย แต่ก็ไม่ใช่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน นั่งติดตามท่านที่สถาปนาตัวเอง หรืออาศัยผู้มีอำนาจ หรือใช้โอกาสที่คนเบื่อผู้มีอำนาจ แทรกตัวเข้าไป กำหนดมาตรฐานโน่นนี่นั่น กำหนดทิศทางการพัฒนาทั้งทางวิชาการ และวิชาชีพ จะด้วยผลประโยชน์ หรือเพื่อพวกพ้อง โดยไม่ฟังเสียงใคร เอากฏหมายยุคพวกมากลากไป ออกมา กฏกระทรวง และเฉพาะ สกอ ที่ออกมาสมัยพระเจ้าเหา มาทำให้ปั่นป่วนไปหมด
ตอนแรก ขอพูดถึง “คุณสมบัติของคณะกรรมการหลักสูตร” โดยหลักการแล้วดีมาก แต่การกำหนดคุณสมบัติคณะกรรมการโดยเอา “ชื่อปริญญา” มาเป็นตัวตั้ง หากเป็นหลักสูตร ที่เป็นสหวิชาการ และต้องสร้างคนออกมารับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนวุ่นวาน ทำนายอนาคตยาก จะต้องอาศัย ความรู้ความสามารถข้ามสาขา (Transdisciplinary) สร้างคนให้คิดเป็น รับมือและนำความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ให้กรรมการประจำหลักสูตร แต่งตั้งโดย มาเอาชื่อปริญญา เป็นเกณฑ์ มันต้องคิดใหม่ รวมทั้งเกณฑ์ การขอตำแหน่งวิชาการด้วย
ยกตัวอย่าง หลักสูตรด้านการสาธารณสุข คณะกรรมการประจำหลักสูตร จะต้องมีปริญญาทางการสาธารณสุข จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า
1. คุณูปการของคนคิดค้นและพัฒนา ตารางชีพ ทั้ง John Grount และ Halley คนแรกถือเสมือน บิดาด้านประชากรศาสตร์ คนที่สองเป็นนักดาราศาสตร์ คิด สร้างหลักการ ตารางชีพ ให้นักสาธารณสุข มาพัฒนา summary measures of population health ที่นักวิชาการและวิชาชีพสาธารณสุข นำมาใช้เป็นเครื่องมือบอกขนาด (Magnitude) ของปัญหาและความเสี่ยงด้านสุขภาพในทุกวันนี้ เช่น DALY, HALE ฯลฯ ในองค์ประกอบของคณะกรรมการหลักสูตรสาธารณสุขศาตร์ ควรมีผู้รู้ด้านนี้หรือไม่ นี่ยังไม่ต้องพูดถึง สถานการณ์โลกาภิวัตน์ ที่กระทบต่อการ เกิด ตาย ย้ายถิ่น ประชากรชายขอบ ผู้เปราะบาง ฯลฯ
2. ในขณะที่แวดวงวิชาการ เขาพยายามผลักดันการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ด้านการสาธารณสุข เช่น มีผู้เสนอว่า “การสาธารณสุขคืออะไรก็ตาม ที่สังคมขับเคลื่อนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร” ไม่ใช่เพียง “วิทยาศาสตร์หรือศิลปะ ในการป้องกันโรค ....” ที่ท่องกันแบบนกแก้วนกขุนทอง ลองกลับไปดูประวัติศาสตร์สาธารณสุข คนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเสมือนบิดาการสาธารณสุขยุคใหม่ คือ Sir Edwin Chadwick นักกฎหมายและนักปฏิรูปสังคม เห็นความทุกข์ยากของผู้ยากไร้ ทั้งด้านความเจ็บป่วย และความลำบากขัดสน ไร้หลักประกัน ได้ขับเคลื่อนการออกกฏหมาย The Poor Law คนในแวดวงสาธารณสุข ที่รู้รากเหง้าของวิชาชีพตนเอง ก็จะเชิดชู และไม่เข้าใจผิดว่า Winlows ผู้เสนอ นิยาม การสาธารณสุข ว่าเป็นเสมือนบิดาของวิชาชีพนี้ (นายแพทย์ วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร แพทย์ไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Edwin Chadwick อันทรงเกียรติ จากอังกฤษ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง) ตอนนี้กฏหมาย เป็นเครื่องมือที่สำคัญ และเราต้องการผู้รู้ทางกฏหมาย มาเอื้ออำนวยความยุติธรรม คุ้มครองคนให้เสมอภาคด้านกฏหมายโดยถ้วนหน้า คนที่มีพื้นฐานทางกฏหมาย ก็ต้องเข้ามาช่วยัฒนาและบริหารหลักสูตร
3. ขณะที่ องคการอนามัยโลก ขับเคลื่อน 🚎Health in All, All in health ให้การกำหนดนโยบายสาธารณะทุกเรื่อง เอาประเด็นด้านสาธารณสุข เข้าไปพิจารณาด้วย นักรัฐประศาสนศาสตร์ ก็ต้องมีบทบาทในวิชาชีพนี้ แต่กลับถูกตีความว่าชื่อปริญญา ไม่ตรง เป็นกรรมการหลักสูตรไม่ได้
4. ในขณะที่แบบแผนปัญหาสุขภาพคนไทยเป็นลูกผสมทั้งติดเชื้อ เรื้อรัง ไม่ติดต่อ และโรคที่มาจากพยาธิทางสังคมในกระแสการเปลี่ยนแปลง รู้ทั้งรู้ว่า สถานการณ์ที่เป็นแบบ Syndemics (พนันเลยว่าถาม คำนี้ พวกกำหนดมาตรฐาน ของ สกอ หลายคนก็ไม่รู้ ขอปรามาส) เรายังงุ่มง่ามอยู่กับการแก้ปัญหาที่เน้น Pathogenesis approach ทำมาหากินกับความทุกข์ของชาวบ้าน แก้ปัญหาเชิงกลไก เสมือนเครื่องมือแค่มีฆ้อน ก็ทำได้แค่ทุบ ให้ปัญหามันยุบลงไป ทั้งๆที่รู้ว่า หลายโรคที่เราแบกปัญหาอยู่ทุกวันนี้ มันเรื้อรัง รักษาไม่หาย แต่คนก็สามารถจะอยู่อย่างมีคุณภาพได้ มุมองและการคิดแก้ปัญหาเชิงระบบที่ซับซ้อน ต้องนำมาช่วยกันคิดกันทำ ปรับเอาแนว Salutogenesis มาใช้ด้วย แต่ก็ไม่นำพา ตีกรอบซะงานสาธารณสุขกลับไปยุคมืด สมัยห่า (Black Death) ลงในยุโรปโน้น (แกล้งดัดจริตเขียนให้พวกกำหนดมาตรฐานทางการศึกษา ที่ สกอ หมั่นไส้เล่น และถ้าข้องใจ ก็โต้มา)
5. ที่เขียนมาทั้งหมด จะว่าไป ก็กระทบผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะตัวเองมีคุณสมบัติ เป็นกรรมการหลักสูตรด้านสาธารณสุขอยู่แล้ว แต่ต้องเขียน เพราะหวั่นใจว่า การที่เราพูดๆ ทำๆ กัน เราต้อง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามที่พ่อสอนไว้ ไม่อยากเป็นลูกหลาน