

สวัสดีค่าะชาวพันทิพ นี้เป็นครั้งแรกที่เราตั้งกระทู้ ถ้ามีอะไรไม่โอเคต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าฉันอายุ 32 ปีแล้ว ส่วนพี่สาวแท้ๆ อายุมากกว่าฉัน 3 ปี ฉันกับพี่สาวเราแยกกันอยู่ตั้งแต่เกิด เพราะฐานะทางบ้านเราไม่ค่อยดีเลยต้องยกฉันให้เป็นลูกบุญธรรมครอบครัวอื่น ซึ่งหลังจากนั้นฉันได้กลับมาอยู่กับครอบครัวตัวเองอีกครั้งตั้งแต่ตอนที่เข้า ม.ต้น
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่พี่สาวทะเลาะกับคนในครอบครัว ด้วยเรื่องที่เค้าแอบเอาแฟนที่เป็นทอมเข้ามานอนในบ้าน สุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจทิ้งการเรียนแล้วหนีออกจากบ้านไปอยู่กับแฟน โดยมีแค่วุฒิการศึกษาระดับ ปวส. ติดตัวไป ก่อนไปเค้าทิ้งจดหมายไว้บอกว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีกและจะหาเงินมาเลี้ยงดูน้องและแม่ให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงมองว่าพี่สาวเป็นฮีโร่สำหรับฉันอยู่ดี
หลังจากเข้าหนีออกจากบ้านไปเราก็ติดต่อเค้าไม่ค่อยได้ แต่มักมีปัญหาเรื่องหนี้สินของเค้ามาให้ที่บ้านตามแก้ตลอด ทั้งหนี้บัตรเครดิต ทั้งหนี้นอกระบบ เพราะถึงตัวเค้าจะย้ายออก แต่ชื่อเค้ายังคงอยู่ในทะเบียนบ้าน เวลามีคนมาทวงหนี้ก็ทวงหนี้ตามทะเบียนบ้าน ทำให้ที่บ้านหมดเงินไปหลายแสนบาท ข่าวของเค้าที่ได้รับมาก็มีแต่เรื่องที่เค้าทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง ทำงานได้ไม่นานก็ออก ไม่มีงานทำจนไม่มีเงินใช้หนี้บ้างหละ เกาะแฟนกินไปวันๆบ้างหละ เปลี่ยนที่อยู่บ่อยบ้างหละ มีแต่เรื่องให้ครอบครัวเป็นห่วงทั้งนั้น ครอบครัวเราจมอยู่กับเรื่องนี้มานานหลายปี พอที่บ้านติดต่อพี่สาวได้ก็ต่อว่ากันเป็นการใหญ่
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังจะได้ยินคือคำขอโทษ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะคำตอบที่ได้คืออารมณ์ที่ขุ่นมัว พร้อมกับคำพูดที่ว่า "รู้แล้ว ไม่ต้องบ่นมาก เดี๋ยวจะหาเงินมาใช้คืนให้" สิ้นประโยคเค้าก็ตัดสายไป ตัวฉันในตอนนั้นรู้สึกหมดความศรัทธาในตัวพีสาวไปในทันที รู้สึกเหมือนกับว่าคนที่อยู่ปลายสายไม่ใช่พี่สาวคนเดิมที่เรารู้จักอีกต่อไป แต่อีกใจก็ยังคงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเค้าอยู่ดี
จากนั้นไม่นานเค้ากลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับหอบลูกในท้องมาด้วยอีกคน เค้ามาบอกว่าเค้าท้องได้ 5 เดือนแล้ว ตอนนี้เค้าหมดหนทางแล้ว งานไม่มีทำ เงินติดตัวซักบาทก็ไม่มี สามีก็รับผิดชอบไม่ไหวเพราะมีเงินเดือนแค่ไม่กี่พัน อดข้าวมาหลายมื้อแล้ว ร้องไห้จะเป็นจะตายบอกว่าไม่มีเงินไปฝากครรภ์ ไม่มีเงินไปคลอดลูก ด้วยความที่ครอบครัวเราหมดเงินไปกับการใช้หนี้ที่เค้าสร้างมาโดยตลอดเลยไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเค้าได้เต็มที่นัก ซึ่งฉันก็ยังยินดีที่จะช่วย เพราะส่วนนึงก็สงสารเด็กในท้อง กลัวเด็กในท้องจะเป็นอันตราย และด้วยความที่ฉันมีเงินไม่มากนัก ฉันจึงตัดสินใจเลือก รพ.รัฐที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง แต่เค้ากลับปฏิเสธ รพ. ที่เราเลือกให้ โดยแอบเอาเงินที่เราให้ไปฝากครรภ์กับ รพ.เอกชนที่มีคชจ.ค่อนข้างสูง และเลือกให้ผ่าคลอด ซึ่งยิ่งทำให้คชจ.นั้นสูงขึ้นไปอีก ฉันพยายามขอให้เค้าย้าย รพ.หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะบอกคชจ.มันสูงเกินกว่าที่จะช่วยได้ เค้าก็ไม่ฟัง โดยเค้าให้เหตุผลว่าเค้าเชื่อใจ รพ.นี้ ถ้าฉันมีปัญหามากนัก เค้าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเราอีก และจะให้สามีเค้าหาเงินมาจ่ายค่าคลอดเอง สิ่งที่ฉันเห็นมันต่างจากวันแรกที่เค้าอุ้มท้องมาขอความช่วยเหลือโดยสิ้นเชิง ทำให้ฉันตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก สุดท้ายปัญหาก็ยังไม่จบ เมื่อถึงวันคลอดแล้วสามีเค้าไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ สิ่งที่พี่ฉันทำคือ โทรมาร้อยไห้อ้อนวอนขอให้ฉันหาเงินมาจ่ายค่าคลอดให้ ซึ่งเป็นเงินหลายหมื่นบาท อย่างที่บอกฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น และฉันก็ไม่มีสามารถหาเงินหลายหมื่นบาทให้เค้าได้ภายในวันเดียว แต่ก็ตัดสินใจทุ่มเงินเก็บก้อนสุดท้ายทั้งหมดเพื่อช่วยเค้า
หลังจากนั้นไม่ใช่เพียงแค่ค่าคลอดเท่านั้นที่ฉันต้องจ่าย แต่ยังรวมไปถึงของใช้เด็กทุกชิ้น ที่ฉันต้องหาเตรียมไว้ หลังจากที่เค้าคลอดลูกแล้ว ฉันพยายามหาข้อมูลในการเลี้ยงเด็ก ข้อมูลในการดูแลคุณแม่หลังคลอดไปให้เค้าทำ เค้าก็ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมทำตามอะไรเลย สำหรับฉันฉันมองว่าเค้าเลี้ยงลูกเหมือนตุ๊กตานำโชคมากกว่า เค้าขอให้ฉันซื้อของให้หลานทุกเดือน ขอเงินแม่ใช้ทุกวัน ซึ่งเงินที่แม่ใช้ก็คือเงินที่ฉันให้นั้นแหละ ตอนนี้ลูกเค้าครบ 1 ปี แล้ว ฉันแนะนำให้พี่สาวออกไปหางานทำ เพราะจะได้มีเงินไว้ใช้ มีเงินไว้เลี้ยงลูก เพราะนั้นเป็นความรับผิดชอบที่คนเป็นแม่ควรทำ ซึ่งเค้าอ้างว่าตอนนี้เพื่อนเค้าหางานให้ทำแล้ว ได้เงินเดือนเป็นหมื่น แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ เพราะถ้าเค้ามีรายได้จริง เค้าก็ควรจะมีเงินซื้อข้าวกิน มีเงินซื้อนมซื้อผ้าอ้อมให้ลูกใช้ ทุกวันนี้สิ่งที่เห็นคือแม่ยังต้องเอาเงินไปให้เค้าใช้ เอาข้าวไปให้เค้ากินทุกวัน แม่ต้องมาขอให้ฉันซื้อนมซื้อผ้าอ้อมให้หลานทุกเดือน
บอกตามตรงว่าตอนนั้นคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงกับพี่สาวคนนี้ดี ถ้าปล่อยเค้าไปตามมีตามเกิด ก็กลายเป็นทำให้แม่กับยายไม่สบายใจ ถ้าช่วยเค้าเราก็ตาย ทุกครั้งที่เราช่วยเค้า ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังสนับสนุนให้เค้าใช้ชีวิตแบบผิดๆ ตลอดเวลา
สุดท้ายฉันตัดสินใจจะฝากงานให้เค้าทำในร้านกาแฟเล็กที่เป็นของเพื่อนฉัน พร้อมเงินเดือนหลักหมื่น และสอนวิชาชีพการเป็นบาริสต้าให้ฟรี เพราะฉันมองว่าเค้าสามารถพาลูกมาเลี้ยงมีร้านได้ แถมยังเงินเดือนที่แน่นอน มีวิชาชีพติดตัวที่สามารถเอาตัวรอดได้ในอนาคต ที่สำคัญคือพี่สาวฉันเคยบอกว่าเค้าฝันจะมีร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็กในอนาคต แต่ผลคือ พี่สาวฉันปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าเค้าอยากทำงานที่เพื่อนเค้าหาให้มากกว่า ซึ่งงานนั้นได้เงินเดือนละไม่กี่พันบาท ฉันเลยเปลี่ยนเป็นเสนองานให้สามีเค้าแทน โดยให้ไปทำงานที่ร้านซ่อมรถยนต์ มันเป็นงานที่เค้าจะมีรายได้สูงขึ้น และมีวิชาชีพติดตัว แต่สามีเค้าก็ปฏิเสธเช่นกัน เนื่องจากว่าติดเรื่องบุญคุณของเจ้านายคนปัจจุบัน
หลังจากทางออกสุดท้ายที่ฉันเสนอให้ โดนพี่สาวฉันโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยุ่งกับพวกเค้าอีกอีก จะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆอีก ยกเว้นเรื่องที่แม่ฉันแอบเอาเงินและข้าวไปให้พี่สาวฉันทุกวัน ฉันจะถือว่านั้นเป็นความสุขของแม่ที่คงต้องยอม
แต่นั้นกลับไม่ใช่ที่สุด เพราะในวันนี้ แม่ได้โทรมาบอกฉันว่า พี่สาวฉันกำลังท้องลูกคนที่สองได้ 4 เดือนแล้ว และสถานะการเงินของพี่สาวฉันตอนนี้ก็แย่กว่าเดิม (มันยังแย่ได้มากกว่าเดิมอีกหรือ) แม่ขอให้ฉันหาเงินให้พี่สาวฉันเพื่อให้เค้าไปฝากท้อง และคลอดลูก
ฉันควรทำยังไงดีกับเรื่องนี้ ใจนึงก็ไม่อยากช่วยเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะสิ่งที่เค้าทำกับเรามันมากเกินไป แต่ใจนึงก็กลัวว่าเด็กในท้องจะเป็นอันตรายหากเราไม่ยอมช่วย (T__T)
จะทำยังไงดีหากมีพี่สาวหัวรั้น ไม่ยอมทำงาน และชอบดราม่าเวลาขอเงิน?
ต้องบอกก่อนว่าฉันอายุ 32 ปีแล้ว ส่วนพี่สาวแท้ๆ อายุมากกว่าฉัน 3 ปี ฉันกับพี่สาวเราแยกกันอยู่ตั้งแต่เกิด เพราะฐานะทางบ้านเราไม่ค่อยดีเลยต้องยกฉันให้เป็นลูกบุญธรรมครอบครัวอื่น ซึ่งหลังจากนั้นฉันได้กลับมาอยู่กับครอบครัวตัวเองอีกครั้งตั้งแต่ตอนที่เข้า ม.ต้น
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่พี่สาวทะเลาะกับคนในครอบครัว ด้วยเรื่องที่เค้าแอบเอาแฟนที่เป็นทอมเข้ามานอนในบ้าน สุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจทิ้งการเรียนแล้วหนีออกจากบ้านไปอยู่กับแฟน โดยมีแค่วุฒิการศึกษาระดับ ปวส. ติดตัวไป ก่อนไปเค้าทิ้งจดหมายไว้บอกว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีกและจะหาเงินมาเลี้ยงดูน้องและแม่ให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงมองว่าพี่สาวเป็นฮีโร่สำหรับฉันอยู่ดี
หลังจากเข้าหนีออกจากบ้านไปเราก็ติดต่อเค้าไม่ค่อยได้ แต่มักมีปัญหาเรื่องหนี้สินของเค้ามาให้ที่บ้านตามแก้ตลอด ทั้งหนี้บัตรเครดิต ทั้งหนี้นอกระบบ เพราะถึงตัวเค้าจะย้ายออก แต่ชื่อเค้ายังคงอยู่ในทะเบียนบ้าน เวลามีคนมาทวงหนี้ก็ทวงหนี้ตามทะเบียนบ้าน ทำให้ที่บ้านหมดเงินไปหลายแสนบาท ข่าวของเค้าที่ได้รับมาก็มีแต่เรื่องที่เค้าทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง ทำงานได้ไม่นานก็ออก ไม่มีงานทำจนไม่มีเงินใช้หนี้บ้างหละ เกาะแฟนกินไปวันๆบ้างหละ เปลี่ยนที่อยู่บ่อยบ้างหละ มีแต่เรื่องให้ครอบครัวเป็นห่วงทั้งนั้น ครอบครัวเราจมอยู่กับเรื่องนี้มานานหลายปี พอที่บ้านติดต่อพี่สาวได้ก็ต่อว่ากันเป็นการใหญ่
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังจะได้ยินคือคำขอโทษ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะคำตอบที่ได้คืออารมณ์ที่ขุ่นมัว พร้อมกับคำพูดที่ว่า "รู้แล้ว ไม่ต้องบ่นมาก เดี๋ยวจะหาเงินมาใช้คืนให้" สิ้นประโยคเค้าก็ตัดสายไป ตัวฉันในตอนนั้นรู้สึกหมดความศรัทธาในตัวพีสาวไปในทันที รู้สึกเหมือนกับว่าคนที่อยู่ปลายสายไม่ใช่พี่สาวคนเดิมที่เรารู้จักอีกต่อไป แต่อีกใจก็ยังคงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของเค้าอยู่ดี
จากนั้นไม่นานเค้ากลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับหอบลูกในท้องมาด้วยอีกคน เค้ามาบอกว่าเค้าท้องได้ 5 เดือนแล้ว ตอนนี้เค้าหมดหนทางแล้ว งานไม่มีทำ เงินติดตัวซักบาทก็ไม่มี สามีก็รับผิดชอบไม่ไหวเพราะมีเงินเดือนแค่ไม่กี่พัน อดข้าวมาหลายมื้อแล้ว ร้องไห้จะเป็นจะตายบอกว่าไม่มีเงินไปฝากครรภ์ ไม่มีเงินไปคลอดลูก ด้วยความที่ครอบครัวเราหมดเงินไปกับการใช้หนี้ที่เค้าสร้างมาโดยตลอดเลยไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเค้าได้เต็มที่นัก ซึ่งฉันก็ยังยินดีที่จะช่วย เพราะส่วนนึงก็สงสารเด็กในท้อง กลัวเด็กในท้องจะเป็นอันตราย และด้วยความที่ฉันมีเงินไม่มากนัก ฉันจึงตัดสินใจเลือก รพ.รัฐที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง แต่เค้ากลับปฏิเสธ รพ. ที่เราเลือกให้ โดยแอบเอาเงินที่เราให้ไปฝากครรภ์กับ รพ.เอกชนที่มีคชจ.ค่อนข้างสูง และเลือกให้ผ่าคลอด ซึ่งยิ่งทำให้คชจ.นั้นสูงขึ้นไปอีก ฉันพยายามขอให้เค้าย้าย รพ.หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะบอกคชจ.มันสูงเกินกว่าที่จะช่วยได้ เค้าก็ไม่ฟัง โดยเค้าให้เหตุผลว่าเค้าเชื่อใจ รพ.นี้ ถ้าฉันมีปัญหามากนัก เค้าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเราอีก และจะให้สามีเค้าหาเงินมาจ่ายค่าคลอดเอง สิ่งที่ฉันเห็นมันต่างจากวันแรกที่เค้าอุ้มท้องมาขอความช่วยเหลือโดยสิ้นเชิง ทำให้ฉันตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก สุดท้ายปัญหาก็ยังไม่จบ เมื่อถึงวันคลอดแล้วสามีเค้าไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ สิ่งที่พี่ฉันทำคือ โทรมาร้อยไห้อ้อนวอนขอให้ฉันหาเงินมาจ่ายค่าคลอดให้ ซึ่งเป็นเงินหลายหมื่นบาท อย่างที่บอกฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น และฉันก็ไม่มีสามารถหาเงินหลายหมื่นบาทให้เค้าได้ภายในวันเดียว แต่ก็ตัดสินใจทุ่มเงินเก็บก้อนสุดท้ายทั้งหมดเพื่อช่วยเค้า
หลังจากนั้นไม่ใช่เพียงแค่ค่าคลอดเท่านั้นที่ฉันต้องจ่าย แต่ยังรวมไปถึงของใช้เด็กทุกชิ้น ที่ฉันต้องหาเตรียมไว้ หลังจากที่เค้าคลอดลูกแล้ว ฉันพยายามหาข้อมูลในการเลี้ยงเด็ก ข้อมูลในการดูแลคุณแม่หลังคลอดไปให้เค้าทำ เค้าก็ไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมทำตามอะไรเลย สำหรับฉันฉันมองว่าเค้าเลี้ยงลูกเหมือนตุ๊กตานำโชคมากกว่า เค้าขอให้ฉันซื้อของให้หลานทุกเดือน ขอเงินแม่ใช้ทุกวัน ซึ่งเงินที่แม่ใช้ก็คือเงินที่ฉันให้นั้นแหละ ตอนนี้ลูกเค้าครบ 1 ปี แล้ว ฉันแนะนำให้พี่สาวออกไปหางานทำ เพราะจะได้มีเงินไว้ใช้ มีเงินไว้เลี้ยงลูก เพราะนั้นเป็นความรับผิดชอบที่คนเป็นแม่ควรทำ ซึ่งเค้าอ้างว่าตอนนี้เพื่อนเค้าหางานให้ทำแล้ว ได้เงินเดือนเป็นหมื่น แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ เพราะถ้าเค้ามีรายได้จริง เค้าก็ควรจะมีเงินซื้อข้าวกิน มีเงินซื้อนมซื้อผ้าอ้อมให้ลูกใช้ ทุกวันนี้สิ่งที่เห็นคือแม่ยังต้องเอาเงินไปให้เค้าใช้ เอาข้าวไปให้เค้ากินทุกวัน แม่ต้องมาขอให้ฉันซื้อนมซื้อผ้าอ้อมให้หลานทุกเดือน
บอกตามตรงว่าตอนนั้นคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงกับพี่สาวคนนี้ดี ถ้าปล่อยเค้าไปตามมีตามเกิด ก็กลายเป็นทำให้แม่กับยายไม่สบายใจ ถ้าช่วยเค้าเราก็ตาย ทุกครั้งที่เราช่วยเค้า ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังสนับสนุนให้เค้าใช้ชีวิตแบบผิดๆ ตลอดเวลา
สุดท้ายฉันตัดสินใจจะฝากงานให้เค้าทำในร้านกาแฟเล็กที่เป็นของเพื่อนฉัน พร้อมเงินเดือนหลักหมื่น และสอนวิชาชีพการเป็นบาริสต้าให้ฟรี เพราะฉันมองว่าเค้าสามารถพาลูกมาเลี้ยงมีร้านได้ แถมยังเงินเดือนที่แน่นอน มีวิชาชีพติดตัวที่สามารถเอาตัวรอดได้ในอนาคต ที่สำคัญคือพี่สาวฉันเคยบอกว่าเค้าฝันจะมีร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็กในอนาคต แต่ผลคือ พี่สาวฉันปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าเค้าอยากทำงานที่เพื่อนเค้าหาให้มากกว่า ซึ่งงานนั้นได้เงินเดือนละไม่กี่พันบาท ฉันเลยเปลี่ยนเป็นเสนองานให้สามีเค้าแทน โดยให้ไปทำงานที่ร้านซ่อมรถยนต์ มันเป็นงานที่เค้าจะมีรายได้สูงขึ้น และมีวิชาชีพติดตัว แต่สามีเค้าก็ปฏิเสธเช่นกัน เนื่องจากว่าติดเรื่องบุญคุณของเจ้านายคนปัจจุบัน
หลังจากทางออกสุดท้ายที่ฉันเสนอให้ โดนพี่สาวฉันโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ฉันบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยุ่งกับพวกเค้าอีกอีก จะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆอีก ยกเว้นเรื่องที่แม่ฉันแอบเอาเงินและข้าวไปให้พี่สาวฉันทุกวัน ฉันจะถือว่านั้นเป็นความสุขของแม่ที่คงต้องยอม
แต่นั้นกลับไม่ใช่ที่สุด เพราะในวันนี้ แม่ได้โทรมาบอกฉันว่า พี่สาวฉันกำลังท้องลูกคนที่สองได้ 4 เดือนแล้ว และสถานะการเงินของพี่สาวฉันตอนนี้ก็แย่กว่าเดิม (มันยังแย่ได้มากกว่าเดิมอีกหรือ) แม่ขอให้ฉันหาเงินให้พี่สาวฉันเพื่อให้เค้าไปฝากท้อง และคลอดลูก
ฉันควรทำยังไงดีกับเรื่องนี้ ใจนึงก็ไม่อยากช่วยเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะสิ่งที่เค้าทำกับเรามันมากเกินไป แต่ใจนึงก็กลัวว่าเด็กในท้องจะเป็นอันตรายหากเราไม่ยอมช่วย (T__T)