
70 ปีผ่านไปไวยังกะฟาสต์ฟอร์เวิร์ดในจอหนัง สมเด็จควีนอลิซาเบธกับปรินซ์ฟิลลิป พระสวามี ก็ได้ฉลองครอบรอบ 70 ปีแห่งการร่วมชีวิตกันเป็นการส่วนพระองค์อย่างเงียบๆ ไปแล้ว ณ พระราชวังวินด์เซอร์ เมื่อ 20 พฤศจิกายนที่านพ้น หากความรักและความผูกพันระหว่างกันกินเวลายาวนานกว่านั้นอีก
แฟลชแบ็กกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 1939 ปริ๊นเซสอลิซาเบธทรงชื่นชอบฟิลลิป พระญาติชั้นที่สามของพระองค์ ตั้งแต่ยังทรงเป็นสาวน้อยๆ วัย 13 ชันษา
ส่วนเขาเป็นนักเรียนนายเรือหนุ่มกระทงวัย 18 ซึ่งรับหน้าที่ดูแลพระองค์และพระขนิษฐามาร์กาเร็ต คราวที่พระบิดาและพระมารดาเสด็จไปเยือน Royal Naval College ที่ Darthmonth ใน Devon
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฟิลลิปรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ ทั้งคู่เขียนจดหมายถึงกัน อลิซาเบธทรงตั้งกรอบรูปของฟิลลิปไว้บนหิ้งเหนือเตาผิง
สองหนุ่มสาวยังแอบนัดพบกันในเวลาที่นายทหารหนุ่มได้ลาพัก

ทีแรกพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จควีนไม่ทรงโปรดเจ้าชายหนุ่มผมบลอนด์สายเลือดกรีกคนนี้ ด้วยเหตุผลว่า หมอนี่ออกจะกระด้าง อารมณ์ร้าย และไม่ใช่คนมีการศึกษาดี
ส่วนหนึ่งอาจเพราะความทะเล้นของหนุ่มฟิลลิปซึ่งมาพบกันที่พระราชวังบัลมอรัลในสกอตแลนด์ เนื่องจากวันนั้นเขาสวมกระโปรงแบบชาวสก๊อต เก้าะเลยแกล้งถอนสายบัวทำความเคารพ
แต่ไม่ช้า ทั้งสองพระองค์ทรงตระหนักว่า พระธิดาองค์ใหญ่ได้ตัดสินพระทัยเลือกหนุ่มคนนี้แล้ว จึงได้แต่ขอให้เธอรอจนกว่าพระชันษา 21 การประกาศหมั้นจึงมีขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม 1947
ในคืนก่อนอภิเษก ฟิลลิปเลิกบุหรี่อุทิศให้แก่ภรรยาสาว และหลังเสร็จพิธีแต่งงานในวิหารเวสต์มินสเตอร์ เขายังตามพระทัย ยอมให้เธอเอาเจ้าซูซาน สุนัขพันธุ์คอร์กี้ขึ้นรถไปด้วย เมื่อไปฮันนีมูนที่บ้านท่านลุง...ลอร์ดเมาต์แบทเทน ณ Broadlands ใน Hamphire
ระหว่าง 2 ปีที่ฟิลลิป ซึ่งบัดนี้มียศศักดิเป็น Duke of Ediburgh ไปประจำการที่เกาะมอลตา ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พระชายาอลิซาเบธได้ติดตามไปด้วย สองสามีภรรยามักไปนั่งกุมมือกันในโรงหนังเช่นเดียวกับคู่อื่นๆ
และบ่อยครั้งที่ไปเต้นรำกันวงแจ๊สแบนด์ในโรงแรม

อารมณ์ขันก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งช่วยนึกแน่นชีวิตคู่ ฟิลลิปเคยใส่ฟันปลอมวิ่งไล่จับอลิซาเบธไปตามระเบียงทางเดินบนรถไฟคราวเสด็จเยือนแคนาดาเมื่อปี 1951
และในพระราชพิธีสวมมงกุฎครองราชย์ ปี 1953 ฟิลลิปแอบกระซิบถามพระชายาซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดว่า "คุณไปเอาหมวกนั้นมาจากไหนกัน..."
อย่างไรก็ตาม คงไม่มีชีวิตคู่ของใครที่ราบรื่นโล่งปลอดตลอดศก
เมื่อปี 1956 ตอนที่ฟิลลิปไปเปิดงานโอลิมปิกที่เมลเบิร์นในออสเตรเลีย แล้วยังล่องเรือยอชต์บริตาเนียเที่ยวไปเรื่อยๆ อีกหลายสัปดาห์ ทำให้มีข่าวลือหนาหูว่าอาจมีรายการเตียงหัก
แต่ในที่สุดทั้งสองก็จัดการเคลียร์ใจคลายปมปัญหาลงได้
และฟิลลิปก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นปริ๊นซ์ในปี 1957
ต่อสาธารณชน ปริ๊นซ์ฟิลลิปจะทรงพระดำเนินตามหลังสมเด็จควีนสองสามก้าวเสมอ
แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นส่วนพระองค์ จะทำหน้าที่พ่อบ้านและสามีที่ใส่ใจไยดี ไม่ว่าจะเป็นการปิ้งไส้กรอกและบาร์บีคิวเองเวลาเสด็จแปรพระราชฐานไปวังบัลมอรัล การผสมเหล้ายินและดูบอนเนต์ให้สมเด็จควีนก่อนเสวยพระกระยาหารค่ำ การตั้งเวลาบันทึกรายการทีวีที่สมเด็จทรงโปรด แต่ติดพระราชภารกิจเอาไว้ให้ และทรงเรียกพระชายาว่า "Lilibet" หรือบางคราวอาจล้อๆว่า "Sausage" รวมทั้งยังคงส่งดอกไม้ให้ทุกสัปดาห์ ฯลฯ
เบื้องหลังความรักและความผูกพันอันยาวนานของทั้งสองพระองค์อาจวิเคราะห์ได้จากคำกล่าวถึงกันและกัน โดยปริ๊นซ์ฟิลลิปตรัสถึงพระชายาว่า "ทรงมีความอดทนมากมายมหาศาล"
ขณะที่สมเด็จควีนตรัสถึงพระสวามีว่าพระองค์ทรงเป็นหนี้เขามากกว่าที่เขาจะเอ่ยอ้างเสียอีก

เครดิตเนื้อหาจาก คอลัมน์สำเริงคดี โดยทรงวาด นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ หน้าที่ 65 ฉบับวันที่ 29 ธ.ค 2560 - 4 ม.ค 2561
70 ปีครบรอบความรักของควีนอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลลิป เริ่มต้นจากขวากหนาม มั่นคงด้วยกลีบกุหลาบ
70 ปีผ่านไปไวยังกะฟาสต์ฟอร์เวิร์ดในจอหนัง สมเด็จควีนอลิซาเบธกับปรินซ์ฟิลลิป พระสวามี ก็ได้ฉลองครอบรอบ 70 ปีแห่งการร่วมชีวิตกันเป็นการส่วนพระองค์อย่างเงียบๆ ไปแล้ว ณ พระราชวังวินด์เซอร์ เมื่อ 20 พฤศจิกายนที่านพ้น หากความรักและความผูกพันระหว่างกันกินเวลายาวนานกว่านั้นอีก
แฟลชแบ็กกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 1939 ปริ๊นเซสอลิซาเบธทรงชื่นชอบฟิลลิป พระญาติชั้นที่สามของพระองค์ ตั้งแต่ยังทรงเป็นสาวน้อยๆ วัย 13 ชันษา
ส่วนเขาเป็นนักเรียนนายเรือหนุ่มกระทงวัย 18 ซึ่งรับหน้าที่ดูแลพระองค์และพระขนิษฐามาร์กาเร็ต คราวที่พระบิดาและพระมารดาเสด็จไปเยือน Royal Naval College ที่ Darthmonth ใน Devon
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฟิลลิปรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ ทั้งคู่เขียนจดหมายถึงกัน อลิซาเบธทรงตั้งกรอบรูปของฟิลลิปไว้บนหิ้งเหนือเตาผิง
สองหนุ่มสาวยังแอบนัดพบกันในเวลาที่นายทหารหนุ่มได้ลาพัก
ทีแรกพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จควีนไม่ทรงโปรดเจ้าชายหนุ่มผมบลอนด์สายเลือดกรีกคนนี้ ด้วยเหตุผลว่า หมอนี่ออกจะกระด้าง อารมณ์ร้าย และไม่ใช่คนมีการศึกษาดี
ส่วนหนึ่งอาจเพราะความทะเล้นของหนุ่มฟิลลิปซึ่งมาพบกันที่พระราชวังบัลมอรัลในสกอตแลนด์ เนื่องจากวันนั้นเขาสวมกระโปรงแบบชาวสก๊อต เก้าะเลยแกล้งถอนสายบัวทำความเคารพ
แต่ไม่ช้า ทั้งสองพระองค์ทรงตระหนักว่า พระธิดาองค์ใหญ่ได้ตัดสินพระทัยเลือกหนุ่มคนนี้แล้ว จึงได้แต่ขอให้เธอรอจนกว่าพระชันษา 21 การประกาศหมั้นจึงมีขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม 1947
ในคืนก่อนอภิเษก ฟิลลิปเลิกบุหรี่อุทิศให้แก่ภรรยาสาว และหลังเสร็จพิธีแต่งงานในวิหารเวสต์มินสเตอร์ เขายังตามพระทัย ยอมให้เธอเอาเจ้าซูซาน สุนัขพันธุ์คอร์กี้ขึ้นรถไปด้วย เมื่อไปฮันนีมูนที่บ้านท่านลุง...ลอร์ดเมาต์แบทเทน ณ Broadlands ใน Hamphire
ระหว่าง 2 ปีที่ฟิลลิป ซึ่งบัดนี้มียศศักดิเป็น Duke of Ediburgh ไปประจำการที่เกาะมอลตา ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พระชายาอลิซาเบธได้ติดตามไปด้วย สองสามีภรรยามักไปนั่งกุมมือกันในโรงหนังเช่นเดียวกับคู่อื่นๆ
และบ่อยครั้งที่ไปเต้นรำกันวงแจ๊สแบนด์ในโรงแรม
อารมณ์ขันก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งช่วยนึกแน่นชีวิตคู่ ฟิลลิปเคยใส่ฟันปลอมวิ่งไล่จับอลิซาเบธไปตามระเบียงทางเดินบนรถไฟคราวเสด็จเยือนแคนาดาเมื่อปี 1951
และในพระราชพิธีสวมมงกุฎครองราชย์ ปี 1953 ฟิลลิปแอบกระซิบถามพระชายาซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดว่า "คุณไปเอาหมวกนั้นมาจากไหนกัน..."
อย่างไรก็ตาม คงไม่มีชีวิตคู่ของใครที่ราบรื่นโล่งปลอดตลอดศก
เมื่อปี 1956 ตอนที่ฟิลลิปไปเปิดงานโอลิมปิกที่เมลเบิร์นในออสเตรเลีย แล้วยังล่องเรือยอชต์บริตาเนียเที่ยวไปเรื่อยๆ อีกหลายสัปดาห์ ทำให้มีข่าวลือหนาหูว่าอาจมีรายการเตียงหัก
แต่ในที่สุดทั้งสองก็จัดการเคลียร์ใจคลายปมปัญหาลงได้
และฟิลลิปก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นปริ๊นซ์ในปี 1957
ต่อสาธารณชน ปริ๊นซ์ฟิลลิปจะทรงพระดำเนินตามหลังสมเด็จควีนสองสามก้าวเสมอ
แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นส่วนพระองค์ จะทำหน้าที่พ่อบ้านและสามีที่ใส่ใจไยดี ไม่ว่าจะเป็นการปิ้งไส้กรอกและบาร์บีคิวเองเวลาเสด็จแปรพระราชฐานไปวังบัลมอรัล การผสมเหล้ายินและดูบอนเนต์ให้สมเด็จควีนก่อนเสวยพระกระยาหารค่ำ การตั้งเวลาบันทึกรายการทีวีที่สมเด็จทรงโปรด แต่ติดพระราชภารกิจเอาไว้ให้ และทรงเรียกพระชายาว่า "Lilibet" หรือบางคราวอาจล้อๆว่า "Sausage" รวมทั้งยังคงส่งดอกไม้ให้ทุกสัปดาห์ ฯลฯ
เบื้องหลังความรักและความผูกพันอันยาวนานของทั้งสองพระองค์อาจวิเคราะห์ได้จากคำกล่าวถึงกันและกัน โดยปริ๊นซ์ฟิลลิปตรัสถึงพระชายาว่า "ทรงมีความอดทนมากมายมหาศาล"
ขณะที่สมเด็จควีนตรัสถึงพระสวามีว่าพระองค์ทรงเป็นหนี้เขามากกว่าที่เขาจะเอ่ยอ้างเสียอีก
เครดิตเนื้อหาจาก คอลัมน์สำเริงคดี โดยทรงวาด นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ หน้าที่ 65 ฉบับวันที่ 29 ธ.ค 2560 - 4 ม.ค 2561