“รายการร้องเพลงล้นจอมีแทบทุกช่อง แทบทุกช่วงเวลา”
“รายการข่าว มีแต่คลิปเอามาเล่า แค่จอดรถขวางหน้าบ้านกันก็เป็นข่าวแล้ว”
“ละครเดี๋ยวนี้ ฉากฆ่ากันนี่ยังกับดูหนังสยองขวัญ การคุกคามทางเพศ หรือบางช่องเอาเรื่องมีอะไรกันมานำเสนอกันจนเป็นเรื่องปกติ”
“รายการทีวีสมัยนี้สามารถพูด กู โคตร และคำหยาบได้อย่างเป็นเรื่องปกติแล้ว”
มากมายคำถามที่เกิดขึ้นจากคนดูทีวีและผู้เสพสื่อว่าเรามาถึงจุดนี้กันแล้วใช่มั้ย?
ที่มาเขียนนี้ไม่ได้จะถามหาสังคมหรือจรรยาบรรณใดๆ เพราะถามไปก็จะมีคำถามกลับมาเสมอว่า แล้วจะทำยังไงให้คนดูล่ะ เพราะถ้าคนไม่ดู โฆษณาก็ไม่เข้า ผู้ผลิตไม่มีรายได้ ก็เลิกทำกันไป
มันเลยเป็นที่มาของคำว่า “จำนวน” มาก่อน “คุณภาพ” เสมอ
ปัจจุบันตัวชี้วัดว่ารายการนี้จะดี ละครนี้จะมา มันก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ชม ที่ถูกวัดโดยสำนักวัดเรตติ้งเจ้าเดียวในประเทศไทย ที่เมื่อเครื่องวัดเป็นตัวอย่างแอบฝังไว้ตามบ้าน ขณะที่มีประชากรไทยอยู่จำนวน 69ล้านคน คิดซะว่ามีคนดูทีวีซัก 60% ก็คงเกือบ 50ล้านคน
แต่มีเครื่องวัดอยู่ประมาณหลักพันเครื่อง
พอวัดได้เสร็จก็มาชี้เป้นชี้ตายกับผู้ผลิตรายการว่า รายการนั้นคนเยอะ รายการนี้คนดูแน่ เรตติ้งมาเท่านี้เท่านั้น ซึ่งผู้ผลิตก็จะเอาตัวเลขนี้ไปนำเสนอขายโฆษณาต่อ
คนซื้อโฆษณาก็จะดูกันตรง “จำนวน” คนดูนี่แหละ อะไรคนดูเยอะเขาก็อยากให้สินค้านั้นมีคนเห็นเยอะ ก็จะซื้อตามกันไปเช่นกัน
คำถามคือ เครื่องวัดเรตติ้งหลักพันกล่องนี้ บอกได้มั้ยว่าสิ่งที่คนดูเยอะ เป็นสิ่งที่มี “คุณภาพ” หรือ “จำนวน” กันแน่
ผู้ผลิตอยากได้การสนับสนุน ก็ต้องทุ่มเททำทุกอย่างที่ให้ได้มาซึ่งคนดู มีจำนวนก็มีโฆษณา แล้วรายการที่มีเนื้อหาสาระดีมีคุณภาพ แต่บังเอิญคนดูไม่เยอะ แต่คนดูก็มีคุณภาพงี้ จะอยู่รอดได้ยังไง สุดท้ายผู้ผลิตก็ต้องไปคิดวิธีเรียกเรตติ้งกันต่ออีก
ถ้าอุตสาหกรรมนี้ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กระบวนการ Self censorship คงต้องจัดระเบียบกันใหม่ภายในครอบครัวแล้ว
ขนาดเมื่อคืนจขกท.ดูเรื่องล่า ยังรู้สึกเลยว่า ศพต่อไปจะวางแผนฆ่ายังไงดี?
สื่อไทยขาลง? : เมื่อวัดกันที่จำนวน คุณภาพก็หายไป
“รายการข่าว มีแต่คลิปเอามาเล่า แค่จอดรถขวางหน้าบ้านกันก็เป็นข่าวแล้ว”
“ละครเดี๋ยวนี้ ฉากฆ่ากันนี่ยังกับดูหนังสยองขวัญ การคุกคามทางเพศ หรือบางช่องเอาเรื่องมีอะไรกันมานำเสนอกันจนเป็นเรื่องปกติ”
“รายการทีวีสมัยนี้สามารถพูด กู โคตร และคำหยาบได้อย่างเป็นเรื่องปกติแล้ว”
มากมายคำถามที่เกิดขึ้นจากคนดูทีวีและผู้เสพสื่อว่าเรามาถึงจุดนี้กันแล้วใช่มั้ย?
ที่มาเขียนนี้ไม่ได้จะถามหาสังคมหรือจรรยาบรรณใดๆ เพราะถามไปก็จะมีคำถามกลับมาเสมอว่า แล้วจะทำยังไงให้คนดูล่ะ เพราะถ้าคนไม่ดู โฆษณาก็ไม่เข้า ผู้ผลิตไม่มีรายได้ ก็เลิกทำกันไป
มันเลยเป็นที่มาของคำว่า “จำนวน” มาก่อน “คุณภาพ” เสมอ
ปัจจุบันตัวชี้วัดว่ารายการนี้จะดี ละครนี้จะมา มันก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ชม ที่ถูกวัดโดยสำนักวัดเรตติ้งเจ้าเดียวในประเทศไทย ที่เมื่อเครื่องวัดเป็นตัวอย่างแอบฝังไว้ตามบ้าน ขณะที่มีประชากรไทยอยู่จำนวน 69ล้านคน คิดซะว่ามีคนดูทีวีซัก 60% ก็คงเกือบ 50ล้านคน
แต่มีเครื่องวัดอยู่ประมาณหลักพันเครื่อง
พอวัดได้เสร็จก็มาชี้เป้นชี้ตายกับผู้ผลิตรายการว่า รายการนั้นคนเยอะ รายการนี้คนดูแน่ เรตติ้งมาเท่านี้เท่านั้น ซึ่งผู้ผลิตก็จะเอาตัวเลขนี้ไปนำเสนอขายโฆษณาต่อ
คนซื้อโฆษณาก็จะดูกันตรง “จำนวน” คนดูนี่แหละ อะไรคนดูเยอะเขาก็อยากให้สินค้านั้นมีคนเห็นเยอะ ก็จะซื้อตามกันไปเช่นกัน
คำถามคือ เครื่องวัดเรตติ้งหลักพันกล่องนี้ บอกได้มั้ยว่าสิ่งที่คนดูเยอะ เป็นสิ่งที่มี “คุณภาพ” หรือ “จำนวน” กันแน่
ผู้ผลิตอยากได้การสนับสนุน ก็ต้องทุ่มเททำทุกอย่างที่ให้ได้มาซึ่งคนดู มีจำนวนก็มีโฆษณา แล้วรายการที่มีเนื้อหาสาระดีมีคุณภาพ แต่บังเอิญคนดูไม่เยอะ แต่คนดูก็มีคุณภาพงี้ จะอยู่รอดได้ยังไง สุดท้ายผู้ผลิตก็ต้องไปคิดวิธีเรียกเรตติ้งกันต่ออีก
ถ้าอุตสาหกรรมนี้ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กระบวนการ Self censorship คงต้องจัดระเบียบกันใหม่ภายในครอบครัวแล้ว
ขนาดเมื่อคืนจขกท.ดูเรื่องล่า ยังรู้สึกเลยว่า ศพต่อไปจะวางแผนฆ่ายังไงดี?