ข่าวใหญ่ของอินโดนีเซียช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นการประท้วงของคนในประเทศ ที่กำลังลุกฮือในวงกว้าง
https://www.facebook.com/share/p/1JQAeR5RJp/?mibextid=wwXIfr
ซึ่งเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากเศรษฐกิจที่กำลังโต แต่คนในประเทศกลับไม่ได้ประโยชน์ตามเท่าที่ควร
โดยเฉพาะชนชั้นกลางของประเทศ ที่เรียกได้ว่าตอนนี้กำลังล่มสลายลงไปเยอะมาก จนหายไป 12 ล้านคน ภายในเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น
ทำไมเศรษฐกิจโต แต่คนในประเทศไม่โตตาม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากร 286 ล้านคน
และมีมูลค่า GDP กว่า 45 ล้านล้านบาทในปี 2024 มากที่สุดในอาเซียน
แม้ขนาดเศรษฐกิจจะใหญ่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัว
ปี 2021 เศรษฐกิจโต 3.7%
ปี 2022 เศรษฐกิจโต 5.3%
ปี 2023 เศรษฐกิจโต 5.0%
ปี 2024 เศรษฐกิจโต 5.0%
ดูตัวเลขแค่นี้ ก็คงสรุปได้เร็ว ๆ ว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซีย
กำลังเติบโตดีมาก และดีกว่าเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำไม่ถึง 3% ในช่วงที่ผ่านมาเสียอีก
แต่ต้องบอกว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียที่กำลังโตตอนนี้
แทบไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งที่ขยายตัวขึ้น แต่ข้างในกลับกลวงเปล่าไม่มีอะไรในนั้นเลย
เพราะปัญหาคือ แม้เศรษฐกิจกำลังโต แต่คนในประเทศกลับไม่ได้โตตาม และหนักกว่าการไม่โตตาม คือการที่คนบางกลุ่มจนลงกว่าเดิมไปอีกด้วย
ซึ่งกลุ่มคนที่ว่านี้ นั่นคือ คนชนชั้นกลางอินโดนีเซีย ที่กำลังค่อย ๆ ล่มสลายลงไปเรื่อย ๆ
เพราะจากเดิม คนชนชั้นกลางอินโดนีเซียเคยมีมากถึง 60 ล้านคนในปี 2018 แต่ปัจจุบัน กลับเหลือแค่ 48 ล้านคน เรียกได้ว่า หายไปถึง 12 ล้านคน ในเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น
เหตุผลหลักที่คนชนชั้นกลางหายไป ก็เพราะว่าเป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ ที่คนชนชั้นกลางตกงานเป็นจำนวนมาก จนเลื่อนลงไปเป็นชนชั้นยากจนแทน
คนที่ตกงานเหล่านี้ ก็ขยับไปทำงานในเศรษฐกิจนอกระบบมากขึ้น เช่น คนขับรถรับจ้าง ช่างแต่งหน้า ฟรีแลนซ์
เห็นได้จากในปี 2022 ที่มีแรงงานนอกระบบราว 81 ล้านคน แต่ปัจจุบันอินโดนีเซีย มีแรงงานนอกระบบมากถึง 86 ล้านคน
พอแรงงานออกนอกระบบมากขึ้นแบบนี้ สิ่งที่ตามมาคือ ไม่มีการประกันค่าแรงขั้นต่ำ รวมทั้งสิทธิ์กฎหมายแรงงานต่าง ๆ ที่ไม่ได้คุ้มครองตาม
และเมื่อคนชนชั้นกลางหายไปมากขึ้น ก็มีผลกับการใช้จ่ายของเศรษฐกิจของอินโดนีเซียอย่างมากอีกด้วย
เพราะแม้คนชนชั้นกลางจะคิดเป็น 20% ของประชากร
แต่กลับมีผลต่อการใช้จ่ายในประเทศราว 40% ของการใช้จ่ายของคนในประเทศทั้งหมดเลยทีเดียว
คำถามคือ แล้วเศรษฐกิจที่กำลังโต เงินไปอยู่ตรงไหน ?
คำตอบของเรื่องนี้ ก็เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมา แม้ค่าแรงของคนอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น แต่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นมากกว่า
เห็นได้จากต้นปีนี้ ค่าแรงของคนอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นราว 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เงินเฟ้อกลุ่ม
อาหารและเครื่องดื่มกลับเพิ่มขึ้น 2.3%
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเราเป็นคนอินโดนีเซีย คงรู้สึกจนลง
เพราะแม้เงินเดือนขึ้น แต่กลับซื้อข้าว น้ำ กาแฟ หรือของที่อยากกินได้น้อยกว่าเดิมแทน
แต่ปัญหาเรื่องค่าครองชีพ เป็นแค่ก้อนน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้น เพราะก้อนน้ำแข็งใต้น้ำก้อนใหญ่ที่เป็นปัญหาจริง ๆ มาจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมผลิตแร่มากเกินไป
เรารู้กันดีว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีแร่นิกเกิลจำนวนมาก ซึ่งเป็นแร่ที่สำคัญในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนได้เป็นจำนวนมาก
แต่ปัญหาคือ แม้เงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลทะลักเข้ามา
มันกลับกระจายไปให้คนอินโดนีเซียได้น้อยมาก
เพราะอุตสาหกรรมนี้ ไม่ได้ใช้แรงงานคนจำนวนมาก แต่หันมาใช้เทคโนโลยีขุดเจาะกันแล้ว ทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศได้ราว 3% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ คนชนชั้นกลางจึงไม่สามารถหางานทำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตนี้ได้ แถมอุตสาหกรรมการผลิตเดิม ๆ ที่เคยจ้างงานคนได้จำนวนมาก ก็ลดลงไปด้วย
สุดท้าย ชนชั้นกลางอินโดนีเซีย จึงกำลังล่มสลายลงไปเรื่อย ๆ จากปัญหาค่าครองชีพแพง ค่าแรงขึ้นน้อย แถมยังหางานทำได้ยากมากขึ้นไปอีก
และไม่ใช่แค่ชนชั้นกลางที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่
แรงงานวัยรุ่น ก็กำลังเจอปัญหาการว่างงานที่หนักด้วย
ปัจจุบัน แรงงานวัยรุ่นที่อายุระหว่าง 15-24 ปี ว่างงานสูงถึง 13-16% ของแรงงานวัยรุ่นทั้งหมด หรือราว ๆ 7 ล้านคน ไม่สามารถหางานทำได้
นี่เรียกได้ว่าสูงมาก จนทำให้แรงงานวัยรุ่นเหล่านี้ ถูกบีบให้เข้าสู่เศรษฐกิจนอกระบบ เช่น ขับรถส่งอาหาร ขับรถส่งคน ที่อาจมีรายได้ไม่แน่นอน
ซึ่งนอกจากปัญหาพวกนี้แล้ว เศรษฐกิจอินโดนีเซีย ก็ยังซุกซ่อนปัญหาที่อาจกำลังเกิดอีกมากมาย โดยเฉพาะ
ค่าเงินที่กำลังอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
ค่าเงินอ่อน ปกติเราท่องจำกันว่า ดีต่อผู้ส่งออก เพราะทำให้สินค้าส่งออกของเรา ดูมีราคาถูกลงในสายตาของประเทศที่นำเข้าสินค้าของเราไป
แต่ในมุมกลับกัน ก็แปลว่าสินค้านำเข้าจะแพงขึ้นสำหรับคนในประเทศไปด้วย และสินค้านำเข้าสำคัญเบอร์ 1 ของอินโดนีเซีย นั่นคือ น้ำมัน
แม้อินโดนีเซีย จะเป็นประเทศที่มีน้ำมันของตัวเอง แต่ก็ยังนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเข้ามา เพราะมีความต้องการใช้สูงกว่ากำลังผลิตต่อวันของตัวเอง
ซึ่งถ้าเงินยังอ่อนแบบนี้ แปลว่า อินโดนีเซียต้องนำเข้าน้ำมันในราคาแพงขึ้น และสุดท้ายก็กลับมากระทบกับค่าใช้จ่ายของคนในประเทศอยู่ดี
สรุปแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอินโดนีเซียตอนนี้ เป็น
บทเรียนที่สอนเราได้เป็นอย่างดีว่า GDP ไม่ได้วัดความอยู่ดีกินดีของคนในประเทศได้เสมอไป
เพราะแม้ตัวเลข GDP จะโต แต่คนในประเทศกลับไม่ได้โตตาม หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และเม็ดเงินที่เติบโตตรงนั้น กลับไปสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับคนบางกลุ่มในประเทศ
ส่วนกลุ่มที่เป็นทั้งคนใช้จ่ายหลักในประเทศ และเป็นกำลังแรงงานสำคัญอย่างชนชั้นกลาง กลับต้องทนทุกข์หนักที่เงินเฟ้อกัดกินเงินในกระเป๋า จนแทบไม่เหลืออะไรเลย
ซึ่งสุดท้าย จากความไม่พอใจที่สะสมมาเรื่อย ๆ กลายเป็นการลุกฮือขึ้นมาประท้วงในที่สุดแทน..
อินโดนีเซีย เศรษฐกิจกำลังโต แต่คนในประเทศ กำลังไม่พอใจ /โดย ลงทุนแมน
https://www.facebook.com/share/p/1JQAeR5RJp/?mibextid=wwXIfr
ซึ่งเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากเศรษฐกิจที่กำลังโต แต่คนในประเทศกลับไม่ได้ประโยชน์ตามเท่าที่ควร
โดยเฉพาะชนชั้นกลางของประเทศ ที่เรียกได้ว่าตอนนี้กำลังล่มสลายลงไปเยอะมาก จนหายไป 12 ล้านคน ภายในเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น
ทำไมเศรษฐกิจโต แต่คนในประเทศไม่โตตาม ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากร 286 ล้านคน
และมีมูลค่า GDP กว่า 45 ล้านล้านบาทในปี 2024 มากที่สุดในอาเซียน
แม้ขนาดเศรษฐกิจจะใหญ่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัว
ปี 2021 เศรษฐกิจโต 3.7%
ปี 2022 เศรษฐกิจโต 5.3%
ปี 2023 เศรษฐกิจโต 5.0%
ปี 2024 เศรษฐกิจโต 5.0%
ดูตัวเลขแค่นี้ ก็คงสรุปได้เร็ว ๆ ว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซีย
กำลังเติบโตดีมาก และดีกว่าเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำไม่ถึง 3% ในช่วงที่ผ่านมาเสียอีก
แต่ต้องบอกว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียที่กำลังโตตอนนี้
แทบไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งที่ขยายตัวขึ้น แต่ข้างในกลับกลวงเปล่าไม่มีอะไรในนั้นเลย
เพราะปัญหาคือ แม้เศรษฐกิจกำลังโต แต่คนในประเทศกลับไม่ได้โตตาม และหนักกว่าการไม่โตตาม คือการที่คนบางกลุ่มจนลงกว่าเดิมไปอีกด้วย
ซึ่งกลุ่มคนที่ว่านี้ นั่นคือ คนชนชั้นกลางอินโดนีเซีย ที่กำลังค่อย ๆ ล่มสลายลงไปเรื่อย ๆ
เพราะจากเดิม คนชนชั้นกลางอินโดนีเซียเคยมีมากถึง 60 ล้านคนในปี 2018 แต่ปัจจุบัน กลับเหลือแค่ 48 ล้านคน เรียกได้ว่า หายไปถึง 12 ล้านคน ในเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น
เหตุผลหลักที่คนชนชั้นกลางหายไป ก็เพราะว่าเป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ ที่คนชนชั้นกลางตกงานเป็นจำนวนมาก จนเลื่อนลงไปเป็นชนชั้นยากจนแทน
คนที่ตกงานเหล่านี้ ก็ขยับไปทำงานในเศรษฐกิจนอกระบบมากขึ้น เช่น คนขับรถรับจ้าง ช่างแต่งหน้า ฟรีแลนซ์
เห็นได้จากในปี 2022 ที่มีแรงงานนอกระบบราว 81 ล้านคน แต่ปัจจุบันอินโดนีเซีย มีแรงงานนอกระบบมากถึง 86 ล้านคน
พอแรงงานออกนอกระบบมากขึ้นแบบนี้ สิ่งที่ตามมาคือ ไม่มีการประกันค่าแรงขั้นต่ำ รวมทั้งสิทธิ์กฎหมายแรงงานต่าง ๆ ที่ไม่ได้คุ้มครองตาม
และเมื่อคนชนชั้นกลางหายไปมากขึ้น ก็มีผลกับการใช้จ่ายของเศรษฐกิจของอินโดนีเซียอย่างมากอีกด้วย
เพราะแม้คนชนชั้นกลางจะคิดเป็น 20% ของประชากร
แต่กลับมีผลต่อการใช้จ่ายในประเทศราว 40% ของการใช้จ่ายของคนในประเทศทั้งหมดเลยทีเดียว
คำถามคือ แล้วเศรษฐกิจที่กำลังโต เงินไปอยู่ตรงไหน ?
คำตอบของเรื่องนี้ ก็เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมา แม้ค่าแรงของคนอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น แต่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นมากกว่า
เห็นได้จากต้นปีนี้ ค่าแรงของคนอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นราว 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เงินเฟ้อกลุ่ม
อาหารและเครื่องดื่มกลับเพิ่มขึ้น 2.3%
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเราเป็นคนอินโดนีเซีย คงรู้สึกจนลง
เพราะแม้เงินเดือนขึ้น แต่กลับซื้อข้าว น้ำ กาแฟ หรือของที่อยากกินได้น้อยกว่าเดิมแทน
แต่ปัญหาเรื่องค่าครองชีพ เป็นแค่ก้อนน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำเท่านั้น เพราะก้อนน้ำแข็งใต้น้ำก้อนใหญ่ที่เป็นปัญหาจริง ๆ มาจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมผลิตแร่มากเกินไป
เรารู้กันดีว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีแร่นิกเกิลจำนวนมาก ซึ่งเป็นแร่ที่สำคัญในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนได้เป็นจำนวนมาก
แต่ปัญหาคือ แม้เงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลทะลักเข้ามา
มันกลับกระจายไปให้คนอินโดนีเซียได้น้อยมาก
เพราะอุตสาหกรรมนี้ ไม่ได้ใช้แรงงานคนจำนวนมาก แต่หันมาใช้เทคโนโลยีขุดเจาะกันแล้ว ทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศได้ราว 3% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ คนชนชั้นกลางจึงไม่สามารถหางานทำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตนี้ได้ แถมอุตสาหกรรมการผลิตเดิม ๆ ที่เคยจ้างงานคนได้จำนวนมาก ก็ลดลงไปด้วย
สุดท้าย ชนชั้นกลางอินโดนีเซีย จึงกำลังล่มสลายลงไปเรื่อย ๆ จากปัญหาค่าครองชีพแพง ค่าแรงขึ้นน้อย แถมยังหางานทำได้ยากมากขึ้นไปอีก
และไม่ใช่แค่ชนชั้นกลางที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่
แรงงานวัยรุ่น ก็กำลังเจอปัญหาการว่างงานที่หนักด้วย
ปัจจุบัน แรงงานวัยรุ่นที่อายุระหว่าง 15-24 ปี ว่างงานสูงถึง 13-16% ของแรงงานวัยรุ่นทั้งหมด หรือราว ๆ 7 ล้านคน ไม่สามารถหางานทำได้
นี่เรียกได้ว่าสูงมาก จนทำให้แรงงานวัยรุ่นเหล่านี้ ถูกบีบให้เข้าสู่เศรษฐกิจนอกระบบ เช่น ขับรถส่งอาหาร ขับรถส่งคน ที่อาจมีรายได้ไม่แน่นอน
ซึ่งนอกจากปัญหาพวกนี้แล้ว เศรษฐกิจอินโดนีเซีย ก็ยังซุกซ่อนปัญหาที่อาจกำลังเกิดอีกมากมาย โดยเฉพาะ
ค่าเงินที่กำลังอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
ค่าเงินอ่อน ปกติเราท่องจำกันว่า ดีต่อผู้ส่งออก เพราะทำให้สินค้าส่งออกของเรา ดูมีราคาถูกลงในสายตาของประเทศที่นำเข้าสินค้าของเราไป
แต่ในมุมกลับกัน ก็แปลว่าสินค้านำเข้าจะแพงขึ้นสำหรับคนในประเทศไปด้วย และสินค้านำเข้าสำคัญเบอร์ 1 ของอินโดนีเซีย นั่นคือ น้ำมัน
แม้อินโดนีเซีย จะเป็นประเทศที่มีน้ำมันของตัวเอง แต่ก็ยังนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเข้ามา เพราะมีความต้องการใช้สูงกว่ากำลังผลิตต่อวันของตัวเอง
ซึ่งถ้าเงินยังอ่อนแบบนี้ แปลว่า อินโดนีเซียต้องนำเข้าน้ำมันในราคาแพงขึ้น และสุดท้ายก็กลับมากระทบกับค่าใช้จ่ายของคนในประเทศอยู่ดี
สรุปแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นกับอินโดนีเซียตอนนี้ เป็น
บทเรียนที่สอนเราได้เป็นอย่างดีว่า GDP ไม่ได้วัดความอยู่ดีกินดีของคนในประเทศได้เสมอไป
เพราะแม้ตัวเลข GDP จะโต แต่คนในประเทศกลับไม่ได้โตตาม หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และเม็ดเงินที่เติบโตตรงนั้น กลับไปสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับคนบางกลุ่มในประเทศ
ส่วนกลุ่มที่เป็นทั้งคนใช้จ่ายหลักในประเทศ และเป็นกำลังแรงงานสำคัญอย่างชนชั้นกลาง กลับต้องทนทุกข์หนักที่เงินเฟ้อกัดกินเงินในกระเป๋า จนแทบไม่เหลืออะไรเลย
ซึ่งสุดท้าย จากความไม่พอใจที่สะสมมาเรื่อย ๆ กลายเป็นการลุกฮือขึ้นมาประท้วงในที่สุดแทน..