ผลจากการเดินสายไปยังประเทศต่าง ๆ ของรองนายรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าสู่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ทำให้ประเทศต่าง ๆ สนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ระบุว่า ญี่ปุ่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด
(เน้นที่อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร โลหะ เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า) ตามมาด้วยสิงคโปร์และจีน
มีรายงานผลการสำรวจบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในประเทศไทยปี 2560 ขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในประเทศไทยและมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนสูงขึ้นมากกว่า 50%
โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนญี่ปุ่นสนใจจะลงทุนเพิ่มและมองว่ามีโอกาสทางธุรกิจ เช่น
อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ

ส่วนการลงทุนจากจีนนั้น ภาคเอกชนไทยมองว่า
ภาพรวมการลงทุนในไทยจากจีนมีสัญญาณที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจีนมองว่า ประเทศไทยมีความน่าลงทุน เพราะเชื่อมั่นต่อนโยบายของภาครัฐ
และแม้ว่าผลสรุปตัวเลขการลงทุนในต่างประเทศของจีนในปี 2560 จะลดลงจากปีก่อนหน้า 29.4% เนื่องจากนโยบายจำกัดและห้ามการลงทุน แต่สำหรับการลงทุนในประเทศที่อยู่ในโครงการเส้นทางสายไหม (Belt and Road Initiative หรือ BRI) ยังคงได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่แม้ตัวเลขการลงทุนจากจีนจะลดลง แต่ก็น้อยกว่าในประเทศอื่น ๆ ขณะเดียวกันยังมีแนวโน้มว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากจีนให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งตอนนี้ได้ร่วมกันดำเนินโครงการรถไฟไทย – จีน
ปัจจุบันจีนลงทุนในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดระยองกว่า 100 บริษัท รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจีนอนุมัติการลงทุนเมื่อปี 2558 โดยมองว่าไทยเป็นประตูสู่อาเซียน และเป็นเป้าหมายที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนจีน
โดยฝ่ายจีนมองว่าประเทศไทยมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนจีนจาก 6 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
2. การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่เกี่ยวข้อง
3. โยบายการสนับสนนุการลงทุนของรัฐบาลไทย
4. วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน
5. ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ และ
6. ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่สำหรับจีน (ในแง่ของเศรษฐกิจ ขนาดประเทศ และขนาดประชากร เป็นอันดับ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ)
นับว่าเป็นข่าวดีที่หลายประเทศสนใจเข้ามาลงทุนและขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทางด้านการค้าการลงทุน ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานอย่างจีนกับญี่ปุ่น
ที่สำคัญด้วยยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ของจีน ทำให้จีนโดดเด่นมากในขณะนี้ ดังนั้น การลงทุนจากจีนจะเป็นตัวกระตุ้นความสนใจเข้ามาลงทุนของประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น และนั่นจะยิ่งช่วยทำให้ความหวังที่ไทยจะก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการผลิตของภูมิภาคก็จะใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้นด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ ประชาชาติธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และเดอะเนชั่น
ทัพธุรกิจญี่ปุ่นดาหน้าลงทุนไทย “สมคิด”โรดโชว์รอบใหม่ดึงSME https://www.prachachat.net/economy/news-108301
นักลงทุนแดนมังกรไหลเข้าไทย
http://www.thansettakij.com/content/252009
New direction for Chinese investment http://www.nationmultimedia.com/detail/opinion/30337357
อีอีซีเนื้อหอม ญี่ปุ่น-จีน จองลงทุนต่อเนื่อง
โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ระบุว่า ญี่ปุ่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด (เน้นที่อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร โลหะ เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า) ตามมาด้วยสิงคโปร์และจีน
มีรายงานผลการสำรวจบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในประเทศไทยปี 2560 ขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในประเทศไทยและมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนสูงขึ้นมากกว่า 50%
โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนญี่ปุ่นสนใจจะลงทุนเพิ่มและมองว่ามีโอกาสทางธุรกิจ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุ
ส่วนการลงทุนจากจีนนั้น ภาคเอกชนไทยมองว่า ภาพรวมการลงทุนในไทยจากจีนมีสัญญาณที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจีนมองว่า ประเทศไทยมีความน่าลงทุน เพราะเชื่อมั่นต่อนโยบายของภาครัฐ
และแม้ว่าผลสรุปตัวเลขการลงทุนในต่างประเทศของจีนในปี 2560 จะลดลงจากปีก่อนหน้า 29.4% เนื่องจากนโยบายจำกัดและห้ามการลงทุน แต่สำหรับการลงทุนในประเทศที่อยู่ในโครงการเส้นทางสายไหม (Belt and Road Initiative หรือ BRI) ยังคงได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงประเทศไทย[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เนื่องจากจีนให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งตอนนี้ได้ร่วมกันดำเนินโครงการรถไฟไทย – จีน
ปัจจุบันจีนลงทุนในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดระยองกว่า 100 บริษัท รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจีนอนุมัติการลงทุนเมื่อปี 2558 โดยมองว่าไทยเป็นประตูสู่อาเซียน และเป็นเป้าหมายที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนจีน
โดยฝ่ายจีนมองว่าประเทศไทยมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนจีนจาก 6 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
2. การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่เกี่ยวข้อง
3. โยบายการสนับสนนุการลงทุนของรัฐบาลไทย
4. วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน
5. ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ และ
6. ประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่สำหรับจีน (ในแง่ของเศรษฐกิจ ขนาดประเทศ และขนาดประชากร เป็นอันดับ 2, 3 และ 4 ตามลำดับ)
นับว่าเป็นข่าวดีที่หลายประเทศสนใจเข้ามาลงทุนและขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทย โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทางด้านการค้าการลงทุน ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานอย่างจีนกับญี่ปุ่น
ที่สำคัญด้วยยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ของจีน ทำให้จีนโดดเด่นมากในขณะนี้ ดังนั้น การลงทุนจากจีนจะเป็นตัวกระตุ้นความสนใจเข้ามาลงทุนของประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น และนั่นจะยิ่งช่วยทำให้ความหวังที่ไทยจะก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการผลิตของภูมิภาคก็จะใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้นด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้