สวัสดีครับปกติผมเป็นคนไม่ค่อยเขียนกระทู้อะไรแนวนี้มาก่อนปรกติอ่านอย่างเดียว แต่อยากเอาประสบการณ์ที่ได้มาในราคาที่แพงได้แชร์มาเล่าสู่กันฟังเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนในการสู้ชีวิตครับ อาจจะมีเขียนผิดเขียนถูกก็ขออภัยด้วยนะครับ
ช่วงก้าวพลาดไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิต

ในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี หลายบริษัทก็มีการเลย์ออฟพนักงานกันมาก ผมเป็นคนหนึ่งที่โดนผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน เรียกได้ว่า เมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพนักงานกินเงินเดือนธรรมดา ไม่ได้มีเงินเก็บมากมาย เพื่อนๆ หลายคนก็เตือนว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ให้เตรียมพร้อมไว้บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ถือว่าเป็นบทเรียนอย่างหนึ่งสำหรับผมที่เจอมาเลยก็ว่าได้ ทำให้ผมเข้าใจเลยว่าใช้ชีวิตประมาทนั้นเป็นยังไง
และมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเองหลังจากโดนเลย์ออฟมา สิ่งที่ตามๆ ก็คือ สมัครงานเท่าไรเขาก็ไม่รับ หางานทำไม่ได้ เริ่มมีปัญหากับคนในครอบครัวเงินเริ่มไม่พอที่จะใช้ ทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะและค่าใช้จ่ายเลี้ยงลูกด้วย สุดท้ายผมกับแฟนเริ่มมีปากเสียงกันบ้าง ไม่คิดเลยว่าเรื่องเงินจะเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของผมต้องจบลง
“เธอทิ้งผมไปติดต่อไม่ได้ คือหายไปจากชีวิตผมเลย สิ่งเดียวที่เธอทิ้งไว้ให้คือลูกสาวของผมเอง”
ช่วงจิตตก

ช่วงนั้นผมมีเงินแค่พอซื้อข้าวให้ลูกกิน แต่ยังดีที่มีบ้านของพ่อกับแม่ พ่อแม่ผมจากไปนานแล้วแต่ท่านยังเหลือที่พักพิงไว้ให้อย่างน้อยก็ยังพอมีทรัพย์สินติดตัว ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าเครียดมาก ข้าวผมแทบไม่ได้กิน หาตังมาได้เท่าไรก็เอามาซื้อข้าวให้ลูกกิน เพื่อที่จะอยู่รอด ในตอนนั้นผมก็หาสมัครทำงานเล็กๆ น้อยๆ ไปอะไรทำได้ก็ทำ เคยเครียดถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายเลยก็มี แต่สิ่งที่ดึงผมออกจากตรงนั้นได้คือเสียงของลูกผม ตอนนั้นลูกเดินมาหาผมตอนเย็น พร้อมกับก๋วยเตี๋ยวที่เหลืออีกครึ่งชาม แล้วลูกบอกผมว่า “พ่อกินข้าวหน่อยนะ ร้านนี่อร่อนดีนะพ่อซื้อที่ไหนอะ” น้ำตาผมไหลเลยครับ ผมรู้สึกผิดและเห็นแก่ตัวมากที่จะฆ่าตัวตายแล้วทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวโดยไม่มีใคร ผมเปลี่ยนความคิดทันที ต้องทำให้ลูกโตเป็นคนที่ดีให้ได้
ช่วงจุดเปลี่ยนชีวิต
เมื่องานพัง ความรักพัง สิ่งที่ทำให้ผมพอมีแรงก้าวเดินต่อ คือ ลูกสาวตัวน้อยของผม ผมก็พยายามหาไรทำเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นอีก
วันที่เปลี่ยนความคิดผมก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมที่ลูกบอกอร่อยมาแบ่งกัน ให้ลูกกินเส้นกับลูกชิ้น ผมกินน้ำซุปกับข้าว วันไหนโชคดีหน่อยมีกระดูกมานี่สุดยอดเลย ฉากแบบนี้เคยเห็นแต่ในหนัง ในโฆษณาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมกับลูกของ บังเอิญร้านก๋วยเตี๋ยวที่กินประจำ เลิกขาย เพราะเจ้าของแกย้ายกลับบ้านไปต่างจังหวัด
ผมเลยปิ๊งไอเดียหนึ่ง ตรงที่เฮียเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวขาย มันก็ขายดีนะ มีลูกค้ามาอุดหนุนตลอด ก็เลยรู้สึกว่าเราไปขายก๋วยเตี๋ยวดีไหม ก็เลยเริ่มศึกษาดู บ้างก็สอบถามจากร้านต่างๆ บ้างก็จากอินเตอร์เนต ได้มาหลายเจ้าเลยครับ แต่ยังเลือกไม่ถูก สุดท้ายผมเลยเลือกจากร้านที่ลูกผมชอบมากที่สุด เพราะลูกผมชอบกินลูกชิ้นมาก ทุกครั้งที่เห็นลูกผมกินลูกชิ้นอย่างมีความสุข มันมีความสุขไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงตัดสินใจจากสิ่งที่ลูกผมชอบ เพราะผมจะได้เห็นเธอกินอย่างอร่อยในทุกๆวัน จากนั้นเงินที่เก็บมาได้ก้อนสุดท้ายในชีวิต ผมมอบให้กับการลงทุนร้านก๋วยเตี๋ยว โชคดีที่เขาให้ผ่อนชำระค่าเฟรนไชส์ได้ผมจึงมีโอกาสได้ลงมือทำร้านก๋วยเตี๋ยว จะบอกอีกอย่างว่า ผมทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็นเลย แต่เฟรนไชส์ที่ผมซื้อ เขาก็มีการสอนการแนะนำให้ทั้งหมด จนผมสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ช่วงแรกๆที่ขาย ไม่ค่อยโอเคนัก ไม่ค่อยมีลูกค้าเลย ช่วงนี้ก็ท้อแต่มันหายท้อทันทีเมื่อหันมามองหน้าลูกที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวของเราพร้อมกับรอยยิ้ม
ตอนนั้นผมโปรโมทไปตามซอย หาป้ายมาติดหน้าร้าน พอทำไปได้สักพักก็เริ่มมีลูกค้ามาเรื่อยๆ จนผมคิดได้ว่า ธุรกิจที่ดี ไม่ได้เกิดจากที่มีคนมาซื้อของเยอะๆกำไรเยอะๆ แต่เกิดจาการรักษาคุณภาพของสินค้าและรักษาฐานของลูกค้าประจำ จนเกิดการซื้อซ้ำเรื่อยๆ ผมไม่ได้ต้องการคนซื้อที่มากมาย แต่ผมใช้เทคนิคที่ว่า พยายามทำความรู้จักลูกค้าทุกคนที่มากินในร้าน ทำความสนิทกับลูกค้าและมีการบริการที่ดี จนในบางครั้งลูกค้าบางคน ไม่ได้มากินแต่ก็ยังมานั่งคุยกันประจำ เมื่อเกิดความคุ้นเคยจนเกิดการซื้อซ้ำ เมื่อซื้อซ้ำๆจนเกิดการบอกต่อ มีหลายครั้งที่มีคนแนะนำว่า ทำไมไม่ลดต้นทุนต่อชามละ จะได้กำไรเพิ่มมากขึ้นนะ แต่ผมไม่เห็นด้วยผมถือหลักการธุรกิจของคนจีนที่ว่า ให้ปฏิบัติกับลูกค้าให้เหมือนกับการปฏิบัติให้คนในครอบครัว แล้วเขาจะซื้อสินค้าเราเอง ต่อมาผมมีความคิดต่อยอดไปอีก โดยการนำลูกชิ้นที่ไว้ทำก๋วยเตี๋ยว มาดัดแปลงทำอย่างอื่น เพราะมีลูกค้าหลายบอกว่าอยากกินลูกชิ้นปิ้ง บางคนอยากกินยำลูกชิ้น ผมเลยจัดให้ซะเลย เพิ่มไปในเมนูร้าน เพราะมันไม่ได้เพิ่มต้นทุนอะไรมาก เพราะวัตถุดิบก็ใช้จากของที่ทำก๋วยเตี๋ยวปกติอยู่แล้ว จนปัจจุบันจากผู้ชายที่แทบไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต ตอนนี้ผมมีเงินที่ได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวตกเดือนละ 200,000 บาท ผมสามารถหาของอร่อยๆให้ลูกผมกินได้อย่างไม่ขัดสน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ไม่น่าเชื่อนะครับ จากจุดที่แย่ที่สุดในวันนั้นแบบไม่เหลืออะไรแล้ว จะมีวันนี้ได้ ผมเชื่อว่า ถ้าทุกคนมีความพยายามไม่ย่อท้อ สวรรค์มีตาแน่นอนครับ ฝากถึงเพื่อนๆที่ประสบพบเจอเรื่องร้ายต่างๆในชีวิตนะครับ ให้ลองเริ่มตั้งสติ แล้วสังเกตสิ่งที่เล็กๆ เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ อย่าเอาเรื่องเงินหรือกำไรเป็นที่ตั้งในการทำธุรกิจ ให้เริ่มต้นโดยการตั้งว่าจะทำไรให้ผู้อื่นมีความสุขและความพึงพอใจ และพวกเขาเหล่านั้นจะจ่ายเงินให้กับสิ่งที่เขาพอใจ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ผมก็ยินดีให้คำปรึกษานะครับ ย้ำอีกครั้งผมไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่ผมเป็นเพียงคนขยันและช่างสังเกตเท่านั้นเอง ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
ชีวิตเปลี่ยนด้วยบทเรียนราคาแพง
ช่วงก้าวพลาดไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิต
ในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี หลายบริษัทก็มีการเลย์ออฟพนักงานกันมาก ผมเป็นคนหนึ่งที่โดนผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน เรียกได้ว่า เมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นพนักงานกินเงินเดือนธรรมดา ไม่ได้มีเงินเก็บมากมาย เพื่อนๆ หลายคนก็เตือนว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ให้เตรียมพร้อมไว้บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ถือว่าเป็นบทเรียนอย่างหนึ่งสำหรับผมที่เจอมาเลยก็ว่าได้ ทำให้ผมเข้าใจเลยว่าใช้ชีวิตประมาทนั้นเป็นยังไง
และมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเองหลังจากโดนเลย์ออฟมา สิ่งที่ตามๆ ก็คือ สมัครงานเท่าไรเขาก็ไม่รับ หางานทำไม่ได้ เริ่มมีปัญหากับคนในครอบครัวเงินเริ่มไม่พอที่จะใช้ ทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะและค่าใช้จ่ายเลี้ยงลูกด้วย สุดท้ายผมกับแฟนเริ่มมีปากเสียงกันบ้าง ไม่คิดเลยว่าเรื่องเงินจะเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่ของผมต้องจบลง
“เธอทิ้งผมไปติดต่อไม่ได้ คือหายไปจากชีวิตผมเลย สิ่งเดียวที่เธอทิ้งไว้ให้คือลูกสาวของผมเอง”
ช่วงนั้นผมมีเงินแค่พอซื้อข้าวให้ลูกกิน แต่ยังดีที่มีบ้านของพ่อกับแม่ พ่อแม่ผมจากไปนานแล้วแต่ท่านยังเหลือที่พักพิงไว้ให้อย่างน้อยก็ยังพอมีทรัพย์สินติดตัว ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าเครียดมาก ข้าวผมแทบไม่ได้กิน หาตังมาได้เท่าไรก็เอามาซื้อข้าวให้ลูกกิน เพื่อที่จะอยู่รอด ในตอนนั้นผมก็หาสมัครทำงานเล็กๆ น้อยๆ ไปอะไรทำได้ก็ทำ เคยเครียดถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายเลยก็มี แต่สิ่งที่ดึงผมออกจากตรงนั้นได้คือเสียงของลูกผม ตอนนั้นลูกเดินมาหาผมตอนเย็น พร้อมกับก๋วยเตี๋ยวที่เหลืออีกครึ่งชาม แล้วลูกบอกผมว่า “พ่อกินข้าวหน่อยนะ ร้านนี่อร่อนดีนะพ่อซื้อที่ไหนอะ” น้ำตาผมไหลเลยครับ ผมรู้สึกผิดและเห็นแก่ตัวมากที่จะฆ่าตัวตายแล้วทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวโดยไม่มีใคร ผมเปลี่ยนความคิดทันที ต้องทำให้ลูกโตเป็นคนที่ดีให้ได้
เมื่องานพัง ความรักพัง สิ่งที่ทำให้ผมพอมีแรงก้าวเดินต่อ คือ ลูกสาวตัวน้อยของผม ผมก็พยายามหาไรทำเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นอีก
วันที่เปลี่ยนความคิดผมก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมที่ลูกบอกอร่อยมาแบ่งกัน ให้ลูกกินเส้นกับลูกชิ้น ผมกินน้ำซุปกับข้าว วันไหนโชคดีหน่อยมีกระดูกมานี่สุดยอดเลย ฉากแบบนี้เคยเห็นแต่ในหนัง ในโฆษณาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมกับลูกของ บังเอิญร้านก๋วยเตี๋ยวที่กินประจำ เลิกขาย เพราะเจ้าของแกย้ายกลับบ้านไปต่างจังหวัด
ผมเลยปิ๊งไอเดียหนึ่ง ตรงที่เฮียเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวขาย มันก็ขายดีนะ มีลูกค้ามาอุดหนุนตลอด ก็เลยรู้สึกว่าเราไปขายก๋วยเตี๋ยวดีไหม ก็เลยเริ่มศึกษาดู บ้างก็สอบถามจากร้านต่างๆ บ้างก็จากอินเตอร์เนต ได้มาหลายเจ้าเลยครับ แต่ยังเลือกไม่ถูก สุดท้ายผมเลยเลือกจากร้านที่ลูกผมชอบมากที่สุด เพราะลูกผมชอบกินลูกชิ้นมาก ทุกครั้งที่เห็นลูกผมกินลูกชิ้นอย่างมีความสุข มันมีความสุขไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงตัดสินใจจากสิ่งที่ลูกผมชอบ เพราะผมจะได้เห็นเธอกินอย่างอร่อยในทุกๆวัน จากนั้นเงินที่เก็บมาได้ก้อนสุดท้ายในชีวิต ผมมอบให้กับการลงทุนร้านก๋วยเตี๋ยว โชคดีที่เขาให้ผ่อนชำระค่าเฟรนไชส์ได้ผมจึงมีโอกาสได้ลงมือทำร้านก๋วยเตี๋ยว จะบอกอีกอย่างว่า ผมทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็นเลย แต่เฟรนไชส์ที่ผมซื้อ เขาก็มีการสอนการแนะนำให้ทั้งหมด จนผมสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ช่วงแรกๆที่ขาย ไม่ค่อยโอเคนัก ไม่ค่อยมีลูกค้าเลย ช่วงนี้ก็ท้อแต่มันหายท้อทันทีเมื่อหันมามองหน้าลูกที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวของเราพร้อมกับรอยยิ้ม
ตอนนั้นผมโปรโมทไปตามซอย หาป้ายมาติดหน้าร้าน พอทำไปได้สักพักก็เริ่มมีลูกค้ามาเรื่อยๆ จนผมคิดได้ว่า ธุรกิจที่ดี ไม่ได้เกิดจากที่มีคนมาซื้อของเยอะๆกำไรเยอะๆ แต่เกิดจาการรักษาคุณภาพของสินค้าและรักษาฐานของลูกค้าประจำ จนเกิดการซื้อซ้ำเรื่อยๆ ผมไม่ได้ต้องการคนซื้อที่มากมาย แต่ผมใช้เทคนิคที่ว่า พยายามทำความรู้จักลูกค้าทุกคนที่มากินในร้าน ทำความสนิทกับลูกค้าและมีการบริการที่ดี จนในบางครั้งลูกค้าบางคน ไม่ได้มากินแต่ก็ยังมานั่งคุยกันประจำ เมื่อเกิดความคุ้นเคยจนเกิดการซื้อซ้ำ เมื่อซื้อซ้ำๆจนเกิดการบอกต่อ มีหลายครั้งที่มีคนแนะนำว่า ทำไมไม่ลดต้นทุนต่อชามละ จะได้กำไรเพิ่มมากขึ้นนะ แต่ผมไม่เห็นด้วยผมถือหลักการธุรกิจของคนจีนที่ว่า ให้ปฏิบัติกับลูกค้าให้เหมือนกับการปฏิบัติให้คนในครอบครัว แล้วเขาจะซื้อสินค้าเราเอง ต่อมาผมมีความคิดต่อยอดไปอีก โดยการนำลูกชิ้นที่ไว้ทำก๋วยเตี๋ยว มาดัดแปลงทำอย่างอื่น เพราะมีลูกค้าหลายบอกว่าอยากกินลูกชิ้นปิ้ง บางคนอยากกินยำลูกชิ้น ผมเลยจัดให้ซะเลย เพิ่มไปในเมนูร้าน เพราะมันไม่ได้เพิ่มต้นทุนอะไรมาก เพราะวัตถุดิบก็ใช้จากของที่ทำก๋วยเตี๋ยวปกติอยู่แล้ว จนปัจจุบันจากผู้ชายที่แทบไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต ตอนนี้ผมมีเงินที่ได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวตกเดือนละ 200,000 บาท ผมสามารถหาของอร่อยๆให้ลูกผมกินได้อย่างไม่ขัดสน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ไม่น่าเชื่อนะครับ จากจุดที่แย่ที่สุดในวันนั้นแบบไม่เหลืออะไรแล้ว จะมีวันนี้ได้ ผมเชื่อว่า ถ้าทุกคนมีความพยายามไม่ย่อท้อ สวรรค์มีตาแน่นอนครับ ฝากถึงเพื่อนๆที่ประสบพบเจอเรื่องร้ายต่างๆในชีวิตนะครับ ให้ลองเริ่มตั้งสติ แล้วสังเกตสิ่งที่เล็กๆ เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ อย่าเอาเรื่องเงินหรือกำไรเป็นที่ตั้งในการทำธุรกิจ ให้เริ่มต้นโดยการตั้งว่าจะทำไรให้ผู้อื่นมีความสุขและความพึงพอใจ และพวกเขาเหล่านั้นจะจ่ายเงินให้กับสิ่งที่เขาพอใจ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ผมก็ยินดีให้คำปรึกษานะครับ ย้ำอีกครั้งผมไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่ผมเป็นเพียงคนขยันและช่างสังเกตเท่านั้นเอง ขอบคุณที่ติดตามนะครับ