รีวิว Wonderstruck : อัศจรรย์วันข้ามเวลา (คะแนน 7/10)
หนังติสแตก ที่สายอาร์ตทั้งหลายไม่ควรพลาด!!
[**No Spoil ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ]
หลาย ๆ คนอาจเห็นชื่อหนังภาษาไทยแล้วคิดว่า เป็นหนัง Sci-fi โรแมนติก ที่เด็กสองคนข้ามเวลามาพบรักกัน อารมณ์เหมือน Your name ที่น่ารักมุ้งมิ้งกระดิ่งแมว แต่คุณต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้ ณ บัดนาววว !! เรื่องนี้ไม่ใช่หนัง Sci-fi ข้ามเวลาหารักแต่อย่างใด แต่เป็นหนังที่ติสแตกโคตรโคตรรรร หนังเล่าเรื่องราวของเด็ก 2 คนในช่วงเวลาที่แตกต่างกันถึง 50 ปีด้วยกัน โดยเรื่องราวของเด็กทั้งสองคนนั้น จะอยู่ในช่วงปี 1929 และ 1979
หนังเล่นประเด็นในเรื่องของความเป็น “มนุษย์” ผ่านเรื่องราวของเด็กสองคน ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นล้วนมีความต้องการ มีจุดหมายปลายทางของตน ไม่ว่าจุดหมายของแต่ละคนนั้นจะเหมือนหรือแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนต้องการเพียงแค่ “ความสุข” ที่มาเติมเต็มหัวใจเท่านั้นเอง..
ซึ่งเด็กทั้งสองในเรื่องนี้ ก็มีจุดหนึ่งที่เหมือนกันคือ “หูหนวก” และต้องการตามหา “อะไรบางอย่าง” ที่ทั้งคู่รู้สึกได้ว่าถูกพลัดพรากไปจากชีวิตในวัยเด็ก ทำให้เรื่องราวของหนังที่ดำเนินไปในทั้งสองช่วงเวลานั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก แต่แตกต่างกันด้วยบริบท รายละเอียดที่ต่างกันไป..
สิ่งที่ทำให้ผม “หลงรัก” และหลงใหลในหนังเรื่องนี้ คือเรื่องคือของงาน “ภาพ” และ “เสียง” ทำออกมาได้น่าดึงดูดน่าค้นหาเอามาก ๆ เลย เรื่องของภาพในช่วงปี 1979 นั้นหนังเลือกใช้โทนภาพที่ดูอบอุ่นละมุนตา ส่วนปี 1929 นั้นจัดว่าพีคยิ่งกว่าตรงที่ใช้ภาพแบบ ขาว-ดำ ทั้งหมด!! โอ้พระเจ้าจอร์จ ไม่ได้ช่วยทอดกล้วยแต่มันยอดมาก คือถ้าใครที่เป็นสายอาร์ตรักในการเสพภาพขาว-ดำ คุณจะต้องหลงรักกับการถ่ายทอดอารมณ์ภาพของหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน
และนอกจากอารมณ์ของภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีแล้ว ก็ยังมีความละเมียดละไมในการถ่ายทอดบรรยากาศความเป็นปี 1929 และ 1979 ออกมาอีกด้วย หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ให้เราปล่อยอารมณ์ไปกับทิวทัศน์ บรรยากาศในยุคนั้น ๆ แบบถ้าใครเกิดทันปี 1929 จะต้องชอบมากแน่ ๆ
#อายุขนาดนั้นใครจะเข้าโรงหนัง!!!
โดยรวมแล้วงานภาพออกมาดีมากจริง ๆ ครับ ทีมงานผู้สร้างใส่ใจในทุกรายละเอียดจริง ๆ และยิ่งได้เสียงประกอบที่ลงตัว ซึ่งผมไม่ได้หมายความถึงเพียงแค่ดนตรีประกอบเท่านั้น คำว่า “เสียง” ในที่นี้คือ กว่า 40% ของเรื่องหนังเลือกที่จะตัดเสียงออกไปแบบโดยสิ้นเชิง เสมือนเราเป็นคนหูหนวกแบบเด็กทั้งสองเลยทีเดียว!! และมันไม่ใช่การตัดเสียงออกแบบตามใจฉัน แต่หนังเลือกตัดสลับระหว่างความเงียบ และคำพูดได้ดี มีชั้นเชิงและมีเสน่ห์มาก ๆ ช่วยขับอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้ดีมาก ๆ จริง
ชมขนาดนี้.. แล้วทำไมให้แค่ 7 คะแนน ?? ต้องบอกก่อนว่าการให้คะแนนของผมนั้น เป็นการใช้ “ความรู้สึกส่วนตัว” ให้คะแนนในแง่ของ “หนังหนึ่งเรื่อง” แม้ว่างานภาพและเสียง รวมถึงเรื่องราวในหนังจะน่าสนใจ แต่ก็ยังมีบางจุดที่รู้สึกขัดใจ และไม่ถูกจริตอยู่พอสมควร
หนังทิ้งปมปริศนาเอาไว้ แล้วไม่คลี่คลายแบบน่าขัดใจ คือมันไม่ใช่ประเด็นหลักของหนัง ที่จะใช้มุกให้คนดูคิดตามต่อเอาเองจะสวยงามที่สุด แต่เป็นประเด็นธรรมดา ๆ ที่หนังเลือกที่จะตั้งคำถามมาตั้งแต่ต้นเรื่องเอง แล้วกลับไม่พูดถึงมันอีกเลยซะเสียนี่ เลยทำให้ส่วนตัวแล้วรู้สึกแอบเซ็งเล็กน้อย
และด้วยความที่หนังเลือกที่จะดำเนินเรื่องแบบปล่อยเวลาไปเรื่อย ๆ ให้ซึมซับไปกับภาพที่สวยงามนี่แหละ มันทำให้หนังดูน่าเบื่อ และชวนให้ใครหลาย ๆ คนเกือบจะหลับในโรงหนังได้เลย
สรุป.. ผมรู้สึกเฉย ๆ ในแง่ของหนังหนึ่งเรื่อง แต่ในแง่ของงานภาพและเสียง ผมชอบมาก ๆ ครับ จัดว่าเป็นหนังที่ดูยาก และค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม ถ้าใครไม่ใช่สายหนังอาร์ต หนังติส ๆ แนะนำว่าให้ปล่อยผ่านไปได้เลยครับ ส่วนสายอาร์ตนั้นบอกได้คำเดียวว่า “ห้ามพลาด”
หนังเข้าฉาย 25 มกราคม 2561 รับชมได้เฉพาะโรงภาพยนตร์ในเครือ Major Cineplex เท่านั้นครับ
“รสนิยมการดูหนังแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณคิดว่าใช่ พิสูจน์ด้วยตาของคุณเองในโรงหนังดีที่สุด
แล้วอย่าลืมกลับมาคุยกันนะครับ ^^”
.
.
.
Facebook : ก็แค่คนชอบดูหนัง
[SR] [ก็แค่คนชอบดูหนัง] Wonderstruck : อัศจรรย์วันข้ามเวลา.. หนังติสแตก ที่สายอาร์ตทั้งหลายไม่ควรพลาด!! [**No Spoil]
หนังติสแตก ที่สายอาร์ตทั้งหลายไม่ควรพลาด!!
[**No Spoil ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ]
หลาย ๆ คนอาจเห็นชื่อหนังภาษาไทยแล้วคิดว่า เป็นหนัง Sci-fi โรแมนติก ที่เด็กสองคนข้ามเวลามาพบรักกัน อารมณ์เหมือน Your name ที่น่ารักมุ้งมิ้งกระดิ่งแมว แต่คุณต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้ ณ บัดนาววว !! เรื่องนี้ไม่ใช่หนัง Sci-fi ข้ามเวลาหารักแต่อย่างใด แต่เป็นหนังที่ติสแตกโคตรโคตรรรร หนังเล่าเรื่องราวของเด็ก 2 คนในช่วงเวลาที่แตกต่างกันถึง 50 ปีด้วยกัน โดยเรื่องราวของเด็กทั้งสองคนนั้น จะอยู่ในช่วงปี 1929 และ 1979
หนังเล่นประเด็นในเรื่องของความเป็น “มนุษย์” ผ่านเรื่องราวของเด็กสองคน ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นล้วนมีความต้องการ มีจุดหมายปลายทางของตน ไม่ว่าจุดหมายของแต่ละคนนั้นจะเหมือนหรือแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนต้องการเพียงแค่ “ความสุข” ที่มาเติมเต็มหัวใจเท่านั้นเอง..
ซึ่งเด็กทั้งสองในเรื่องนี้ ก็มีจุดหนึ่งที่เหมือนกันคือ “หูหนวก” และต้องการตามหา “อะไรบางอย่าง” ที่ทั้งคู่รู้สึกได้ว่าถูกพลัดพรากไปจากชีวิตในวัยเด็ก ทำให้เรื่องราวของหนังที่ดำเนินไปในทั้งสองช่วงเวลานั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก แต่แตกต่างกันด้วยบริบท รายละเอียดที่ต่างกันไป..
สิ่งที่ทำให้ผม “หลงรัก” และหลงใหลในหนังเรื่องนี้ คือเรื่องคือของงาน “ภาพ” และ “เสียง” ทำออกมาได้น่าดึงดูดน่าค้นหาเอามาก ๆ เลย เรื่องของภาพในช่วงปี 1979 นั้นหนังเลือกใช้โทนภาพที่ดูอบอุ่นละมุนตา ส่วนปี 1929 นั้นจัดว่าพีคยิ่งกว่าตรงที่ใช้ภาพแบบ ขาว-ดำ ทั้งหมด!! โอ้พระเจ้าจอร์จ ไม่ได้ช่วยทอดกล้วยแต่มันยอดมาก คือถ้าใครที่เป็นสายอาร์ตรักในการเสพภาพขาว-ดำ คุณจะต้องหลงรักกับการถ่ายทอดอารมณ์ภาพของหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน
และนอกจากอารมณ์ของภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีแล้ว ก็ยังมีความละเมียดละไมในการถ่ายทอดบรรยากาศความเป็นปี 1929 และ 1979 ออกมาอีกด้วย หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ให้เราปล่อยอารมณ์ไปกับทิวทัศน์ บรรยากาศในยุคนั้น ๆ แบบถ้าใครเกิดทันปี 1929 จะต้องชอบมากแน่ ๆ #อายุขนาดนั้นใครจะเข้าโรงหนัง!!!
โดยรวมแล้วงานภาพออกมาดีมากจริง ๆ ครับ ทีมงานผู้สร้างใส่ใจในทุกรายละเอียดจริง ๆ และยิ่งได้เสียงประกอบที่ลงตัว ซึ่งผมไม่ได้หมายความถึงเพียงแค่ดนตรีประกอบเท่านั้น คำว่า “เสียง” ในที่นี้คือ กว่า 40% ของเรื่องหนังเลือกที่จะตัดเสียงออกไปแบบโดยสิ้นเชิง เสมือนเราเป็นคนหูหนวกแบบเด็กทั้งสองเลยทีเดียว!! และมันไม่ใช่การตัดเสียงออกแบบตามใจฉัน แต่หนังเลือกตัดสลับระหว่างความเงียบ และคำพูดได้ดี มีชั้นเชิงและมีเสน่ห์มาก ๆ ช่วยขับอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้ดีมาก ๆ จริง
ชมขนาดนี้.. แล้วทำไมให้แค่ 7 คะแนน ?? ต้องบอกก่อนว่าการให้คะแนนของผมนั้น เป็นการใช้ “ความรู้สึกส่วนตัว” ให้คะแนนในแง่ของ “หนังหนึ่งเรื่อง” แม้ว่างานภาพและเสียง รวมถึงเรื่องราวในหนังจะน่าสนใจ แต่ก็ยังมีบางจุดที่รู้สึกขัดใจ และไม่ถูกจริตอยู่พอสมควร
หนังทิ้งปมปริศนาเอาไว้ แล้วไม่คลี่คลายแบบน่าขัดใจ คือมันไม่ใช่ประเด็นหลักของหนัง ที่จะใช้มุกให้คนดูคิดตามต่อเอาเองจะสวยงามที่สุด แต่เป็นประเด็นธรรมดา ๆ ที่หนังเลือกที่จะตั้งคำถามมาตั้งแต่ต้นเรื่องเอง แล้วกลับไม่พูดถึงมันอีกเลยซะเสียนี่ เลยทำให้ส่วนตัวแล้วรู้สึกแอบเซ็งเล็กน้อย
และด้วยความที่หนังเลือกที่จะดำเนินเรื่องแบบปล่อยเวลาไปเรื่อย ๆ ให้ซึมซับไปกับภาพที่สวยงามนี่แหละ มันทำให้หนังดูน่าเบื่อ และชวนให้ใครหลาย ๆ คนเกือบจะหลับในโรงหนังได้เลย
สรุป.. ผมรู้สึกเฉย ๆ ในแง่ของหนังหนึ่งเรื่อง แต่ในแง่ของงานภาพและเสียง ผมชอบมาก ๆ ครับ จัดว่าเป็นหนังที่ดูยาก และค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม ถ้าใครไม่ใช่สายหนังอาร์ต หนังติส ๆ แนะนำว่าให้ปล่อยผ่านไปได้เลยครับ ส่วนสายอาร์ตนั้นบอกได้คำเดียวว่า “ห้ามพลาด”
หนังเข้าฉาย 25 มกราคม 2561 รับชมได้เฉพาะโรงภาพยนตร์ในเครือ Major Cineplex เท่านั้นครับ
“รสนิยมการดูหนังแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
ถ้าคุณคิดว่าใช่ พิสูจน์ด้วยตาของคุณเองในโรงหนังดีที่สุด
แล้วอย่าลืมกลับมาคุยกันนะครับ ^^”
.
.
.
Facebook : ก็แค่คนชอบดูหนัง