ศาลให้ประกัน"สุเทพ-แกนนำกปปส."รวม 9 ราย ตีราคาประกันคน 6 แสน

MGR-Online ศาลให้ประกัน "สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกแกนนำกปปส." รวม 9 ราย ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ โดยตีราคาประกันรายละ 6 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และนัดตรวจหลักฐานวันที่ 19 มี.ค.นี้

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (24 ม.ค.) เวลา 10.45 น. พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อายุ 69 ปี อดีตเลขาธิการ กปปส. , นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อายุ 57 ปี แกนนำ กปปส.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์, นายชุมพล จุลใส อายุ 48 ปี แกนนำ กปปส.แยกราชประสงค์และอดีต ส.ส.ชุมพร ประชาธิปัตย์ , นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อายุ 50 ปี แกนนำ กปปส.แยกราชประสงค์และอดีต ส.ส. กทม.ประชาธปัตย์ , นายอิสสระ สมชัย อายุ 72 ปี แกนนำ กปปส.ห้าแยกลาดพร้าวและอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประชาธิปัตย์และ , นายวิทยา แก้วภราดัย อายุ 63 ปี แกนนำ กปปปส.ลุมพินี และอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ประชาธิปัตย์ , นายถาวร เสนเนียม อายุ 71 ปี แกนนำ กปปส.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและ อดีต ส.ส.สงขลา ประชาธิปัตย์ , นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อายุ 52 ปี แกนนำ กปปส.แยกอโศกและอดีต ส.ส. กทม. ประชาธิปัตย์ และ นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ อายุ 32 ปี อดีตโฆษก กปปส. และอดีต ส.ส. กทม. ประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ , ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ , กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ , อั้งยี่ , ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ รวม 9 ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 , 116 , 117 , 135/1 , 209 , 210 , 215 , 216 , 362 , 364 , 365 , พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ม.76 , 152 ประกอบ ม.83 และ 91

โดยฟ้องอัยการ 17 หน้าบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 56 ถึง 1 พ.ค. 57 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้ง 9 ร่วมสมคบกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร โดยเข้าเป็นสมาชิก หัวหน้าผู้มีตำแหน่งสั่งการของคณะบุคคล ร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏ เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ระหว่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งระหว่างนั้นมีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองเคลื่อนไหวคัดค้านหลายกลุ่มกระทั่งวันที่ 29 พ.ย. 56 กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้จัดตั้งเป็นคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการโดยใช้ชื่อว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หรือ กปปส. โดยมีนายสุเทพ จำเลยที่ 1 ประกาศตัวเป็นเลขาธิการฯ ส่วนจำเลยที่ 2-9 ได้ร่วมเป็นสมาชิกและกรรมการผู้มีหน้าที่สั่งการ โดยคณะบุคคลนั้นร่วมกันโดยมิชอบด้วยกฏหมายในการร่วมกันปลุกระดม ยุยง ชักชวน ให้ประชาชนทั่วราชอาณาจักรเข้าร่วมการชุมนุมและร่วมกิจกรรมในการก่อความไม่สงบโดยมุ่งหมายที่จะขับไล่รัฐบาล น.ส ยิ่งลักษณ์ ให้พ้นจากตำแหน่ง รวมทั้งคัดค้านและขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อไม่ให้มีนายกรัฐมนตรีและ ครม.ชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ โดยจำเลยทั้ง 9 และคณะบุคคลดังกล่าวได้ออกประกาศให้รัฐบาลหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้ข้าราชการระดับสูงเข้ารายงานตัวต่อ กปปส. จากนั้น กปปส. จะออกคำสั่งแต่งตั้งคณะบุคคลเข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศแทน

ซึ่งการกระทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว จำเลยทั้ง 9 และพวกได้แบ่งหน้าที่กันทำ คือ การปราศรัยชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมหรือออกมาขับไล่รัฐบาล อีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังทั้งที่มีและไม่มีอาวุธบุกรุกเข้าไปยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานต่างๆ โดยมีการใช้กำลังขัดขวางต่อสู้ทำร้ายร่างกายและขู่ว่าจะใช้กำลังกระทำต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รักษาอาคารสถานที่ราชการและประชาชน ขณะเดียวกันก็ได้มีการรวบรวมจัดหาชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งมาเป็นกองกำลังโดยเรียกว่า “นักรบศรีวิชัย , นักรบตะนาวศรี , กลุ่มกระเบนธง” โดยเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 57 ได้มีการสะสมกำลังโดยประกาศรับสมัครชายฉกรรจ์ 500 คนเพื่อทำการไล่ล่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ และรัฐมนตรีอื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการกบฏโดยจะบีบบังคับให้ นายฯและรัฐมนตรีนั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่และให้พ้นจากตำแหน่ง จากนั้นจะตั้งศาลประชาชนขึ้นพิจารณาพิพากษาลงโทษและริบทรัพย์ นอกจากนี้พวกจำเลยได้ยุยงชักชวนให้ธุรกิจเอกชน , ข้าราชการ , พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนร่วมกันหยุดปฏิบัติงาน ปิดงาน ไม่ยอมค้าขาย ชะลอและงดการจ่ายภาษีให้รัฐบาลพร้อมกันให้บุกรุกเข้าไปยังสถานที่ราชการ สถานที่เอกชน รัฐวิสาหกิจ และศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งการกระทำนั้นได้เผยแพร่ให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่วราชอาณาจักรผ่านการกล่าวปราศรัย ที่ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์หลายแห่ง และจัดให้มีการชุมนุมใหญ่ของประชาชนที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินและบริเวณใกล้เคียง กระทั่งมีการขยายและยกระดับการชุมนุมด้วยการนำประชาชนเดินขบวน เคลื่อนย้ายด้วยยานพาหนะหลายชนิดไปปิดล้อม บุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นรวมทั้งตัดระบบไฟฟ้าน้ำปะปาในทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพลังงาน ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนไทย ญี่ปุ่น ดินแดง และ รัฐวิสาหกิจรวมทั้งเอกชนที่สำคัญหลายแห่ง เช่น อาคารเอ็นเนอจีคอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดีรังสิต ซึ่งหลังจากบุกรุกเข้าไปในสถานที่ต่างๆหลายแห่งแล้วพวกจำเลยร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้ ก้อนหิน , ขวดแก้ว , ไม้ท่อน , หนังสติ๊ก , กระสุนหัวน็อต , ระเบิดเพลิงปะทัดยักษ์ , ระเบิดปิงปอง , อาวุธปืนสั้น-ปืนยาวฯ มีดปลายแหลม เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งรักษาความสงบเรียบร้อยได้รับอันตรายและมีเสียชีวิตหลายราย

และตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. - 2 มี.ค. 57 จำเลยกับพวกยังได้ปิด กทม. หรือ Bangkok Shutdown รว 7 จุด โดยตั้งเวทีปราศรัยปิดกั้นการจราจรสาธารณะประกอบด้วยเวทีแจ้งวัฒนะ , ห้าแยกลาดพร้าว , อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ , แยกปทุมวัน , แยกราชประสงค์ , สวนลุมพินี และแยกอโศก โดยมีการนำแท่งปูน , ผนังคอนกรีต , รั้วลวดหนาม และยางรถยนต์วางเป็นเครื่องกีดขวาง แล้วในช่วงการประกาศการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ. 57 จำเลยกับพวกยังให้มีการชุมนมปิดล้อมหน่วยรับสมัครและหน่วยเลือกตั้งใน กทม. และต่างจังหวัดหลายแห่งเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. แล้ววันที่ 5 เม.ย. 57 ยังได้ร่วมกันประกาศว่ากลุ่ม กปปส. จะเข้าใช้อำนาจอธิปไตย และประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่จะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกฯและ ครม.

นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 29-30 พ.ย. 56 นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. และนายชุมพล แกนนำ กปปส. จำเลยที่ 1และ3 ยังร่วมกันก่อการร้าย โดยทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สาธารณะเช่น เครื่องควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าหลักและไฟฟ้าสำรองของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท. รวมทั้งระบบอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลาหลายชั่วโมงทำให้เกิดความเสียหายนับพันล้านบาท เหตุเกิดในพื้นที่ กทม. และจ.นนทบุรี , จ.เพชรบุรี , จ.พังงา , จ.ชุมพร , จ.นครศรีธรรมราช , จ.ยะลา หลายแห่งเกี่ยวพันกัน โดยจำเลยที่ 1-4 , จำเลยที่ 7-9 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 57 , จำเลยที่ 5 เข้ามอบตัวที่ 28 พ.ค. 57 และจำเลยที่ 6 เข้ามอบตัววันที่ 27 พ.ค. 57 ชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 9 ให้การปฏิเสธ ซึ่งหากจำเลยยื่นขอปล่อยชั่วคราวอัยการก็ขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล โดยท้ายฟ้องอัยการโจทก์ ยังขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งเก้าตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ด้วย

ศาลได้ประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.247/2561 และสอบคำให้การเบื้องต้นแล้วจำเลยให้การปฏิเสธ โดยนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 19 มี.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ขณะที่จำเลยทั้งเก้า ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ บจก.วิริยะประกันภัย รายละ 800,000 บาท รวม 7.2 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี

โดยศาลพิจารณาคำร้องแล้ว อนุญาตให้ประกันตัวทั้ง 9 ราย โดยตีราคาประกันคนละ 600,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้งหมดออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีจำเลยจำนวนมากเพื่อให้กระบวนพิจารณาเป็นไปโดยปราศจากอุปสรรค จึงเห็นสมควรกำหนดเงื่อนไขกับจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา ดังนี้ 1.ให้จำเลยดำเนินการแต่งตั้งทนายความเป็นที่เรียบร้อยก่อน หรือในวันนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี ตรวจพยานหลักฐาน

2.กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ -จำเลย ให้ถือวันนัดของศาลเป็นหลักสำคัญ หากทนายความจำเลยติดภารกิจหรือเจ็บป่วย ก็ให้จำเลยแต่งตั้งทนายความคนใหม่ ศาลจะไม่ให้อนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะเหตุขัดข้องเรื่องทนายความ และศาลจะถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางประวิงคดีอันเป็นอุปสรรคแก่การดำเนินคดีในศาลที่ศาลจะมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการสั่งปล่อยชั่วคราว

https://mgronline.com/crime/detail/9610000007734
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่