❤ บำรุงผิวขาวกระจ่างใสด้วย VITAMIN C : มันคืออะไร และมีดีอะไร ทำไมช่วยให้ผิวดีเวอร์ ❤ ALL ABOUT VITAMIN C ❤


สวัสดีค่ะ  


วันนี้แก้วกลับมาตั้งกระทู้อีกครั้ง โดยครั้งนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิตามินซี และประโยชน์ของวิตามินซีค่ะ

แน่นอน ว่าวิตามินซีถือเป็นอีกหนึ่งสกินแคร์ที่อยู่ในกิจวัตรการบำรุงหน้าของใครหลายๆคน บางคนอาจจะใช้เพราะได้อ่านรีวิวมา บางคนอ่านงานวิจัยมา บางคนได้พิสูจน์กับตัวเองมาแล้ว ในขณะที่บางคนได้พิสูจน์ผ่านหน้าเพื่อนมาแล้วกับตา (อ่าวเฮ้ย)

แก้วเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบ และเรียกได้ว่า “เชื่อ” ในประสิทธิภาพของสกินแคร์กลุ่มวิตามินซีค่ะ สาเหตุเพราะส่วนตัวแก้วชอบหยิบผลไม้ที่มีวิตามินซีมาทดลองกับผิวอยู่บ่อยๆค่ะ (ซึ่งแก้วเคยตั้งกระทู้มาร์คหน้าขาวจากผลไม้ธรรมชาติไปแล้วครั้งหนึ่งค่ะ ใครสนใจ ลองอ่านกันดูได้นะค้า) เนื่องจากเป็นกลุ่มผลไม้ที่ให้ผลในด้านบำรุงหน้าขาวใส ทำให้รูขุมขนกระชับ ได้เร็วและชัดเจนมาก -- แน่นอนค่ะ ว่าไม่ได้ขาวทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทดลอง แต่เมื่อทำเป็นประจำ ผลไม้วิตามินซีก็ไม่เคยทำให้แก้วผิดหวังจริงๆค่ะ! เห็นผลเลย ว่าผลไม้กลุ่มวิตามินซีช่วยบำรุงให้ผิวหน้าดูขาวกระจ่างใส รอยดำจางลง รูขุมขนกระชับ และช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ได้จริงๆ

ดังนั้น ความเชื่อมั่นที่ได้รับจากการทดลอง ก็เลยทำให้บังเกิดเป็นสเตปต่อมาค่ะ แก้วหันมาหยิบสกินแคร์วิตามินซีมาใช้บำรุงผิวหน้าบ้างค่ะ ฮิ้ววว ~ ไม่น่าเชื่อ มีการพัฒนาาา

แน่นอนค่ะ ว่าแก้วสนใจสรรพคุณของวิตามินซีมาก ดังนั้นการใช้วิตามินซีบำรุงหน้า ก็เลยมาควบคู่ไปกับการหาข้อมูลไปพร้อมๆกันค่ะ

แก้วก็เลยขอนำข้อมูลที่แก้วรวบรวมเอาไว้ มาสรุป และมาแชร์กับเพื่อนๆทุกๆคนค้า



เราทุกคนที่ใช้สกินแคร์วิตามินซีนั้น ย่อมต้องหวังผลที่ได้จากสรรพคุณของตัววิตามินซี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบำรุงให้ผิวหน้าดูขาวกระจ่างใส   ลดรอยดำ   ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน หรือช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ส่งผลทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์กันทั้งนั้น

ดังนั้น จากสรรพคุณที่กล่าวมา วิตามินซีจึงดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี ที่สามารถแก้ปัญหาผิวครอบคลุมได้หลายจุด สุดจะคุ้มค่ากับการลองนำมาใช้บำรุงผิวเป็นอย่างมาก

แต่ใครหลายคนก็เจอปัญหาบางอย่าง

เช่นใช้วิตามินซีแล้วแสบระคายเคืองผิว -- บางคนอาจจะแรงถึงขึ้นผิวแสบไหม้ ทำให้ผิวกลายเป็นปื้นแดง และลอกเป็นขุย

หรือใช้ๆไป มาสังเกตดูสกินแคร์ตัวเองอีกที อ่าวเฮ้ย! ทำไมสีมันกลายเป็นสีน้ำตาลตุ่นๆน่าเกลียดๆแบบนี้ไปได้ เสียรึเปล่า หมดอายุใช่ไหม -- อ่าว จับขวดพลิกดูฉลากแล้วก็ไม่ใช่นี่ -- แล้วทำไมสีตุ่นได้ขนาดนั้น

เรื่องของเรื่องก็คือ วิตามินซีที่อยู่ในสกินแคร์นั้น ก็คือตัวเดียวกันกับ Ascorbic acid (AA) ซึ่งเป็นกรดชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ทั้งในรูปแบบธรรมชาติ และสังเคราะห์ค่ะ  โดยรูปแบบทั้งสองชนิดนี้ จะมีความแตกต่างกันที่โครงสร้างค่ะ ถ้าหากพบตามพืชหรือผลไม้ธรรมชาติ โครงสร้างการเรียงตัวของ AA จะอยู่ในรูปแบบ L  แต่ถ้าพบในรูปแบบสังเคราะห์ โครงสร้างการเรียงตัวของ AA จะอยู่ในรูปแบบ D ค่ะ



ซึ่งตัวของ AA จะเสถียรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 3.5 ค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรดสูงมากๆ แล้วนอกจากนี้ สภาพแวดล้อมที่ว่า ต้องอยู่ในสภาพที่ไม่มีน้ำ ไม่มีความชื้น และไม่มีแสงแดดด้วยค่ะ   AA ถึงจะเสถียรและคงตัวสุดๆ

ดังนั้น สกินแคร์แบรนด์ต่างๆจึงพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ให้สามารถคงประสิทธิภาพของ AA เอาไว้ให้ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีสีชา หรือทึบแสง เพื่อป้องกันแสงแดด ไปจนถึงการปรับสูตรสกินแคร์ของตัวเอง ไม่ให้มีน้ำผสมอยู่ด้วย หรือปรับให้มีความเป็นกรดสุดๆ อยู่ที่ประมาณ 3.5 เพื่อที่ว่า AA จะได้เสถียรสุดๆ สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสุดๆ ไม่เสื่อมสภาพจากการที่เจอน้ำ หรือสภาพความเป็นกรดด่างที่ไม่เหมาะสม  แล้วเมื่อผู้บริโภค (อย่างเรา) หยิบมาใช้ ก็จะได้ผลลัพธ์น่าประทับใจไปตามๆกัน

แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ สภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ

บางคนผิวถึกทนทาน ทาสกินแคร์วิตามินซีที่มีความเป็นกรดไปแล้ว ก็ไม่มีปัญหาระคายเคือง ในขณะที่บางคนมีผิวบอบบาง หรือแพ้ง่าย ถ้าหากทาสกินแคร์ตัวเดียวกันนี้ไปแล้ว อาจจะทำให้มีอาการแสบเคือง ลอกเป็นขุย ไปจนถึงรู้สึกแสบไหม้ได้ค่ะเพราะผิวไม่สามารถทนรับความเป็นกรดนี้ได้

และอีกหนึ่งข้อจำกัดก็คือ ต่อให้สูตรจะไม่มีน้ำ หรือจะพยายามออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นสีชาหรือทึบแสงแค่ไหน แต่เมื่อใช้บ่อยๆเข้า ก็มีความชื้นหรือแสงแดดผ่านเข้าไปสู่ตัวสกินแคร์ได้อยู่ดี ทำให้ AA เสื่อมสภาพ ถูกแสงแดด oxidized ทำให้กลายเป็นสีน้ำตาลตุ่นๆ อย่างที่ใครหลายๆคนเคยเจอค่ะ

เพื่อแก้ปัญหาอันน่าหนักใจดังที่กล่าวมาแล้วนั้น AA จึงถูกพัฒนาโครงสร้าง เพื่อให้ตอบโจทย์กับกลุ่มผู้บริโภคให้มากที่สุดค่ะ นั่นก็คือ พัฒนาให้คงตัวในน้ำมากยิ่งขึ้น  ลดการระคายเคือง/ลดความเป็นกรด และ ทำให้ AA มีความสเถียร ประสิทธิภาพไม่เสื่อมให้ได้ค่ะ

จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเห็น AA อยู่ในรูปแบบ Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) และ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ตามท้องตลาดในทุกวันนี้ค่ะ

มามะ มาดูกัน ว่ามีการพัฒนามาแก้ปัญหาได้ยังไง


เริ่มต้นจาก Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) ค่ะ




เปรียบเทียบโครงสร้างของเจ้า MAP กับ AA แบบดั้งเดิมแล้วนั้น พอจะเห็นส่วนคล้ายๆกันอยู่ใช่มั้ยคะ

ใช่เลยค่ะ มันคล้ายกันมาก

พูดให้ง่ายๆ ก็คือมันคล้ายๆกับเป็นการนำ AA มาต่อเข้ากับแมกนีเซียมค่ะ (Mg) (เอางั้นเลยเรอะ)

เมื่อ AA อยู่ในโครงสร้าง MAP  พบว่าสามารถดูดซึมสู่ผิวได้มากขึ้น สามารถคงตัวได้ที่ค่าความเป็นกรดด่างที่ 7 ซึ่งไม่ได้เป็นกรดจ๋า เหมือน AA เดี่ยวๆ ก่อนหน้านี้ และคงตัวดีเมื่อละลายน้ำ ไม่ได้ถูกน้ำทำให้เสื่อมสภาพค่ะ จึงทำให้ประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของ AA ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถทำให้ผิวขาวกระจ่างใสได้ดีกว่า และลงลึกไปกระตุ้นคอลลาเจนได้ดีกว่าสูตรที่เป็น AA ปกติค่ะ และเพราะ MAP คงตัวได้ดีที่ pH 7 นี่เอง จึงทำให้สูตรตำรับสกินแคร์ไม่ต้องมีความเป็นกรดจนเกินไป ทำให้ไม่เกิดปัญหาแสบระคายผิวค่ะ

Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP)



โครงสร้างของ SAP ก็คล้ายกับ MAP ค่ะ พูดให้ง่ายๆ ก็คล้ายกับเปลี่ยนแมกนีเซียม (Mg) เป็นโซเดียม (Na) แทน

มีดีตรงที่สามารถทำให้ AA คงตัวได้มากกว่ารูปแบบ MAP หรือแม้แต่ AA รูปแบบอื่นๆนอกจากนี้ค่ะ และสามารถดูดซึมลงลึกผ่านผิวชั้นนอก (Epidermis) ได้ โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกแสบระคายค่ะ

ในด้านความคงตัวนั้น SAP จะคงตัวได้ดีที่ pH ประมาณ 7 เช่นเดียวกันค่ะ ทำให้สูตรตำรับสกินแคร์นั้นๆไม่มีความเป็นกรดจ๋าจนเกินไป ลดปัญหาแสบระคายผิวหลังจากใช้ไปได้ค่ะ

และนอกจากช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ลดรอยดำ และกระตุ้นคอลลาเจนแล้วนั้น SAP ยังมีดีตรงที่จัดการสิวอักเสบได้ค่ะ

ใช่แล้ว! SAP มีฤทธิ์ช่วยลดปัญหาสิวอักเสบได้ค่ะ อ่านถูกแล้วค่ะ

เนื่องจากมีความคงตัวมาก ทำให้ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระยังมีอยู่มาก สามารถลดกระบวนการอักเสบ ที่มีชื่อว่า Lipid peroxide ที่ผิวหนังได้   ส่งผลให้ลดการอักเสบที่ผิวหนังได้ดี ทำให้ไม่เกิดเป็นสิวอักเสบในภายภาคหน้าได้ค่ะ  เพื่อนๆบางคนจึงอาจจะเห็นว่ามีการรักษาสิว โดยใช้ SAP คู่กับยาทาสิวภายนอกค่ะ

อ่านถึงตรงนี้ เราอาจจะได้คำตอบแล้วว่า “โอเค ต่อจากนี้ไป ฉันจะใช้วิตามินซีรูปแบบ SAP”

แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ

มหากาพย์ของวิตามินซียังไม่จบเท่านี้

เพราะนอกจากความคงตัวของวิตามินซีแล้วนั้น ยังมีการพัฒนาให้ได้วิตามินซีที่ประสิทธิภาพแรงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยค่ะ!

จึงเป็นที่มา ให้หลายๆคนเห็นว่ามีวิตามินอี (Vitamin E) และกรดเฟอรูลิค (Ferulic acid) ผสมมาในสกินแคร์วิตามินซีอยู่บ่อยๆ

สาเหตุเป็นเพราะว่าสองตัวนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินซีได้ 4 เท่า และ 8 เท่า ตามลำดับค่ะ โดยที่เสริมฤทธิ์ด้านบำรุงผิวขาวกระจ่างใส ลดรอยดำ กระตุ้นคอลลาเจน บำรุงให้ดูผิวอ่อนเยาว์ รวมไปถึงป้องกันผิวถูกรังสียูวีทำร้ายได้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ -- วะ วะ ว้าววว

สาเหตุก็เนื่องจากว่าวิตามินอี และกรดเฟอรูลิค ต่างเป็นสารต้านอนุมูลอิสระด้วยกันทั้งคู่ ทำให้มีบทบาทคล้ายกับเป็นตัวตายตัวแทนให้วิตามินซี ออกไปรับมือกับสารอนุมูลอิสระต่างๆให้ ทำให้ตัววิตามินซีเองมีความเสถียร ไม่ถูกอนุมูลอิสระมาทำลายลดประสิทธิภาพไปเสียก่อนค่ะ

ดังนั้นแล้ว การเลือกใช้สกินแคร์วิตามินซีที่มีส่วนผสมของวิตามินอี กับกรดเฟอรูลิคอยู่ด้วย จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากค่ะ !


ส่วนตัวแก้วเอง ทุกวันนี้ก็ใช้วิตามินซีบำรุงผิวหน้าค่ะ เพราะอยากได้ผลเรื่องกระจ่างใส ลดรอยดำสิว และชะลอริ้วรอย (ก่อนหน้านี้สิวบุกหน้าค่ะ รอยสงครามเลยมีทั่วหน้าเลย เสียใจจัง กระซิกๆ)  สามารถทาตอนเช้ากับก่อนนอนได้ค่ะ หรือจะทาแค่ตอนก่อนนอนก็ได้ค่ะ เพียงแต่ถ้าทาตอนเช้าด้วย แก้วแนะนำให้ทาครีมกันแดดร่วมด้วยนะคะ เพื่อเป็นการเพิ่มความคงตัวกับวิตามินซียิ่งขึ้น และป้องกันการเกิดฝ้ากระด้วยค่ะ  -- อย่าเข้าใจผิดนะคะ วิตามินซีช่วยลดรอยดำสิวฝ้ากระได้ ช่วยซ่อมแซมและป้องกันความเสียหายจากรังสียูวีได้ แต่ไม่ได้ช่วยกันรังสียูวีได้จ๋า เท่ากับการทาครีมกันแดดค่ะ อย่าลืมทากันแดดด้วยนะคะ

ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน จะเห็นผลชัดเจนค่ะ  หน้าจะดูกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม รอยดำจากสิวจางไปเยอะ และสิวอักเสบไม่ค่อยบุกหน้าแล้วค่ะ (จะมีเล็กน้อย ตามฮอร์โมนค่ะ) โล่งใจมากกก ฟื้นหน้าขึ้นมาได้

ใครกำลังมองหาสกินแคร์บำรุงหน้าให้ไม่หมอง ให้ดูขาวกระจ่างใส ลดการอักเสบ และชะลอริ้วรอย แก้วแนะนำให้ลองสกินแคร์ที่เป็นวิตามินซี ผสมวิตามินอี กับกรดเฟอรูลิค ค่ะ  คุ้มค่ากับการลองมาก


หวังว่าข้อมูลที่แก้วเอามาแชร์ให้กับเพื่อนๆจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาอ่านกระทู้แก้ว แล้วไว้เจอกันใหม่นะค้า มีบทความกับงานเขียนอยากจะแชร์เพื่อนๆเยอะเลย อิอิ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่