[CR] กระทู้อวดดี ตอนที่ 3 : หนึ่งวันฉันจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กออทิสติก

กลับมาอีกครั้งนะครับกับกระทู้ "อวดดี" นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เราไปหา "ดี" มาอวดทุกท่าน
หากใครพลาด 2 ครั้งที่ผ่านมาไปก็ลองกดไปดูตามนี้เลยจ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


สำหรับวันนี้ เราจะพาทุกท่านไปสู่ปลายทางชื่อ มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง ซึ่งเป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษ
ตั้งอยู่ในย่านพระโขนง ซอยสุขุมวิท 71 (ปรีดี 36) วิธีเดินทางก็มีอำนวยความสะดวกให้ตั้งแต่รถไฟ เรือเมล ลิเก ตำรวจ
แต่วันนี้พวกเราเลือกเดินทางโดยรถไฟฟ้า มาลงที่สถานีพระโขนง แล้วเรียกใช้บริการรถกระป๋อสี่ล้อเหล็กคันเล็ก ๆ วิ่งดังปุ๋ง ๆ
เอาหน้าผึ่งลมไปซักครู่ก็มาถึงปากทาง บริเวณหน้าซอยปรีดีย์ 36 แล้วก็เดินต่อเข้ามาจนถึงอาคารหลังสุดท้ายที่ดูกลายเป็นว่า
โรงเรียนสอนเด็กพิเศษแห่งนี้มีทางเข้าออกแค่ทางเดียว


โรงเรียนเเห่งนี้เป็นสถานที่ปิดในเมืองที่เปิดกว้างอย่างกรุงเทพมหานคร อยู่ท่ามกลางการพัฒนาซึ่งกำลังขยายตัวมาอย่างรวดเร็ว
สภาพอาคารเป็นตึกปูนเก่าสี่ชั้น และมีอาคารย่อยรองรับการทำงานของบุคลากร ด้านล่างสุดเปิดโล่งเป็นโรงอาหาร มีครัวเเยกออกมา
อย่างถูกสุขลักษณะ และที่สำคัญ มีทางลาดชัน และราวเหล็กให้เกาะยึดซึ่งอำนวยความสะดวกไว้สำหรับผู้พิการทุกประเภท
แต่ที่น่าสนใจคือไม่มี "ลิฟท์" เมื่อไม่มีลิฟท์โดยสาร การขนคนขึ้นลงสี่ชั้นคงลำบากน่าดู โดยเฉพาะนักเรียนที่ล้วนเป็นเด็กพิเศษ !  


เมื่อข้ามพ้นธรณีประตูก็ดูเหมือนโลกที่รายล้อมเราอยู่เเปลกไป หูได้ยินเพลงเด็กทำนองเร่ง ๆ จังหวะประหลาดดังมาแล้วสายตาก็บังเอิญ
ไปเห็นพิธีการหน้าเสาธง แทนที่จะเคารพธงชาติกันปกติแต่ที่นี่ใข้เพลงที่มีจังหวะ สอนให้นักเรียนขยับยึกยักกับตามเพลง สภาพตอนนั้น
จะเป็นยังไง ให้ลองนึกว่าจับปูนาห้าสิบตัวมาวางบนถาดเดียวกัน ท่าน ๆ คิดว่าเด็กนักเรียนจะเต้นได้พร้อมกันไหมเล่า - -


เราเริ่มสังเกตุว่า "เด็กพิเศษ" หรือผู้ที่มีอาการในกลุ่มออทิสติก นั้นไม่ใช่แค่เด็กเสมอไป บางคนตัวใหญ่กว่าเรา บางคนดูเป็นวัยกลางคน
ที่ดูอายุเยอะสุดผมขาวหงอกแล้วก็เห็น จากรั้วโรงเรียนที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองมาส่งลูกหลานในตอนเช้า เราเข้ามาพบกับผู้อำนวยการ
มูลนิธิสถาบันแสงสว่าง คุณ จินตหรา เตชะทักขิญพันธุ์ หรือ พี่ปุ่น เราได้รับคำแนะนำและการต้อนรับที่ดีมาก ๆ


ก่อนจะได้คุยอะไรกัน เราถามถึงข้อสงสัยหลังจากเดินผ่านตัวอาคารมาไม่เจอลิฟท์ กับเรื่องนี้ พี่ปุ่น เล่าให้ฟัง ว่าเคยมีแนวคิด
ในการจะปรับปรุงให้อาคารเรียนมีลิฟท์ แต่จากการประชุมร่วมกับคณะครูและผู้ปกครอง ได้ข้อคิด ว่าบางทีสิ่งที่อำนวยความสะดวก
คนปกติ อาจไม่ได้อำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มผู้มีอาการออทิสติก แล้วที่สำคัญมันอาจเป็นปัญหา ถ้ามีเด็กซักคนเกิดเข้าไปติด
อยู่ในนั้น ประกอบกับการขึ้นบันไดสูงสุดแค่สี่ชั้น จะช่วยเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้กับเด็ก ๆ เองด้วย  จึงเห็นตรงกัน
ว่าลิฟท์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นของโรงเรียนนี้แต่อย่างใด


จากนั้นก็หารือกันว่าจะไปเดินดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งผู้อำนวยการเองก็ออกปากว่าว่างอยู่พอดี และจะพาไปดูด้วยตัวเอง
เลยกลายเป็นว่า เราได้คนนำทางรุ่นใหญ่มาแนะนำสถานที่ต่าง ๆ หากการไปพบเห็นธรรมชาติ ไม่ได้หมายถึงแค่ป่าเขาทะเลเเล้วล่ะก็
เรากำลังมุ่งสู่ธรรมชาติ ของในอีกมุมที่ไม่มีใครอยากเป็น


ภายในโรงเรียนของมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง แม้จะมีเนื้อที่ไม่มาก แต่การประยุกต์ใช้สถานที่เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้แก่เด็ก นับเป็นสิ่งที่
น่าสนใจ เพราะภายใต้เนื้อที่ไม่กี่ไร่นี้ประกอบด้วย ส่วนธาราบำบัด ส่วนการเพาะปลูกผักไฮโดโปรนิคส์ ส่วนออกกำลังกาย ห้องสมุด
ห้องเรียนการใช้ชีวิตประจำวัน ห้องเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ห้องดนตรี โรงอาหาร สนามเด็กเล่น ห้องสอนทรงตัว

ในช่วงที่เราไปถึงนั้น เป็นเวลาสันทนาการโดยที่เด็กทุกคนในโรงเรียนจะต้องเดินรอบอาคาร บางคนเดินตามเพื่อน บางคนเดินเกาะ
เเขนคุณครู แต่ความวุ่นวายเกิด เมื่อหลายคนพยายามเข้าทางนั้นออกทางนี้ มีวิธีหาทางลัดต่างกัน เมื่อเสร็จจากการเดินรอบอาคาร
นักเรียนที่เป็นเด็กโต จะต้องหัดใช้กล้ามเนื้อด้วยการเล่นกีฬา เป็นกีฬาบนสนามหญ้าขนาดราวคอร์ทแบดมินตัน  มันเป็นกีฬาชนิดที่
คนปกติมองดูก็คงไม่อาจรู้ได้ว่าจะสนุก หรือให้ประโยชน์ตรงไหน เพราะว่ากับอิแค่การย้ายกรวยสีส้มจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง
ที่อยู่คนละฟากสนาม แล้วก็สวมกรวยให้ตรงกับกรวยที่เพื่อนวางไว้ก่อนหน้า ...นี่มันง่ายไปไหมครู !



แต่กลายเป็นว่า...ทุกนาทีที่ผ่านไป ในสายตาเราไม่เห็นกรวยถูกสวมซ้อนกันได้เลยซักอัน ครูพละร่างกำยำ จะคอยทำท่าเหมือนพวก
คุณครูจอบยิ้มบ แหกปากกระตุ้นให้เด็ก ๆ วิ่ง " เอ้า วิ่ง วิ่ง วิ่ง อย่าเดิน" ถ้าเป็นในโรงเรียนที่เราโตมา เจอวัจนภาษาดุดันแบบนี้
มีวิ่งกันป่าราบ แต่งานนี้ และที่นี่ทุกคนแทบจะเดินชนกันงงงวยไปหมด

"สวัสดีครับ"

รอบที่สี่ ผมเริ่มนับในใจตั้งแต่เด็กคนนี้สวัสดีผมด้วยท่อนเเขนลักษณะบิดไขว้มาข้างหน้าเหมือนคนแบกเลขแปดด้วยหน้าท้อง เป็นท่าไหว้
ที่ทำยากกว่าปกติ แน่นอนว่าคนทั่วไปคงไม่มีใครอยากให้การใช้ชีวิตมันต้องยากขนาดนี้ คิดดูว่าในหนึ่งวันเราต้องบิดแขนไหว้พ่อ ไหว้แม่
ไหว้ญาติพี่น้อง คนรอบข้าง เจ้านาย โอ๊ย ! มันจะลำบากขนาดไหน แต่หมอนี่เป็นเด็กที่เดินเร็วมากครับ ผมไม่แน่ใจว่าใช้เวลาแค่ไหน
แต่ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านมาทางผมเขาจะยกมือขึ้นแล้วพูดคำว่า

"สวัสดีครับ"

ปกติแล้วผู้มีอาการออทิสติกมักจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเมื่อเจอคนเเปลกหน้า มีทั้งส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มปานน้ำผึ้งเดือนห้าให้ตลอดเวลา
น้ำลายไหล จับแขนขับมือมาสัมผัสสูดดม ตลอดจนพวกโหวกเหวกเสียงดังโวยวาย แต่คุณครูพี่เลี้ยงบอกว่านั่นเป็นเพราะเขาเพียงอยาก
ทักทาย ในวันที่พวกเขาน่ารักจิตใจดี จะเหมือนวันที่ทะเลมีแดดจ้าฟ้าเปิดสะท้อนพื้นน้ำสีเขยวอากาศสดชื่น แต่หากวันอารมณ์ไม่ดี
ต้องใช้ครูพี่เลี้ยงถึงสี่คน ช่วยแยกเด็กออกจากกลุ่มเพื่อน ดู ๆ ไปช่างคล้ายสภาพอากาศเหมือนกันนะเนี่ย คาดเดาได้ยากเหลือเกิน


มันมีเรื่องตลกร้าย ตอนที่เราช่วย พี่ปุ่นและครูพี่เลี้ยง ขนย้ายอุปกรณ์การสอน ตอนเราเดินผ่านบอร์ดข้อมูลสมาชิกของเรา ที่เป็นรูป
ต้นไม้สีเขียว แล้วมีรูปตุ๊กตาคนและสัตว์แปะอยู่เต็มไปหมด ผมมองเห็นว่าใต้ตัวตุ๊กตุ่นที่แปะบนบอร์ดนั้นเต็มไปด้วยชื่อคน ด้วยความฉงน
จึงถามให้หายฉงาย ได้ความว่า ในวิชาศิลปะ คุณครูสอนให้นักเรียนเขียนชื่อตัวเอง (อย่านึกว่าใช้เวลารวดเร็วเชียงล่ะ บางคนอาจต้อง
ใช้เวลาหลายวันด้วยซ้ำ) แล้วคุณครูสั่งให้เอาไปเเปะลงบอร์ดแผ่นนั้น

ปรากฏว่าทุกคนต่างแปะชื่อตัวเองลงบนตุ๊กตารูป "คน" ไม่มีใครแทนชื่อตัวเองบนรูปสัตว์เลย ...ถ้าเลือกได้ใครก็อยากเป็น
แบบที่ฝัน


ไม่ไกลจากสถานที่ออกกำลังกายเรามาหยุดอยู่ที่ป้าย "ธาราบำบัด" กิจกรรมธาราบำบัดนี้จำเป็นต้องมีนักกายภาพ และผู้ดูแลคอยอยู่
ดูแลอย่างใกล้ชิด จึงเป็นส่วนที่จำเป็นต้อง "เสียค่าบริการ" เพิ่ม หากพ่อแม่ผู้ปกครองประสงค์จะให้ลูกได้ลงน้ำยาว ๆ แต่หากไม่เห็น
ความจำเป็น ทางโรงเรียนก็จะจัดสรรเวลาให้เด็กทุกคนได้ลงสระ (ไม่ใช่ลงอ่างนะ) ใช้เวลาทำกิจกรรมธาราบำบัดอย่างน้อยสัปดาห์ละ
หนึ่งครั้งอยู่แล้ว ถัดจาก ธาราบำบัด เราใช้เวลาไปคลุกอยู่กับแปลงผักไร้ดิน ส่วนสอนศิลปะ ให้ห้องสมุดอยู่นาน การที่มูลนิธิสถาบัน
แสงสว่าง จัดให้มีบริการอย่างครบวงจรเช่นนี้  ด้วยไม่อยากให้ผู้ปกครองต้องเลี้ยงลูกบนรถ พาไปที่นู่นทีที่นี่ที


ก่อนจะพาไปทานอาหารกลางวัน ขอถือโอกาสนี้พาชมสถานที่ต่าง ๆ ของโรงเรียนกันก่อนนะครับ






โรงอาหาร สมรภูมิที่สงครามไม่มีวันจบสิ้น

ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าถ้าไม่มีคนป้อนอหารเราตอนขวบสองขวบ เราจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ?  แต่สำหรับที่นี่
เกินกว่าครึ่งเด็กนักเรียนสามารถทานอาหารได้ด้วยตัวเอง แต่สภาพในคลองจักษุที่เราเห็น คืออีกหลายสิบคนไม่สามารถ
หาข้าวทานได้ด้วยตัวเอง เหมือนเป็นเด็กตลอดกาล อาหารเป็นสิ่งที่ต้องถูกป้อน แล้วอย่างยิ่งตอนกลางวันของที่นี่ จะเเบ่ง
เป็นช่วงเวลาของเด็กเล็กกับเด็กโต ชั่วโมงหนึ่งของผู้ดูแลจึงยาวนานมากกว่าปกติอย่างแน่นอน

เด็กบางคนเคี้ยวแต่ช้อนคว่ำข้าวทิ้ง บางคนช่วยเหลือตัวเองได้แต่อยากให้ป้อนอ้อนครูซะอย่างนั้น กลับกันบางคนทำอะไรด้วย
แทบไม่ได้ เอาว่าจะยืนยังไม่ไหวแต่ก็อยากลองทำ ยักเเย่ยักยันกันจนเป็นความวุ่นวายคล้ายสมรภูมิสงครามจิตวิทยา ที่ใครใจอ่อน
ก่อนจำต้องแพ้ กับข้าวของที่นี่เป็นกับข้าวทั่วไปไม่ได้วิเศษวิโส แต่สิ่งหนึ่งที่นักเรียนทุกคนต้องมีคือช้อนเป็นของตัวเอง

แม้จะเเบ่งเป็นระดับชั้น แต่เวลาอาหารกลางวันของเด็กเล็กกับเด็กโตของโรงเรียนสอนเด็กพิเศษมูลนิธิสถาบันแสงสว่างแห่งนี้
แทบไม่แตกต่างกันเลย ถ้าไม่ใช่เหตุผลเรื่องที่นั่งไม่พอ หรือกลัวเด็กโตนั่งทับเด็กเล็กแล้วล่ะก็ ผมเองมองไม่เห็นความเเตกต่าง
ซักนิดเดียว เพราะท้ายที่สุดมันจะเริ่มด้วยความอึกทึก ดำเนินไปด้วยความวุ่นวายครึกโครม ไปจนตอนจบที่ไม่อาจคาดเดา
แต่ภาพสุดท้าย คือเด็กทุกคนลุกจากโต๊ะออกไป เพื่อเตรียมการเข้าชั้นเรียนในตอนบ่าย



ตลอดเวลาช่วงบ่าย เด็กนักเรียนของมูลนิธิสถาบันแสงสว่าง จะได้เรียนพื้นฐานการใช้ชีวิต การช่วยเหลือตัวเอง เช่น วิชาสอนใส่เสื้อผ้า
วิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้น วิชาศิลปะ รวมทั้งการสอนทำอาชีพที่นำไปปรับใช้และสามารถทำร่วมกับครอบครัวได้ แต่ก่อนที่จะเริ่มเรียน
เด็กทุกคนจะต้องได้ "อาบน้ำ" การอาบน้ำที่โรงเรียนคงเป็นสิ่งน่าตลกในเด็กปกติ ยิ่งการอาบน้ำรวมกันยิ่งเข้าไปใหญ่ แต่มัน
จะเป็นความสำเร็จที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองไปได้มากหากมีลูกหลานซึ่งอยู่ในกลุ่มอาการออทิสติกสามารถอาบน้ำ
แปรงฟัน ถูสบู่และดูแลตัวเองได้ ! แต่สำหรับในโรงเรียนวันนี้นั้น - - (ขอไม่มีภาพมากนะครับเพราะมันจะโป๊ ๆ หน่อย ฮ่า )



การเรียนการสอนของที่นี่เป็นเเบบเดินเรียน ไม่ใช่เด็กเดินเรียนนะ แต่เป็นครูจะพาเด็กเดินไปเรียนตามคอร์สต่าง ๆ และมีการ "เลื่อนชั้น"
หากระดับพัฒนาการของเด็กรายนั้นดีขึ้น สำหรับเด็กเล็กช่วง 3-7 ขวบ กระบวนการเรียนการสอนจะเน้นการสร้างกล้ามเนื้อ ควบคู่ไปกับ
ทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หลักสูตรของที่นี่มีกฏหนึ่งซึ่งครูผู้สอนรู้กันหมด คือ "เรียนเมื่อตื่น" หรือ "สอนเมื่อพร้อม"  เพราะจากการ
สังเกต เด็กเล็กจะต้องการการพักผ่อนและมีช่วงเวลานอนที่กระจุกระจิก ในหนึ่งชั้นนั้นครูสอนและผู้ดูแล (อัตราอยู่ที่ 1:3)จะปล่อยเวลา
ให้นักเรียนได้นอนเคร้งเต้งอย่างเต็มอิ่ม คนไหนตื่นก็ดึงมาสอน คนไหนนอนก็จะกล่อมให้ฝันดี - -
ชื่อสินค้า:   โรงเรียน , เด็กพิเศษ , งานเพื่อสังคม
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่