ปัญหาของการพัฒนาชาติ คืออะไร..?
ถ้าให้ตอบแบบง่ายๆไม่ต้องคิดมาก ก็ต้องตอบว่าสาเหตุที่ประเทศไทยเจริญช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่มีจุดเด่นเรื่องที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นปัญหามาจากการเมือง แต่หากไม่นับเรื่องสะดุดชะงักเพราะปัญหาการยึดอำนาจรัฐประหารที่ซ้ำซากจนเป็นวัฏจักร ซึ่งอาจเป็นการโยนบาปให้ทหารจนเกินไป ก็ต้องบอกว่าตัวการสำคัญอีกอย่าง คือ ปัญหาทุจริตที่มีต้นตอมาจากระบบอุปถัมภ์ ในทุกวงการที่มีส่วนให้การขับเคลื่อนประเทศ ทั้งรัฐบาล นักการเมืองหรือตัวแทนประชาชน เอกชน ที่ถูกระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆชอนไชฝั่งเข้าถึงเนื้อในกันหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนกล่าวแบบนี้ คนที่โดนหมายหัวว่าเป็นตัวการและต้องรับผิดชอบมากที่สุด ข้าราชการและนักการเมือง เพียงแต่ข้าราชการไทยมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งโดยมักจะอ้างคุณธรรมความดี ตลอดอายุราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในกรณีแบบนี้นักการเมืองก็เลยตกเป็นจำเลยของสังคมในข้อหา พวกขี้โกง หรือคนเลวอยู่เพียงพวกเดียว
แต่บทความนี้ ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อด่าทหารที่ชอบปฏิวัติหรือด่านักการเมืองที่คอรัปชั่น เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงเสียก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกันไม่ได้อยู่แล้ว นอกเสียจากว่า
ประชาชนจะรู้จักรักษาสิทธิเสรีภาพของตนเองอย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการใช้อำนาจ”นอกระบบ” หรือมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มแข็งและ”เป็นธรรม” ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการและนักการเมืองตัวแทนประชาชน ซึ่งก็อีกนั้นแหละ เป็นสิ่งที่หวังให้เกิดขึ้นได้ยากในบ้านเรา ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะเขียนบทความขึ้นในเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ให้เสียเวลา
แต่วันนี้ จะเขียนถึงอีกแง่หนึ่งของปัญหาประเทศชาติไม่พัฒนาไปอย่างที่ควรเป็น ทั้งที่ประเทศเราเป็น ดาวเด่นของเอเซียมาตั้งแต่ยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกจับตาเมือง ว่าเป็นหนึ่งในเสือแห่งเอเชีย ร่วมกับญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แต่สุดท้ายวันนี้เรากลับต้องมาแข่งกับเวียดนาม เขมร พม่า มันเป็นเพราะเหตุใด..? นอกจากสองสาเหตุที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ผมจะลองมาใช้สมองน้อยๆวิเคราะห์แบบชาวบ้าน ว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่หลุดพ้นจากคำว่า “ประเทศกำลังพัฒนา”เสียที
ซึ่งจากมุมมองของผม มองว่าอีกหนึ่งสาเหตุที่ประเทศไทยไม่พัฒนาอย่างที่ควรเป็น เพราะมีปัญหาหนึ่ง ที่ถ่วงรั้งความเจริญของประเทศไม่ให้รุดหน้าไปได้เท่าที่ควรเป็น
คือแนวคิดการบริหารงานแบบบนลงล่างของส่วนการบริหารของราชการไทย และการรวบศูนย์กลางอำนาจการบริหารทั้งหมดให้มาอยู่ส่วนกลาง ซึ่งทำให้แนวคิดของผู้ปฏิบัติงานในที่นี้ คือข้าราชการในกระทรวงระดับผู้บังคับบัญชาสั่งการในกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง อธิบดีกรม ผู้บังคับบัญชากองต่างๆ ซึ่งจัดเป็นชนชั้นบนของสังคมไทย ที่มีพฤติกรรมการคิดแบบอยู่บนหอคอยงาช้าง สูงซะจนไม่ได้เข้าใจว่าปัญหาที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ระดับล่าง นั้นคืออะไร
และสุดท้ายเมื่อคิดนโยบายและปฏิบัติงานแบบคนอยู่ข้างบน ก็มีแค่คนระดับบนและระดับกลางบางส่วนเพียงเท่านั้น ที่ได้ประโยชน์จากแนวนโยบายบริหารและปฏิบัติราชการ และกลุ่มคนระดับบนและระดับกลางส่วนมากอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ และทำให้การพัฒนาในภาครวมของประเทศกลายเป็นลักษณะกระจุกตัว เกิดเศรษฐกิจแบบ “
รวยกระจุกจนกระจาย” สร้างช่องให้ระดับความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในสังคมแต่ล่ะชนชั้น ถ่างกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ
*วันนี้ ไอ้พระรองมันมาแปลก เหมือนมันไปแด๊กหนังสือเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์มาสักเล่มสองเล่มก่อนมาเขียนบทความ (แซวตัวเองสักหน่อย เพราะไม่อยากให้บรรยากาศกะทู้หนักอึ้งหรือจริงจังเกินไป)
แน่นอนว่าที่กล่าวมาข้างต้น อาจเป็นมุมมองของคนที่ไม่รู้วิธีระเบียบปฏิบัติของข้าราชการระดับสูงในกระทรวงอย่างผมก็ได้ เพราะคนที่เป็นข้าราชการรอบกายผม ก็มีแค่ป้าแก่ๆที่เป็นบรรณารักษ์ปลดเกษียณรับเงินบำนาญ กับหลานชายอีกคนที่เพิ่งเข้ารับราชการเป็นตำรวจระดับประทวน ซึ่งไม่ใช่ข้าราชการที่มีอำนาจออกแนวนโยบายหรือสั่งการนโยบายสักคน ดังนั้นผมจึงไม่มีคนที่มีความรู้ตรงนี้จริงมาบอกหรืออธิบายการทำงานของข้าราชการระดับที่คิดและสั่งการดำเนินนโยบาย แต่ผลของการรวบศูนย์อำนาจและบริหารประเทศ ก็เป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น คือเกิดความเจริญแบบรวมศูนย์ภายในประเทศ ดังนั้นสิ่งที่เป็นข้อสันนิษฐานของผม ก็ไม่น่าจะห่างไกลจากความจริงเท่าใดนัก
อาจมีคนทักท้วงว่า ไม่ใช่แล้ว จริงๆผู้ออกนโยบายและบริหารประเทศ ก็คือตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ซึ่งมันก็ถูก แต่ไม่ทั้งหมด เพราะรัฐธรรมนูญสูงสุดของประเทศไทย ไม่ว่าจะมีมากี่ฉบับก็ตามแต่ มีเพียงฉบับเดียว คือ รัฐธรรมนูญ 2540 เท่านั้น ที่อำนาจการบริหารและการออกนโยบายในภาพรวมเป็นของตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจมาจากประชาชน หรือจะเรียกว่า “นักการเมือง” ก็ได้ สามารถคิดนโยบายและบริหารงานได้อย่างเต็มที่
นอกนั้นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับอื่น ก็มีการให้ให้อำนาจกับข้าราชการทำงานร่วมกับตัวแทนประชาชนหรือนักการเมือง ปกครองบริหารประเทศ เป็นแบบ “กึ่งรัฐข้าราชการ” มาตลอด ซึ่งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงเป็นผู้คิดนโยบายและนำเสนอต่อให้รัฐบาลเป็นผู้พิจารณาว่าจะอนุญาตให้ดำเนินการหรือไม่ ประเทศไทยปกครองและบริหารงานในแบบนี้มาเกือบตลอด ดังนั้นข้าราชการจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้เลย ในคำถามที่ว่า ทำไมประเทศไทยไม่พัฒนาอย่างที่ควรเป็น..?
เพราะคนระดับผู้บังคับบัญชาในกระทรวงของราชการไทย ต่างมักใช้แนวคิดอย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือคิดแบบบนลงล่าง และคิดอย่างนี้กันมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่คิดกันบ้างว่า เกือบจะร้อยปีเข้าไปแล้วที่เปลี่ยนระบอบการปกครองมา และข้าราชการเป็นฟันเฟื่องที่สำคัญที่สุด ในการคิดและทำงานเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่ประเทศกลับเดินหน้าไปไม่ถึงไหน มันเพราะอะไร..?
ใช่แนวคิดการบริหารแบบนี้หรือเปล่า ที่เป็นข้อด้อยของการพัฒนาประเทศ..? หรือได้แต่ชี้มือไปที่นักการเมือง แล้วบอกว่าเพราะพวกมันขี้โกง เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศที่แท้จริง ไม่ใช่พวกท่านซึ่งอ้างคุณธรรมความดีกันมาตลอด
เคยเฉลียวใจคิดกันบ้างไหม..? ว่าทำไมในยุคสมัยของนักการเมืองขี้โกงบางคน ประเทศมันถึงได้พัฒนารุดหน้ากว่าปกติ
เคยวิเคราะห์กันบ้างหรือไม่ว่าจุดดีจุดเด่นของนักการเมืองขี้โกงแบบนั้น คืออะไร..? หรือได้แต่บอกว่าเป็นเพราะนโยบายประชานิยม ซึ่งท่านมองว่าเป็นตัวการล่มจมพลาญงบประมาณของชาติ
แต่ท่านเคยคิดจริงจังบ้างไหม ว่าแก่นแท้นโยบายประชานิยมคืออะไร..?
ชนชั้นล่างของสังคมได้รับผลประโยชน์ก่อน แล้วสะท้อนส่งผลดีไปสู่ชนชั้นที่สูงกว่าขึ้นไปใช่หรือไม่..?
แนวคิดนโยบายบริหารแบบนี้ ใช่คิดจากล่างขึ้นบน..ใช่หรือเปล่า..?
แล้วทำไมเวลาคนอื่นที่ไม่ใช่นักการเมืองขี้โกงคนนั้นทำ เปลี่ยนมาให้เหล่าข้าราชการคนดีทำ โดยใช้ชื่อว่านโยบายประชารัฐ มันถึงไม่ประสบความสำเร็จหรือได้ผลรับเดียวกันล่ะ..ทำไม..?
คำถามเหล่านี้ถ้าท่านตอบไม่ได้ ผมที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้เป็นทั้งคนดีและคนเลวคนนี้นี้แหละจะตอบให้ ว่าทำไมถึงจะลอกแบบนโยบายกันมา แต่มันไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนกัน
ยกตัวอย่างนโยบายช่วยเหลือคนจน ที่นักการเมืองขี้โกงคิด โดยใช้วิธีการรับประกันราคาพืชผลทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นชนชั้นล่างแต่เป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศ เปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุน ด้วยกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งผลก็คือมีเงินเข้ากระเป๋าชนชั้นล่างมากขึ้น ก็จับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ภาคการค้าซึ่งเจ้าของกิจการเป็นชนชั้นกลางก็มีรายรับมากขึ้น สั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตมากขึ้นซึ่งเจ้าของเป็นชนชั้นกลางและชั้นสูงก็ได้รับผลประโยชน์ มีการจ้างงานเพิ่มหรือเพิ่มผลตอบแทนค่าล่วงเวลาให้กับบรรดาแรงงานซึ่งเป็นชนชั้นล่างและชั้นกลางมากขึ้น ซึ่งเมื่อทุกภาคส่วนและชนชั้นของสังคมได้ประโยชน์ เศรษฐกิจมันก็ดีขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัด
แต่นโยบายช่วยเหลือคนจน ที่ข้าราชการคนดีคิด โดยใช้บัตรเครดิตคนจน เป็นการแจกเงินให้ฟรีๆทุกเดือนแบบไม่ต้องกู้ยืมด้วย แต่ไม่ได้เป็นเงินสด มีข้อกำหนดว่าต้องใช้ซื้อสินค้ากับร้านธงฟ้าประชารัฐเท่านั้น ร้านธงฟ้าประชารัฐที่ว่านี้ก็สั่งสินค้ามาจากผู้ผลิตรายใหญ่เพียงรายเดียว ซึ่งก็สามารถอ้างได้ว่าเพื่อความสะดวกต่อการทำงานของส่วนราชการ แต่ผลก็คือไม่ได้รับการตอบรับเพราะเจ้าร้านธงฟ้าประชารัฐ มันก็มีอยู่ที่ใจกลางเมือง คนยากคนจนที่อยู่แถบชนบทก็ไม่คิดว่าจะเดินทางไปใช้สิทธิ์ เพราะเทียบแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าเงินที่ได้รับจากนโยบายนี้เสียอีก ก็มีแต่คนชั้นล่างในเมืองนั้นแหละ ที่พอจะได้ประโยชน์บ้าง แต่ที่แปลกคือ ทั้งที่เป็นนโยบายช่วยเหลือชนชั้นล่างอย่างคนยากคนขน แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดกับเป็นนายทุนของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคเพียงรายเดียว ที่ส่งสินค้าของตัวเองมาขายในร้านธงฟ้าประชารัฐ
นี้คือข้อแตกต่างระหว่างแนวคิดแบบล่างขึ้นบน กับ แบบบนลงล่าง
ถามว่าแก้ได้ไหม ให้ประชารัฐมันเป็นการตอบโจทย์แก้ไขปัญหาช่วยเหลือคนยากคนจนจริงๆ ผมว่าพวกท่านที่เป็นคนคิดนโยบายมาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าทำได้ แค่เปลี่ยนจากแจกเงินในบัตรเป็นแจกเงินสดไปเลย จะโอนเข้าบัญชีหรือแจกเช็คให้ก็ตามแต่ คนยากคนจนเหล่านั้นจะได้เอาเงินไปใช้ซื้อสินค้าตามร้านค้าทั่วไป เป็นการกระจายรายได้ไปสู่ส่วนอื่นของภาคสังคมในวงกว้าง มันจะเกิดการหมุนเวียนของเงินลักษณะเดียวกันกับที่นักการเมืองขี้โกงคิดและทำ ไม่ใช่ตั้งข้อแม้กำหนดให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับนายทุนกลุ่มเดียว
ผมคงไม่ยกนโยบายทุกด้านมาเปรียบเทียบนะครับ เพราะที่สุดแล้ว
หลักใหญ่ใจความมันก็เหมือนๆกัน คือ คิดจากบนลงล่างที่ชนชั้นบนได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว และคิดจากล่างขึ้นบน ที่ทุกชนชั้นได้รับประโยชน์เหมือนๆกัน ซึ่งหากท่านจะแก้ปัญหาให้คนระดับล่าง ก็ต้องมองคนด้านล่างก่อน ไม่ใช่มองนายทุนผู้สนับสนุนซึ่งเป็นกลุ่มคนด้านบน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ก็เป็นแค่ทัศนะชาวบ้านธรรมดา ที่อาจไม่ควรค่าแก่การรับฟัง เพราะไม่ได้ร่ำเรียนหรือเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์แต่อย่างใด ก็ได้แต่บ่นๆไปตามประสาคนธรรมดาที่อยากเห็นประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองเท่านั้นแหละครับ
ป.ล.เปลี่ยนเลขใหม่อีกแล้ว กะทู้แรกของอวตารใหม่เลยต้องเอาเรื่องเบาๆก่อน
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ...นายพระรอง) ทัศนะชาวบ้าน..มองอุปสรรคในวิถีแห่งการพัฒนาชาติ
ถ้าให้ตอบแบบง่ายๆไม่ต้องคิดมาก ก็ต้องตอบว่าสาเหตุที่ประเทศไทยเจริญช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่มีจุดเด่นเรื่องที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นปัญหามาจากการเมือง แต่หากไม่นับเรื่องสะดุดชะงักเพราะปัญหาการยึดอำนาจรัฐประหารที่ซ้ำซากจนเป็นวัฏจักร ซึ่งอาจเป็นการโยนบาปให้ทหารจนเกินไป ก็ต้องบอกว่าตัวการสำคัญอีกอย่าง คือ ปัญหาทุจริตที่มีต้นตอมาจากระบบอุปถัมภ์ ในทุกวงการที่มีส่วนให้การขับเคลื่อนประเทศ ทั้งรัฐบาล นักการเมืองหรือตัวแทนประชาชน เอกชน ที่ถูกระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆชอนไชฝั่งเข้าถึงเนื้อในกันหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนกล่าวแบบนี้ คนที่โดนหมายหัวว่าเป็นตัวการและต้องรับผิดชอบมากที่สุด ข้าราชการและนักการเมือง เพียงแต่ข้าราชการไทยมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งโดยมักจะอ้างคุณธรรมความดี ตลอดอายุราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในกรณีแบบนี้นักการเมืองก็เลยตกเป็นจำเลยของสังคมในข้อหา พวกขี้โกง หรือคนเลวอยู่เพียงพวกเดียว
แต่บทความนี้ ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อด่าทหารที่ชอบปฏิวัติหรือด่านักการเมืองที่คอรัปชั่น เพราะไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงเสียก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกันไม่ได้อยู่แล้ว นอกเสียจากว่า ประชาชนจะรู้จักรักษาสิทธิเสรีภาพของตนเองอย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการใช้อำนาจ”นอกระบบ” หรือมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มแข็งและ”เป็นธรรม” ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการและนักการเมืองตัวแทนประชาชน ซึ่งก็อีกนั้นแหละ เป็นสิ่งที่หวังให้เกิดขึ้นได้ยากในบ้านเรา ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะเขียนบทความขึ้นในเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ให้เสียเวลา
แต่วันนี้ จะเขียนถึงอีกแง่หนึ่งของปัญหาประเทศชาติไม่พัฒนาไปอย่างที่ควรเป็น ทั้งที่ประเทศเราเป็น ดาวเด่นของเอเซียมาตั้งแต่ยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกจับตาเมือง ว่าเป็นหนึ่งในเสือแห่งเอเชีย ร่วมกับญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แต่สุดท้ายวันนี้เรากลับต้องมาแข่งกับเวียดนาม เขมร พม่า มันเป็นเพราะเหตุใด..? นอกจากสองสาเหตุที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ผมจะลองมาใช้สมองน้อยๆวิเคราะห์แบบชาวบ้าน ว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่หลุดพ้นจากคำว่า “ประเทศกำลังพัฒนา”เสียที
ซึ่งจากมุมมองของผม มองว่าอีกหนึ่งสาเหตุที่ประเทศไทยไม่พัฒนาอย่างที่ควรเป็น เพราะมีปัญหาหนึ่ง ที่ถ่วงรั้งความเจริญของประเทศไม่ให้รุดหน้าไปได้เท่าที่ควรเป็น คือแนวคิดการบริหารงานแบบบนลงล่างของส่วนการบริหารของราชการไทย และการรวบศูนย์กลางอำนาจการบริหารทั้งหมดให้มาอยู่ส่วนกลาง ซึ่งทำให้แนวคิดของผู้ปฏิบัติงานในที่นี้ คือข้าราชการในกระทรวงระดับผู้บังคับบัญชาสั่งการในกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง อธิบดีกรม ผู้บังคับบัญชากองต่างๆ ซึ่งจัดเป็นชนชั้นบนของสังคมไทย ที่มีพฤติกรรมการคิดแบบอยู่บนหอคอยงาช้าง สูงซะจนไม่ได้เข้าใจว่าปัญหาที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ระดับล่าง นั้นคืออะไร
และสุดท้ายเมื่อคิดนโยบายและปฏิบัติงานแบบคนอยู่ข้างบน ก็มีแค่คนระดับบนและระดับกลางบางส่วนเพียงเท่านั้น ที่ได้ประโยชน์จากแนวนโยบายบริหารและปฏิบัติราชการ และกลุ่มคนระดับบนและระดับกลางส่วนมากอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ และทำให้การพัฒนาในภาครวมของประเทศกลายเป็นลักษณะกระจุกตัว เกิดเศรษฐกิจแบบ “รวยกระจุกจนกระจาย” สร้างช่องให้ระดับความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในสังคมแต่ล่ะชนชั้น ถ่างกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ
*วันนี้ ไอ้พระรองมันมาแปลก เหมือนมันไปแด๊กหนังสือเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์มาสักเล่มสองเล่มก่อนมาเขียนบทความ (แซวตัวเองสักหน่อย เพราะไม่อยากให้บรรยากาศกะทู้หนักอึ้งหรือจริงจังเกินไป)
แน่นอนว่าที่กล่าวมาข้างต้น อาจเป็นมุมมองของคนที่ไม่รู้วิธีระเบียบปฏิบัติของข้าราชการระดับสูงในกระทรวงอย่างผมก็ได้ เพราะคนที่เป็นข้าราชการรอบกายผม ก็มีแค่ป้าแก่ๆที่เป็นบรรณารักษ์ปลดเกษียณรับเงินบำนาญ กับหลานชายอีกคนที่เพิ่งเข้ารับราชการเป็นตำรวจระดับประทวน ซึ่งไม่ใช่ข้าราชการที่มีอำนาจออกแนวนโยบายหรือสั่งการนโยบายสักคน ดังนั้นผมจึงไม่มีคนที่มีความรู้ตรงนี้จริงมาบอกหรืออธิบายการทำงานของข้าราชการระดับที่คิดและสั่งการดำเนินนโยบาย แต่ผลของการรวบศูนย์อำนาจและบริหารประเทศ ก็เป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น คือเกิดความเจริญแบบรวมศูนย์ภายในประเทศ ดังนั้นสิ่งที่เป็นข้อสันนิษฐานของผม ก็ไม่น่าจะห่างไกลจากความจริงเท่าใดนัก
อาจมีคนทักท้วงว่า ไม่ใช่แล้ว จริงๆผู้ออกนโยบายและบริหารประเทศ ก็คือตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ซึ่งมันก็ถูก แต่ไม่ทั้งหมด เพราะรัฐธรรมนูญสูงสุดของประเทศไทย ไม่ว่าจะมีมากี่ฉบับก็ตามแต่ มีเพียงฉบับเดียว คือ รัฐธรรมนูญ 2540 เท่านั้น ที่อำนาจการบริหารและการออกนโยบายในภาพรวมเป็นของตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจมาจากประชาชน หรือจะเรียกว่า “นักการเมือง” ก็ได้ สามารถคิดนโยบายและบริหารงานได้อย่างเต็มที่ นอกนั้นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับอื่น ก็มีการให้ให้อำนาจกับข้าราชการทำงานร่วมกับตัวแทนประชาชนหรือนักการเมือง ปกครองบริหารประเทศ เป็นแบบ “กึ่งรัฐข้าราชการ” มาตลอด ซึ่งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงเป็นผู้คิดนโยบายและนำเสนอต่อให้รัฐบาลเป็นผู้พิจารณาว่าจะอนุญาตให้ดำเนินการหรือไม่ ประเทศไทยปกครองและบริหารงานในแบบนี้มาเกือบตลอด ดังนั้นข้าราชการจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้เลย ในคำถามที่ว่า ทำไมประเทศไทยไม่พัฒนาอย่างที่ควรเป็น..?
เพราะคนระดับผู้บังคับบัญชาในกระทรวงของราชการไทย ต่างมักใช้แนวคิดอย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือคิดแบบบนลงล่าง และคิดอย่างนี้กันมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่คิดกันบ้างว่า เกือบจะร้อยปีเข้าไปแล้วที่เปลี่ยนระบอบการปกครองมา และข้าราชการเป็นฟันเฟื่องที่สำคัญที่สุด ในการคิดและทำงานเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่ประเทศกลับเดินหน้าไปไม่ถึงไหน มันเพราะอะไร..?
ใช่แนวคิดการบริหารแบบนี้หรือเปล่า ที่เป็นข้อด้อยของการพัฒนาประเทศ..? หรือได้แต่ชี้มือไปที่นักการเมือง แล้วบอกว่าเพราะพวกมันขี้โกง เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศที่แท้จริง ไม่ใช่พวกท่านซึ่งอ้างคุณธรรมความดีกันมาตลอด
เคยเฉลียวใจคิดกันบ้างไหม..? ว่าทำไมในยุคสมัยของนักการเมืองขี้โกงบางคน ประเทศมันถึงได้พัฒนารุดหน้ากว่าปกติ
เคยวิเคราะห์กันบ้างหรือไม่ว่าจุดดีจุดเด่นของนักการเมืองขี้โกงแบบนั้น คืออะไร..? หรือได้แต่บอกว่าเป็นเพราะนโยบายประชานิยม ซึ่งท่านมองว่าเป็นตัวการล่มจมพลาญงบประมาณของชาติ
แต่ท่านเคยคิดจริงจังบ้างไหม ว่าแก่นแท้นโยบายประชานิยมคืออะไร..?
ชนชั้นล่างของสังคมได้รับผลประโยชน์ก่อน แล้วสะท้อนส่งผลดีไปสู่ชนชั้นที่สูงกว่าขึ้นไปใช่หรือไม่..?
แนวคิดนโยบายบริหารแบบนี้ ใช่คิดจากล่างขึ้นบน..ใช่หรือเปล่า..?
แล้วทำไมเวลาคนอื่นที่ไม่ใช่นักการเมืองขี้โกงคนนั้นทำ เปลี่ยนมาให้เหล่าข้าราชการคนดีทำ โดยใช้ชื่อว่านโยบายประชารัฐ มันถึงไม่ประสบความสำเร็จหรือได้ผลรับเดียวกันล่ะ..ทำไม..?
คำถามเหล่านี้ถ้าท่านตอบไม่ได้ ผมที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้เป็นทั้งคนดีและคนเลวคนนี้นี้แหละจะตอบให้ ว่าทำไมถึงจะลอกแบบนโยบายกันมา แต่มันไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนกัน
ยกตัวอย่างนโยบายช่วยเหลือคนจน ที่นักการเมืองขี้โกงคิด โดยใช้วิธีการรับประกันราคาพืชผลทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นชนชั้นล่างแต่เป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศ เปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุน ด้วยกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งผลก็คือมีเงินเข้ากระเป๋าชนชั้นล่างมากขึ้น ก็จับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ภาคการค้าซึ่งเจ้าของกิจการเป็นชนชั้นกลางก็มีรายรับมากขึ้น สั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตมากขึ้นซึ่งเจ้าของเป็นชนชั้นกลางและชั้นสูงก็ได้รับผลประโยชน์ มีการจ้างงานเพิ่มหรือเพิ่มผลตอบแทนค่าล่วงเวลาให้กับบรรดาแรงงานซึ่งเป็นชนชั้นล่างและชั้นกลางมากขึ้น ซึ่งเมื่อทุกภาคส่วนและชนชั้นของสังคมได้ประโยชน์ เศรษฐกิจมันก็ดีขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัด
แต่นโยบายช่วยเหลือคนจน ที่ข้าราชการคนดีคิด โดยใช้บัตรเครดิตคนจน เป็นการแจกเงินให้ฟรีๆทุกเดือนแบบไม่ต้องกู้ยืมด้วย แต่ไม่ได้เป็นเงินสด มีข้อกำหนดว่าต้องใช้ซื้อสินค้ากับร้านธงฟ้าประชารัฐเท่านั้น ร้านธงฟ้าประชารัฐที่ว่านี้ก็สั่งสินค้ามาจากผู้ผลิตรายใหญ่เพียงรายเดียว ซึ่งก็สามารถอ้างได้ว่าเพื่อความสะดวกต่อการทำงานของส่วนราชการ แต่ผลก็คือไม่ได้รับการตอบรับเพราะเจ้าร้านธงฟ้าประชารัฐ มันก็มีอยู่ที่ใจกลางเมือง คนยากคนจนที่อยู่แถบชนบทก็ไม่คิดว่าจะเดินทางไปใช้สิทธิ์ เพราะเทียบแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าเงินที่ได้รับจากนโยบายนี้เสียอีก ก็มีแต่คนชั้นล่างในเมืองนั้นแหละ ที่พอจะได้ประโยชน์บ้าง แต่ที่แปลกคือ ทั้งที่เป็นนโยบายช่วยเหลือชนชั้นล่างอย่างคนยากคนขน แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดกับเป็นนายทุนของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคเพียงรายเดียว ที่ส่งสินค้าของตัวเองมาขายในร้านธงฟ้าประชารัฐ
นี้คือข้อแตกต่างระหว่างแนวคิดแบบล่างขึ้นบน กับ แบบบนลงล่าง
ถามว่าแก้ได้ไหม ให้ประชารัฐมันเป็นการตอบโจทย์แก้ไขปัญหาช่วยเหลือคนยากคนจนจริงๆ ผมว่าพวกท่านที่เป็นคนคิดนโยบายมาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าทำได้ แค่เปลี่ยนจากแจกเงินในบัตรเป็นแจกเงินสดไปเลย จะโอนเข้าบัญชีหรือแจกเช็คให้ก็ตามแต่ คนยากคนจนเหล่านั้นจะได้เอาเงินไปใช้ซื้อสินค้าตามร้านค้าทั่วไป เป็นการกระจายรายได้ไปสู่ส่วนอื่นของภาคสังคมในวงกว้าง มันจะเกิดการหมุนเวียนของเงินลักษณะเดียวกันกับที่นักการเมืองขี้โกงคิดและทำ ไม่ใช่ตั้งข้อแม้กำหนดให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับนายทุนกลุ่มเดียว
ผมคงไม่ยกนโยบายทุกด้านมาเปรียบเทียบนะครับ เพราะที่สุดแล้ว หลักใหญ่ใจความมันก็เหมือนๆกัน คือ คิดจากบนลงล่างที่ชนชั้นบนได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว และคิดจากล่างขึ้นบน ที่ทุกชนชั้นได้รับประโยชน์เหมือนๆกัน ซึ่งหากท่านจะแก้ปัญหาให้คนระดับล่าง ก็ต้องมองคนด้านล่างก่อน ไม่ใช่มองนายทุนผู้สนับสนุนซึ่งเป็นกลุ่มคนด้านบน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ก็เป็นแค่ทัศนะชาวบ้านธรรมดา ที่อาจไม่ควรค่าแก่การรับฟัง เพราะไม่ได้ร่ำเรียนหรือเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์แต่อย่างใด ก็ได้แต่บ่นๆไปตามประสาคนธรรมดาที่อยากเห็นประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองเท่านั้นแหละครับ
ป.ล.เปลี่ยนเลขใหม่อีกแล้ว กะทู้แรกของอวตารใหม่เลยต้องเอาเรื่องเบาๆก่อน
ขอบคุณครับ
นายพระรอง