สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่าอาจจะมีคำไม่สุภาพ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง จึงอยากให้คนอ่านสามารถรับรู้ ความรู้สึกนั้นของผมจริงๆ
เกริ่นเรื่องก่อนนะครับ ผมชื่อมอส (นามสมมุติ) เป็นผู้ชายรักผู้ชาย พึ่งจบมหาวิทยาลัยรัฐดังมหาวิทยาลัยหนึ่ง และกำลังจะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ทุกอย่างในชีวิตก็ดูจะราบรื่นดี แต่ทว่า *** ดอกจันตรงหมายเหตุของการเรียนต่อคือจะต้องมีการตรวจเชื้อ Hiv ทำให้ผมต้องฉุกคิดและเกิดความวิตกกังวลอย่างมาก มากถึงมากที่สุด คนที่เคยกังวลเรื่องนี้มักจะรู้ดีว่ามันทรมานขนาดไหน
กล่าวคือ เมื่อย้อนเวลาตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็จัดเป็นคนนึงที่เกย์ในคณะ รุ่นน้อง รุ่นพี่ ก็เข้ามาคุยจำนวนมาก ผมจึงสนุกกับการพูดคุย และใช้ชีวิตอย่างไม่ระวังตัว ... และเมื่อสี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วคนธรรมดาอย่างผมทำไมจะถึงคราวพลาดไม่ได้
กระทั่งวันหนึ่ง ผู้ชายคนนึงในโซเชียลได้ add friends มาและทักทายผม เราก็ได้พูดคุยกันเพียง1วัน ย้ำ เพียง1วัน เราก็นัดเจอ โดยผมก็จะมีเพื่อนสนิทคนนึงที่คอยปรึกษาเรื่องต่างๆตลอดก็ให้เขาดูรูปก็ทราบว่า เป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัยหนึ่งของไทย ด้วยความชะล่าใจและความใคร่ที่เข้าครอบงำ ผมจึงมีเพศสัมพันธ์กับเขา โดยครั้งนั้นถือเป็นครั้งแรกของผม และผมก็เป็นฝ่ายรับ (คือการโดนสอดอวัยวะเพศใส่ช่องทวาร) ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ผมไม่ได้ป้องกันให้เขาใส่ถุงยาง ขณะที่ร่วมเพศกัน เมื่อถึงจุดสุดยอดเขาก็ได้กระทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง คือ เขาปล่อยในอสุจิใส่ในช่องทวารผม หรือเรียกง่ายๆว่าแตกใน ผมก็ด่าว่าทำไมทำงี้ มันอันตรายมาก เขาตอบเพียงว่า มันฟิตเพราะผมพึ่งโดนเขาสอดใส่คนแรก ทำให้เขากั้นไว้ไม่ไหว
เมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไป อาทิตย์แรกก็ยังไม่คิดอะไร พออาทิตย์ต่อมาเริ่มเกิดความวิตกกังวล ฉุกคิด และเครียดอย่างมาก เครียดแบบไม่มีที่สิ้นสุด กลัวต่างๆนาๆ เนื่องจากหาข้อมูลแล้วพบว่า จากการวิจัยในต่างประเทศพบว่า ฝ่ายรับ (ชายรักชาย) โดยเฉพาะทางทวารหนัก (Anal route) นั้น มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ HIV มากกว่าการร่วมเพศทางอวัยวะเพศหญิง (Vaginal route) ของคู่รักหญิงชายเกือบ 5 เท่า และยิ่งไปกว่านั้นผมเป็นฝ่ายรับและโดนรุกแตกในแบบไม่ป้องกัน คือ ถ้ารุกมีเชื้อ hiv ผมก็ไม่น่ารอด ความคิดตอนนั้นแต้มบุญคงสะสมมาเท่านี้จริงๆ
ผมก็กลัวการยอมรับความจริง เลยไม่ไปตรวจและพยายามกดความคิดเหล่านี้ไม่นึกถึงมัน เวลาเพื่อนรอบข้างพูดเรื่อง hivกัน เราก็จะหลีกเลี่ยงออกไป และก็ไปนั่งร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ ปกติไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่เรื่องนี้ผมรับไม่ไหวจริงๆ
เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยที่ผ่านมา ผมก็ได้เกียรตินิยมจากการเรียนและกำลังเตรียมไปเรียนต่างประเทศต่อ แต่เหตุการณ์นี่แหละที่เป็นตัวจุดชนวนความเครียด ความกดดัน ความวิตกกังวลที่สะสมมาก จนนั่งเครียดนอนเครียดมาหลายวัน ในหัวคิดต่างๆนานาๆ คิดบวกมั้งลบบ้าง เหมือนคนกำลังจะเสียสติ นั่งๆน้ำตาไหลเอง ถ้าเกิดเป็นก็ส่งสารพ่อแม่ ต้องรับยายังไง อ่านเรื่องราวต่างๆของคนที่ติดเชื้อและสู้ชีวิต เพื่อให้ตัวเองคิดบวก ในตอนแรกก็คิดจะต้องเวลารอไปตรวจเลือดที่ต่างประเทศที่เดียว แต่ก็ไปอ่านข้อความเจอในพันทิปว่ามี case study หนึ่งที่ไปตรวจเจอที่นู้น และอาจจะส่งผลกับการเรียน วีซ่า เสียเวลา เสียค่าเครื่อง เสียใจ เสียค่าใช้จ่ายสารพัดสารพัน
เมื่อใจผมไม่มีจุดยึดเหนียว พระคัมภีร์ไบเบิลจึงเป็นสิ่งเดี่ยวที่รั้งสติผมเอาไว้ ผมสวดภาวนาอ้อนวอนพระเจ้า ผมมองย้อนกลับมารักสุขภาพมากขึ้น เหมือนใกล้เห็นโรงศพแล้วน้ำตาค่อยๆไหลเอง ผมตั้งสิ้นใจ และวางใจอธิษฐานของความเข้มแข็งกับพระองค์ ตัวอย่างบทที่ผมอ่านวนไปมา
บทอิสยาห์ 41:10
“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”
และบท ฟีลิปปี 4:6
“อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”
ในคืนเมื่อวาน ผมตั้งสินใจแน่วแน่ว่าไปตรวจ โดยก็ยังมีความคิดลึกๆว่า หากเราเป็น เราฆ่าตัวตายดีไหม ความตายมันคงสวยงาม อีกใจก็คิดว่าเรายังตายไม่ได้ เรายังมีพ่อและแม่ที่เป็นเหตุผลสำคัญของการมีชีวิตรอด คืนนั้นเลยนอนไม่หลับ คิดวนไปวนมา จนเหนื่อยและหลับไปเองตอนเกือบจะตี5 และก็ไม่รู้สึกอยากหลับต่อ ตื่นอาบน้ำและไปตรวจเลือดตั้งแต่เช้า
ขอพักแปปนึงนะครับ เดี่ยวมาต่อบทสรุปที่สำคัญที่สุด และเป็นบทเรียนให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
Hiv เมื่อวันตรวจเลือดมาถึง
เกริ่นเรื่องก่อนนะครับ ผมชื่อมอส (นามสมมุติ) เป็นผู้ชายรักผู้ชาย พึ่งจบมหาวิทยาลัยรัฐดังมหาวิทยาลัยหนึ่ง และกำลังจะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ทุกอย่างในชีวิตก็ดูจะราบรื่นดี แต่ทว่า *** ดอกจันตรงหมายเหตุของการเรียนต่อคือจะต้องมีการตรวจเชื้อ Hiv ทำให้ผมต้องฉุกคิดและเกิดความวิตกกังวลอย่างมาก มากถึงมากที่สุด คนที่เคยกังวลเรื่องนี้มักจะรู้ดีว่ามันทรมานขนาดไหน
กล่าวคือ เมื่อย้อนเวลาตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็จัดเป็นคนนึงที่เกย์ในคณะ รุ่นน้อง รุ่นพี่ ก็เข้ามาคุยจำนวนมาก ผมจึงสนุกกับการพูดคุย และใช้ชีวิตอย่างไม่ระวังตัว ... และเมื่อสี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วคนธรรมดาอย่างผมทำไมจะถึงคราวพลาดไม่ได้
กระทั่งวันหนึ่ง ผู้ชายคนนึงในโซเชียลได้ add friends มาและทักทายผม เราก็ได้พูดคุยกันเพียง1วัน ย้ำ เพียง1วัน เราก็นัดเจอ โดยผมก็จะมีเพื่อนสนิทคนนึงที่คอยปรึกษาเรื่องต่างๆตลอดก็ให้เขาดูรูปก็ทราบว่า เป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัยหนึ่งของไทย ด้วยความชะล่าใจและความใคร่ที่เข้าครอบงำ ผมจึงมีเพศสัมพันธ์กับเขา โดยครั้งนั้นถือเป็นครั้งแรกของผม และผมก็เป็นฝ่ายรับ (คือการโดนสอดอวัยวะเพศใส่ช่องทวาร) ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ผมไม่ได้ป้องกันให้เขาใส่ถุงยาง ขณะที่ร่วมเพศกัน เมื่อถึงจุดสุดยอดเขาก็ได้กระทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง คือ เขาปล่อยในอสุจิใส่ในช่องทวารผม หรือเรียกง่ายๆว่าแตกใน ผมก็ด่าว่าทำไมทำงี้ มันอันตรายมาก เขาตอบเพียงว่า มันฟิตเพราะผมพึ่งโดนเขาสอดใส่คนแรก ทำให้เขากั้นไว้ไม่ไหว
เมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไป อาทิตย์แรกก็ยังไม่คิดอะไร พออาทิตย์ต่อมาเริ่มเกิดความวิตกกังวล ฉุกคิด และเครียดอย่างมาก เครียดแบบไม่มีที่สิ้นสุด กลัวต่างๆนาๆ เนื่องจากหาข้อมูลแล้วพบว่า จากการวิจัยในต่างประเทศพบว่า ฝ่ายรับ (ชายรักชาย) โดยเฉพาะทางทวารหนัก (Anal route) นั้น มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ HIV มากกว่าการร่วมเพศทางอวัยวะเพศหญิง (Vaginal route) ของคู่รักหญิงชายเกือบ 5 เท่า และยิ่งไปกว่านั้นผมเป็นฝ่ายรับและโดนรุกแตกในแบบไม่ป้องกัน คือ ถ้ารุกมีเชื้อ hiv ผมก็ไม่น่ารอด ความคิดตอนนั้นแต้มบุญคงสะสมมาเท่านี้จริงๆ
ผมก็กลัวการยอมรับความจริง เลยไม่ไปตรวจและพยายามกดความคิดเหล่านี้ไม่นึกถึงมัน เวลาเพื่อนรอบข้างพูดเรื่อง hivกัน เราก็จะหลีกเลี่ยงออกไป และก็ไปนั่งร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ ปกติไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่เรื่องนี้ผมรับไม่ไหวจริงๆ
เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยที่ผ่านมา ผมก็ได้เกียรตินิยมจากการเรียนและกำลังเตรียมไปเรียนต่างประเทศต่อ แต่เหตุการณ์นี่แหละที่เป็นตัวจุดชนวนความเครียด ความกดดัน ความวิตกกังวลที่สะสมมาก จนนั่งเครียดนอนเครียดมาหลายวัน ในหัวคิดต่างๆนานาๆ คิดบวกมั้งลบบ้าง เหมือนคนกำลังจะเสียสติ นั่งๆน้ำตาไหลเอง ถ้าเกิดเป็นก็ส่งสารพ่อแม่ ต้องรับยายังไง อ่านเรื่องราวต่างๆของคนที่ติดเชื้อและสู้ชีวิต เพื่อให้ตัวเองคิดบวก ในตอนแรกก็คิดจะต้องเวลารอไปตรวจเลือดที่ต่างประเทศที่เดียว แต่ก็ไปอ่านข้อความเจอในพันทิปว่ามี case study หนึ่งที่ไปตรวจเจอที่นู้น และอาจจะส่งผลกับการเรียน วีซ่า เสียเวลา เสียค่าเครื่อง เสียใจ เสียค่าใช้จ่ายสารพัดสารพัน
เมื่อใจผมไม่มีจุดยึดเหนียว พระคัมภีร์ไบเบิลจึงเป็นสิ่งเดี่ยวที่รั้งสติผมเอาไว้ ผมสวดภาวนาอ้อนวอนพระเจ้า ผมมองย้อนกลับมารักสุขภาพมากขึ้น เหมือนใกล้เห็นโรงศพแล้วน้ำตาค่อยๆไหลเอง ผมตั้งสิ้นใจ และวางใจอธิษฐานของความเข้มแข็งกับพระองค์ ตัวอย่างบทที่ผมอ่านวนไปมา
บทอิสยาห์ 41:10
“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”
และบท ฟีลิปปี 4:6
“อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”
ในคืนเมื่อวาน ผมตั้งสินใจแน่วแน่ว่าไปตรวจ โดยก็ยังมีความคิดลึกๆว่า หากเราเป็น เราฆ่าตัวตายดีไหม ความตายมันคงสวยงาม อีกใจก็คิดว่าเรายังตายไม่ได้ เรายังมีพ่อและแม่ที่เป็นเหตุผลสำคัญของการมีชีวิตรอด คืนนั้นเลยนอนไม่หลับ คิดวนไปวนมา จนเหนื่อยและหลับไปเองตอนเกือบจะตี5 และก็ไม่รู้สึกอยากหลับต่อ ตื่นอาบน้ำและไปตรวจเลือดตั้งแต่เช้า
ขอพักแปปนึงนะครับ เดี่ยวมาต่อบทสรุปที่สำคัญที่สุด และเป็นบทเรียนให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท