https://www.matichon.co.th/news/805158
“บัณฑิต”เผย ศาลฎีกาตัดสิน”มาร์ค” ชนะคดี”สุกำพล” ออกคำสั่งมิชอบ ปลดย้อนหลัง23ปี ผิดทุจริต-ละเมิดสิทธิ์
เมื่อวันที่ 16 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยระบุว่า “วันนี้ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ผมฟ้อง พล.อ.สุกำพลเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งที่ปลดผมออกจากราชการ โดยศาลฎีกาได้ยืนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเนื่องจากเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบครับ”
ทั้งนี้ นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ในฐานะทนายความเจ้าของคดี เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ และฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และแกนนำพรรคเพื่อไทย ออกคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากราชการทหารย้อนหลังถึง 23 ปี โดยนายอภิสิทธิ์ได้ต่อสู้คดีนี้มาถึง 3 ศาล ซึ่งสรุปคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีแพง ในคดีนี้ได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ ฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล จำเลย ผลคำพิพากษาศาลฎีกาให้เพิกถอนคำสั่งของ พล.อ.อ.สุกำพล เพราะเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ส่อไปในทางไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยข้อเท็จจริงในคดีนี้จำเลย ออกคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ในขณะที่โจทก์มิได้อยู่ในราชการ แต่เป็นนายทหารนอกประจำการ ซึ่งโจทก์เองไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัย หรือ ถูกสั่งพักราชการ หรือ เป็นกรณีที่โจทก์หนีราชการที่จำเลยจะใช้อำนาจสั่งปลดโจทย์ให้มีผลย้อนหลังถึง23 ปี เมื่อได้ความว่า คำสั่งการปลดโจทก์ในขณะที่โจทก์มิได้รับราชการแล้ว จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)วินัยทหารพ.ศ. 2476 มาตรา 7 ทั้งไม่อาจแปลความให้เป็นผลร้ายแก่โจทก์ได้ การที่จำเลยออกคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2531 ซึ่งโจทก์พ้นจากราชการมาก่อนแล้วถึง 23 ปีเศษ ก็ส่อไปในทางไม่สุจริต ถือเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิ์ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยได้ โดยคดีนี้มีตนและนายไพบูลย์ โพธิ์น้อย เป็นทนายความรับผิดชอบคดี
ชัดเจนคร่ะ
ลุงอภิสิทธิ์ ไม่ได้เป็นข้าราชการเพราะพ้นไปแล้ว .. ใครก็ตาม จึงจะไปปลดเขาไม่ได้คร่ะ
แม้ว่า การเข้าไปเป็นข้าราชการทหาร จะถูกฝ่ายการเมือง กล่าวหาว่า
"ใช้หลักฐานปลอม"
แม้ว่า จะปลอมหรือไม่ปลอมก็ตาม (ตรงนี้ลำไย เชื่อว่าไม่ปลอมคร่ะ เพราะคนหน้าตาหล่อๆมักจะไม่ทำอะไรไม่ดี หรอกคร่ะ)
แต่ เมื่อเค๊าบรรจุให้เเล้ว ก็ต้องถือว่า " เป็นข้าราชการทหารยศร้อยตรีแล้วคร่ะ "
สรุปง่ายๆว่า
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ลุงอภิสิทธิ์
"เป็นข้าราชการ แล้ว แน่นอนค่ะ "
ไม่มีการเป็น โมฆร่ะ นะคร่ะ
ดังนั้น ต้องถือว่า เป็นข้าราชการแล้ว ไม่ว่าจะโกงเข้ามาหรือไม่ก็ตาม
จะเส้นเล็กเส้นใหญ่ หรืโกงเข้ามาเป็น ถือว่ามาตรฐานเดียวกันคร่ะ คือว่า
= เป็นข้าราชการแล้ว
เมื่อเป็น ข้าราชการ ก็ต้องมี
พ้นราชการ คร่ะ ( ไม่ว่าจะพ้นเพราะอะไร จะหมดสภาพตามกฎหมาย หรือ รีบชิงลาออก ก็แล้วแตร่ )
และเมื่อพ้นข้าราชการแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดคร่ะ
เพราะ เค๊า บอกว่า ไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว คร่ะ
แม้จะทำผิดวินัยกฎหมายที่บังคับกับหน่วยงานนั้น
ก็ไปลงโทษไม่ได้คร่ะ เพราะพ้นไปแล้ว คร่ะะ
ดีใจที่ ลุงอภิสิทธิ์ มีการได้คืนความเป็นธรรม
และเป็นบรรทัดฐานที่ดีแก่ผู้ที่จะอยากจะเข้าไปเป็นทหาร คร่ะะะ
ชาว น่ากากขาว ช่วยกดโหวตให้ด้วย นะคร่ะะ
☾☾ ลำไย ☽☽ ชัดเจนค่ะ ผู้นำพรรค ปชป. ก็ยังเป็น "ร้อยตรี" ด้วยความถูกต้อง ควรหยุดโจมตีกันได้แล้ว คร่ะะ
“บัณฑิต”เผย ศาลฎีกาตัดสิน”มาร์ค” ชนะคดี”สุกำพล” ออกคำสั่งมิชอบ ปลดย้อนหลัง23ปี ผิดทุจริต-ละเมิดสิทธิ์
เมื่อวันที่ 16 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยระบุว่า “วันนี้ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ผมฟ้อง พล.อ.สุกำพลเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งที่ปลดผมออกจากราชการ โดยศาลฎีกาได้ยืนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเนื่องจากเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบครับ”
ทั้งนี้ นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ในฐานะทนายความเจ้าของคดี เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ และฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และแกนนำพรรคเพื่อไทย ออกคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากราชการทหารย้อนหลังถึง 23 ปี โดยนายอภิสิทธิ์ได้ต่อสู้คดีนี้มาถึง 3 ศาล ซึ่งสรุปคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีแพง ในคดีนี้ได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ ฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล จำเลย ผลคำพิพากษาศาลฎีกาให้เพิกถอนคำสั่งของ พล.อ.อ.สุกำพล เพราะเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ส่อไปในทางไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยข้อเท็จจริงในคดีนี้จำเลย ออกคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ ในขณะที่โจทก์มิได้อยู่ในราชการ แต่เป็นนายทหารนอกประจำการ ซึ่งโจทก์เองไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัย หรือ ถูกสั่งพักราชการ หรือ เป็นกรณีที่โจทก์หนีราชการที่จำเลยจะใช้อำนาจสั่งปลดโจทย์ให้มีผลย้อนหลังถึง23 ปี เมื่อได้ความว่า คำสั่งการปลดโจทก์ในขณะที่โจทก์มิได้รับราชการแล้ว จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)วินัยทหารพ.ศ. 2476 มาตรา 7 ทั้งไม่อาจแปลความให้เป็นผลร้ายแก่โจทก์ได้ การที่จำเลยออกคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2531 ซึ่งโจทก์พ้นจากราชการมาก่อนแล้วถึง 23 ปีเศษ ก็ส่อไปในทางไม่สุจริต ถือเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิ์ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยได้ โดยคดีนี้มีตนและนายไพบูลย์ โพธิ์น้อย เป็นทนายความรับผิดชอบคดี
ชัดเจนคร่ะ
ลุงอภิสิทธิ์ ไม่ได้เป็นข้าราชการเพราะพ้นไปแล้ว .. ใครก็ตาม จึงจะไปปลดเขาไม่ได้คร่ะ
แม้ว่า การเข้าไปเป็นข้าราชการทหาร จะถูกฝ่ายการเมือง กล่าวหาว่า
"ใช้หลักฐานปลอม"
แม้ว่า จะปลอมหรือไม่ปลอมก็ตาม (ตรงนี้ลำไย เชื่อว่าไม่ปลอมคร่ะ เพราะคนหน้าตาหล่อๆมักจะไม่ทำอะไรไม่ดี หรอกคร่ะ)
แต่ เมื่อเค๊าบรรจุให้เเล้ว ก็ต้องถือว่า " เป็นข้าราชการทหารยศร้อยตรีแล้วคร่ะ "
สรุปง่ายๆว่า
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ลุงอภิสิทธิ์ "เป็นข้าราชการ แล้ว แน่นอนค่ะ "
ไม่มีการเป็น โมฆร่ะ นะคร่ะ
ดังนั้น ต้องถือว่า เป็นข้าราชการแล้ว ไม่ว่าจะโกงเข้ามาหรือไม่ก็ตาม
จะเส้นเล็กเส้นใหญ่ หรืโกงเข้ามาเป็น ถือว่ามาตรฐานเดียวกันคร่ะ คือว่า
= เป็นข้าราชการแล้ว
เมื่อเป็น ข้าราชการ ก็ต้องมีพ้นราชการ คร่ะ ( ไม่ว่าจะพ้นเพราะอะไร จะหมดสภาพตามกฎหมาย หรือ รีบชิงลาออก ก็แล้วแตร่ )
และเมื่อพ้นข้าราชการแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดคร่ะ
เพราะ เค๊า บอกว่า ไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว คร่ะ
แม้จะทำผิดวินัยกฎหมายที่บังคับกับหน่วยงานนั้น
ก็ไปลงโทษไม่ได้คร่ะ เพราะพ้นไปแล้ว คร่ะะ
ดีใจที่ ลุงอภิสิทธิ์ มีการได้คืนความเป็นธรรม
และเป็นบรรทัดฐานที่ดีแก่ผู้ที่จะอยากจะเข้าไปเป็นทหาร คร่ะะะ
ชาว น่ากากขาว ช่วยกดโหวตให้ด้วย นะคร่ะะ