การฝึกเด็กสมาธิสั้น ในตอนที่สองนี้ ผมขอนำเสนอวิธีที่ผมประสบมาเอง เมื่อน้องเฟิร์นถามอะไรที่ยากกว่าระดับความเข้าใจของเขา ซึ่ง
1. ณ.ตอนที่ถาม พื้นความรู้ของเขาไม่พอแน่ๆที่จะเข้าใจ หรือ
2. ถึงพื้นความรู้เขาพอ แต่ถ้าให้อธิบายแบบเด็กคนอื่นๆ เขาจะไม่มีสมาธิฟังจนจบ
แต่ประเด็นคือ เธอจะไม่หยุดตื้อเอาคำตอบ ซึ่งการไม่หยุดตื้อเอาคำตอบนี้เป็นอาการหนึ่งของ
เด็กสมาธิสั้น
สรุปว่า เขาจะเอาคำตอบให้ได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เขายังไม่พร้อมที่จะเข้าใจ แต่อยากจะเข้าใจ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเธอเป็นเด็กปกติ ก็จะสามารถหยุดที่จะถาม หยุดที่จะตื้อ หรือ สามารถยอมรับคำตอบที่ยังคลุมเครือๆได้ แต่เด็กพิเศษแบบเฟิร์น ความสามารถอย่างนั้น ขาดหายไป ทำเป็นเป็นภาระ การรบกวน แก่ผู้ดูแลที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของนี้ของเธอ และ ไม่รู้เทคนิคที่จะรับมือกับการการแบบนี้
เขาไม่ผิดหรอกครับ เขาแค่ไม่สบาย (แบบถาวร 555 🙂 )
วิธีรับมือ
(สังเกตุว่าผมไม่ใช้คำว่าวิธีแก้ เพราะมันไปแก้ไม่ได้ หรือ แก้ได้ยากมาก) ของผมมี 2 วิธี
1. ตั้งกฏพื้นฐาน (set ground rule) แล้วให้เขาท่องไป 5 – 10 ครั้ง กฏพื้นฐานคือ
1.1 คุณพ่อไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง
1.2 ให้ยอมรับคำตอบว่า “คุณพ่อไม่รู้”
2. การทำสิ่งที่ผมเรียกว่า แปลไทยให้เป็นไทย โดยไม่ต้องไปซีเรียสกับความหมายจริงๆของเรื่องที่เธอต้องการเข้าใจเท่าไรนัก
ข้อแรกก่อน
ข้อนี้คุณพ่อคุณแม่ทำได้ทันทีเดี๋ยวนี้เลย เด็กพิเศษแบบเฟิร์นดีอย่างหนึ่ง คือ ถ้าเราตั้งกฏอะไรเอาไว้ แล้วให้เขายึดจับไว้ เมื่อเกิดปัญหา ความขัดแย้ง ให้เขาย้อนกลับมาอ้างอิงกฏนั้นได้ คล้ายๆกับการเขียนโปรแกรมภษาให้คอมพิวเตอร์ทำตามน่ะครับ
ที่ให้ท่อง 5 – 10 ครั้ง ก็เพื่อให้ย้ำลงไปในรอยหยักของสมองเธอ คนธรรมดาๆ บอกกฏทีเดียว จำได้ เด็กสมาธิสั้น ต้องให้ท่องดังๆ ออกเสียง ซ้ำๆ 5 ครั้งขึ้นไป
ข้อที่สองตามมา
แปลไทยให้เป็นไทย ไม่ต้องไปซีเรียสมากกับความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่เขาถาม เอาแค่ไม่ผิดไปมากก็ใช้ได้ เช่น วันหนึ่ง เขาถามว่า “กองทุน” “ผลตอบแทนของกองทุนคืออะไร” คืออะไร “ผู้ดูแลกำกับตลาดหลักทรัพย์ เป็นใคร
ไม่รู้เธอไปเอาคำพวกนี้มาจากไหน คงอ่านมาจากหนังสือพิมพ์อะไรก็ช่างเถอะ หน้าที่ผมคือต้องตอบ ถ้าไม่ตอบ เป็นเรื่อง เธอจะไม่หยุดถามจนกว่าเธอจะเข้าใจ
วิธีอธิบายก็คือ คุณแม่ พี่เฟิร์น น้องภัทร ขายของไม่เป็น เอาเงินค่าขนมมาให้ คุณพ่อ คุณพ่อรวมเงินเอาไปซื้อของมาขาย ได้กำไรมา คุณพ่อก็แบ่งเอาไปให้คุณแม่ พี่เฟิรน์น น้องภัทร ส่วนคุณย่าเป็นคนมาตรวจคุณพ่อ ว่าคุณพ่อโกงคุณแม่ พี่เฟิร์น น้องภัทร หรือเปล่า
เงินที่เอามารวมกัน เรียกว่า “กองทุน”
กำไรที่เอาไปแบ่งให้ คุณแม่ พี่เฟิร์น น้องภัทร เรียกว่า “ผลตอบแทนของกองทุน”
คุณย่า คือ “ผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์”
จะเห็นว่า การอธิบายแบบนี้ ไม่ถูก 100% เท่าไร แต่สามารถทำให้สมองเด็กพิเศษขนาดลูกสาวผมยอมรับคำตอบได้ และ คำอธิบายสั้นพอที่สมาธิเขาจะจกจ่อกับคำตอบ เช่นคำอธิบายแบบข้างบนนี้ผมใช้เวลา 30 – 40 วินาที ก็สามารถจบได้ สมาธิเธอก็ยังไม่ไปไหน แต่ถ้านานกว่านี้ สมาธิเธอไปแน่ๆ 555
ผมไม่ได้บอกว่า การอธิบายแบบนี้ระดับนี้ จะได้ผลกับเด็กทุกๆคนนะครับ แค่เป็นแนวๆเฉยๆว่า ทำให้ง่าย ไม่ต้องแป๊ะ และ สั้นพอที่สมาธิเขาจะอยู่ได้
มีเทคนิคเสริมอีกนิดนึงครับ ถ้าคำอธิบายที่ผมคิดว่า ย่อแล้วเข้าใจง่ายแล้ว แต่คิดว่าน่าจะนานกว่า 1.5 นาที ผมจะบอกว่า
“คุณพ่อจะอธิบายให้ฟังนะ แต่อาจจะยาวนิดนึง หนูต้องตั้งใจฟัง อย่าพูดแทรกกว่าคุณพ่ออธิบายจบ และ ให้หนูหายใจเข้าออกลึกๆ 5 ที ช้าๆ ยาวๆ”
เป็นการให้เขาเตรียมสมาธิเขาว่า เขาจะต้องตั้งสามาธิให้นานกว่าปกตินะ ที่ให้หายใจเข้าออกยาวๆ 5 ครั้ง นั่นก็เป็นเทคนิคที่พบโดยบังเอิญ เพราะสังเกตุว่า ถ้าเขาหายใจช้าๆยาวๆ หัวใจเขาจะเต้นช้าลง ขยับตัวกระสับกระส่ายน้อยลง ความกระตือรือร้อนที่อยากรู้คำตอบจะน้อยลง สมาธิเขาจะอยู่ได้นานขึ้นอีกนิด
เสร็จแล้วก็อธิบายไป ตอนอธิบายให้จ้องตาเขาไว้ด้วย เพราะเป็นการช่วยดึงสมาธิเขาเอาไว้ที่ตา และ เสียงของผม และที่สำคัญคือ เมื่ออธิบายจบ ให้จบด้วยคำพูดมาตราฐานเหมือนกันทุกครั้งว่า “คุณพ่ออธิบายจบแล้วครับ” เพราะว่า เขาจะได้รู้ว่าจบแล้ว เนื่องจากคำสั่งเราคือ ไม่ให้เขาพูดแทรกจนกว่าอธิบายจบ ดังนั้น เมื่อเราจบ เราจะต้องบอกว่า เราจบแล้ว ไม่งั้น เขาจะไม่รู้ว่าเราจบ
ถ้าคำถามมันยากมากๆ เช่น เขาเคยถามว่า ทำไมดาวเสาร์มีวงแหวน ดาวอื่นไม่มี แล้วที่วงแหวนมีก้อนหินเยอะแยะวิ่งๆอยู่ แล้ว มันไม่ชนกันเหรอ
แบบนี้ อธิบายให้ง่ายแค่ไหน มันก็ไม่ง่าย
ผมก็จะให้เขาท่องกฏข้อที่ 1 (555)
เด็กพิเศษแต่ล่ะคนนั้นมีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือเขาต้องการความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น การรับมือกับพวกเขา ต้องการความอดทนอย่างสูงสุดยอด ต้องการการสังเกตุ ปรับแต่ง (tailor made / customization) ไปตามความพิเศษของเขา หมอไม่ใช่เทวดาครับ หมอแนะนำได้กว้างๆ แต่ลงรายละเอียดแล้ว คุณต้องเป็นคนที่อดทน ฟัง สังเกตุ ปรับวิธีการไป จนกว่าจะเจอวิธีที่ได้ผล ..
เอาใจช่วยให้ได้วิธีที่ได้ผลกับคนพิเศษของคุณนะครับ …
ย้อนกลับไปอ่านตอนแรกได้ที่ลิงค์นี้นะครับ –>
การฝึกเด็กสมาธิสั้น ตอนที่ 1 พูดกับหนูให้ ชัดๆ สั้นๆ และ กระชับ หน่อยนะคะ
ตอนต่อไป จะขอพักเรื่องเทคนิคการฝึกเด็กสมาธิสั้นไว้ก่อน พอดีคิดถึงอีกเรื่องที่น่าจะชวนคุยกว่า คือเรื่อง “ควรจะบอกลูกไหมว่าเขา(บกพร่อง)เป็นอะไร”
การฝึกเด็กสมาธิสั้น ตอนที่ 2 ช่วยหนูแปลไทยให้เป็นไทยหน่อยนะคะ
1. ณ.ตอนที่ถาม พื้นความรู้ของเขาไม่พอแน่ๆที่จะเข้าใจ หรือ
2. ถึงพื้นความรู้เขาพอ แต่ถ้าให้อธิบายแบบเด็กคนอื่นๆ เขาจะไม่มีสมาธิฟังจนจบ
แต่ประเด็นคือ เธอจะไม่หยุดตื้อเอาคำตอบ ซึ่งการไม่หยุดตื้อเอาคำตอบนี้เป็นอาการหนึ่งของเด็กสมาธิสั้น
สรุปว่า เขาจะเอาคำตอบให้ได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เขายังไม่พร้อมที่จะเข้าใจ แต่อยากจะเข้าใจ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเธอเป็นเด็กปกติ ก็จะสามารถหยุดที่จะถาม หยุดที่จะตื้อ หรือ สามารถยอมรับคำตอบที่ยังคลุมเครือๆได้ แต่เด็กพิเศษแบบเฟิร์น ความสามารถอย่างนั้น ขาดหายไป ทำเป็นเป็นภาระ การรบกวน แก่ผู้ดูแลที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของนี้ของเธอ และ ไม่รู้เทคนิคที่จะรับมือกับการการแบบนี้
เขาไม่ผิดหรอกครับ เขาแค่ไม่สบาย (แบบถาวร 555 🙂 )
วิธีรับมือ
(สังเกตุว่าผมไม่ใช้คำว่าวิธีแก้ เพราะมันไปแก้ไม่ได้ หรือ แก้ได้ยากมาก) ของผมมี 2 วิธี
1. ตั้งกฏพื้นฐาน (set ground rule) แล้วให้เขาท่องไป 5 – 10 ครั้ง กฏพื้นฐานคือ
1.1 คุณพ่อไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง
1.2 ให้ยอมรับคำตอบว่า “คุณพ่อไม่รู้”
2. การทำสิ่งที่ผมเรียกว่า แปลไทยให้เป็นไทย โดยไม่ต้องไปซีเรียสกับความหมายจริงๆของเรื่องที่เธอต้องการเข้าใจเท่าไรนัก
ข้อแรกก่อน
ข้อนี้คุณพ่อคุณแม่ทำได้ทันทีเดี๋ยวนี้เลย เด็กพิเศษแบบเฟิร์นดีอย่างหนึ่ง คือ ถ้าเราตั้งกฏอะไรเอาไว้ แล้วให้เขายึดจับไว้ เมื่อเกิดปัญหา ความขัดแย้ง ให้เขาย้อนกลับมาอ้างอิงกฏนั้นได้ คล้ายๆกับการเขียนโปรแกรมภษาให้คอมพิวเตอร์ทำตามน่ะครับ
ที่ให้ท่อง 5 – 10 ครั้ง ก็เพื่อให้ย้ำลงไปในรอยหยักของสมองเธอ คนธรรมดาๆ บอกกฏทีเดียว จำได้ เด็กสมาธิสั้น ต้องให้ท่องดังๆ ออกเสียง ซ้ำๆ 5 ครั้งขึ้นไป
ข้อที่สองตามมา
แปลไทยให้เป็นไทย ไม่ต้องไปซีเรียสมากกับความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่เขาถาม เอาแค่ไม่ผิดไปมากก็ใช้ได้ เช่น วันหนึ่ง เขาถามว่า “กองทุน” “ผลตอบแทนของกองทุนคืออะไร” คืออะไร “ผู้ดูแลกำกับตลาดหลักทรัพย์ เป็นใคร
ไม่รู้เธอไปเอาคำพวกนี้มาจากไหน คงอ่านมาจากหนังสือพิมพ์อะไรก็ช่างเถอะ หน้าที่ผมคือต้องตอบ ถ้าไม่ตอบ เป็นเรื่อง เธอจะไม่หยุดถามจนกว่าเธอจะเข้าใจ
วิธีอธิบายก็คือ คุณแม่ พี่เฟิร์น น้องภัทร ขายของไม่เป็น เอาเงินค่าขนมมาให้ คุณพ่อ คุณพ่อรวมเงินเอาไปซื้อของมาขาย ได้กำไรมา คุณพ่อก็แบ่งเอาไปให้คุณแม่ พี่เฟิรน์น น้องภัทร ส่วนคุณย่าเป็นคนมาตรวจคุณพ่อ ว่าคุณพ่อโกงคุณแม่ พี่เฟิร์น น้องภัทร หรือเปล่า
เงินที่เอามารวมกัน เรียกว่า “กองทุน”
กำไรที่เอาไปแบ่งให้ คุณแม่ พี่เฟิร์น น้องภัทร เรียกว่า “ผลตอบแทนของกองทุน”
คุณย่า คือ “ผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์”
จะเห็นว่า การอธิบายแบบนี้ ไม่ถูก 100% เท่าไร แต่สามารถทำให้สมองเด็กพิเศษขนาดลูกสาวผมยอมรับคำตอบได้ และ คำอธิบายสั้นพอที่สมาธิเขาจะจกจ่อกับคำตอบ เช่นคำอธิบายแบบข้างบนนี้ผมใช้เวลา 30 – 40 วินาที ก็สามารถจบได้ สมาธิเธอก็ยังไม่ไปไหน แต่ถ้านานกว่านี้ สมาธิเธอไปแน่ๆ 555
ผมไม่ได้บอกว่า การอธิบายแบบนี้ระดับนี้ จะได้ผลกับเด็กทุกๆคนนะครับ แค่เป็นแนวๆเฉยๆว่า ทำให้ง่าย ไม่ต้องแป๊ะ และ สั้นพอที่สมาธิเขาจะอยู่ได้
มีเทคนิคเสริมอีกนิดนึงครับ ถ้าคำอธิบายที่ผมคิดว่า ย่อแล้วเข้าใจง่ายแล้ว แต่คิดว่าน่าจะนานกว่า 1.5 นาที ผมจะบอกว่า
“คุณพ่อจะอธิบายให้ฟังนะ แต่อาจจะยาวนิดนึง หนูต้องตั้งใจฟัง อย่าพูดแทรกกว่าคุณพ่ออธิบายจบ และ ให้หนูหายใจเข้าออกลึกๆ 5 ที ช้าๆ ยาวๆ”
เป็นการให้เขาเตรียมสมาธิเขาว่า เขาจะต้องตั้งสามาธิให้นานกว่าปกตินะ ที่ให้หายใจเข้าออกยาวๆ 5 ครั้ง นั่นก็เป็นเทคนิคที่พบโดยบังเอิญ เพราะสังเกตุว่า ถ้าเขาหายใจช้าๆยาวๆ หัวใจเขาจะเต้นช้าลง ขยับตัวกระสับกระส่ายน้อยลง ความกระตือรือร้อนที่อยากรู้คำตอบจะน้อยลง สมาธิเขาจะอยู่ได้นานขึ้นอีกนิด
เสร็จแล้วก็อธิบายไป ตอนอธิบายให้จ้องตาเขาไว้ด้วย เพราะเป็นการช่วยดึงสมาธิเขาเอาไว้ที่ตา และ เสียงของผม และที่สำคัญคือ เมื่ออธิบายจบ ให้จบด้วยคำพูดมาตราฐานเหมือนกันทุกครั้งว่า “คุณพ่ออธิบายจบแล้วครับ” เพราะว่า เขาจะได้รู้ว่าจบแล้ว เนื่องจากคำสั่งเราคือ ไม่ให้เขาพูดแทรกจนกว่าอธิบายจบ ดังนั้น เมื่อเราจบ เราจะต้องบอกว่า เราจบแล้ว ไม่งั้น เขาจะไม่รู้ว่าเราจบ
ถ้าคำถามมันยากมากๆ เช่น เขาเคยถามว่า ทำไมดาวเสาร์มีวงแหวน ดาวอื่นไม่มี แล้วที่วงแหวนมีก้อนหินเยอะแยะวิ่งๆอยู่ แล้ว มันไม่ชนกันเหรอ
แบบนี้ อธิบายให้ง่ายแค่ไหน มันก็ไม่ง่าย
ผมก็จะให้เขาท่องกฏข้อที่ 1 (555)
เด็กพิเศษแต่ล่ะคนนั้นมีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือเขาต้องการความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น การรับมือกับพวกเขา ต้องการความอดทนอย่างสูงสุดยอด ต้องการการสังเกตุ ปรับแต่ง (tailor made / customization) ไปตามความพิเศษของเขา หมอไม่ใช่เทวดาครับ หมอแนะนำได้กว้างๆ แต่ลงรายละเอียดแล้ว คุณต้องเป็นคนที่อดทน ฟัง สังเกตุ ปรับวิธีการไป จนกว่าจะเจอวิธีที่ได้ผล ..
เอาใจช่วยให้ได้วิธีที่ได้ผลกับคนพิเศษของคุณนะครับ …
ย้อนกลับไปอ่านตอนแรกได้ที่ลิงค์นี้นะครับ –> การฝึกเด็กสมาธิสั้น ตอนที่ 1 พูดกับหนูให้ ชัดๆ สั้นๆ และ กระชับ หน่อยนะคะ
ตอนต่อไป จะขอพักเรื่องเทคนิคการฝึกเด็กสมาธิสั้นไว้ก่อน พอดีคิดถึงอีกเรื่องที่น่าจะชวนคุยกว่า คือเรื่อง “ควรจะบอกลูกไหมว่าเขา(บกพร่อง)เป็นอะไร”