
หนังสืบสวนที่เล่นพล็อตเกี่ยวกับเด็กหาย ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมากมายหลายเรื่องโดยเฉพาะฝั่งเกาหลีที่พบเห็นได้บ่อยในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา โดยจุดมุ่งหมายของผู้สร้างก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์กับเหล่าผู้ปกครองหรือคนเป็นพ่อแม่ให้ตระหนักถึงอาชญากรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับเด็กและเยาวชน ซึ่งหนังที่ผมอยากเชียร์เพิ่มเติมก็เช่น Princess Aurora (2005), Blood and Ties (2013), Kiss the Girls (1997), Missing (2016), Man on Fire (2004), Seven Days (2007)
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. Taken (2008)
หากยกตัวอย่างหนังที่เล่นพล็อตเกี่ยวกับการสืบสวนเด็กหาย ที่อัดแน่นด้วยความบันเทิงจากฉากแอคชั่น เชื่อเลยว่าชื่อแรกๆที่คนทั่วไปจะนึกคือ Taken กับเรื่องราวของอดีตซีไอเอรุ่นเก๋าที่ต้องสืบหาลูกสาวที่ถูกแก๊งค้ามนุษย์จับตัวไป แม้พล็อตโดยรวมอาจไม่ซับซ้อน คาดเดาทิศทางได้ง่าย แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร เพราะจุดเด่นของหนังอย่างที่คนทั่วไปยอมรับคือ ส่วนของฉากแอคชั่น ช่วงจังหวะความระทึกขวัญที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหนังสายลับแห่งยุคอย่าง Jason Bourne ที่เน้นโชว์ลวดลาย เทคนิคการต่อสู้ รวมไปถึงไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเอก
9. Ransom (1996)
หนังที่เล่นพล็อตการลักพาตัวเด็กโดยส่วนมากจะเน้นขายอารมณ์ดราม่า ความตึงเครียด แล้วสอดแทรกด้วยความระทึกขวัญชิงไหวพริบ แน่นอนว่าไม่บ่อยนักที่พล็อตลักษณะนี้จะมีส่วนผสมหลักเป็นแอคชั่นเพื่อผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ หรือเรียกว่าเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้ชมวงกว้างที่เน้นเสพความบันเทิงอาทิเช่น Taken ,Man on Fire หรืออย่างหนังเรื่องนี้ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้อย่างมากในช่วงยุค 90s กับเรื่องราวที่ว่าด้วยกลุ่มโจรที่ลักพาตัวลูกชายของมหาเศรษฐีธุรกิจการบิน โดยเรียกเงินค่าไถ่ถึง 2 ล้านเหรียญ และจุดน่าสนใจของพล็อตคือ ฝั่งผู้เป็นพ่อเลือกที่จะไม่ทำตามคำขอกลุ่มโจรอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับประกาศออกสื่อว่าใครก็ตามที่ล่ากลุ่มโจรลักพาตัวมาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 2 ล้านเหรียญ
8. Changeling (2008)
"The boy they brought back is not my son." ประโยคคร่ำครวญจากผู้เป็นแม่ที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้และเป็นการเชื่อมโยงถึงกระบวนการทำงานของเหล่าตำรวจ โดยหนังอิงเค้าโครงจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 1928 ของหญิงแม่หม้ายที่กลับมาจากการทำงานและพบว่าลูกชายวัยเก้าปีได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งหนังก็เดินตามขนบแนวทางของ Clint Eastwood หนังอาชญากรรมที่มีดราม่าเข้มข้น พร้อมกับประเด็นสะท้อนสังคมที่ดูจะเป็นหัวใจหลักของหนัง ที่เจาะลึกไปยังโครงสร้างของกรมตำรวจแอลเอกับการทำงานที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในแง่กระบวนการความยุติธรรม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยการคอรัปชั่นต่างๆนานาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
7. Voice of a Murderer (2007)
อาจเปรียบได้กับ Ransom ฉบับหนังเกาหลี ด้วยเค้าโครงที่คล้ายคลึงกัน ทั้งการเซ็ทครอบครัวผู้สูญเสียเป็นคนดัง มีฐานะ และที่สำคัญคาแรคเตอร์ของผู้เป็นพ่อที่ดูจะแข็งข้อ ไม่ยอมฝั่งคนร้ายง่ายๆก็เป็นไปในทางเดียวกับตัวละคร Mel Gibson แต่ทว่าสิ่งที่หนังเกาหลีเรื่องนี้สร้างความแตกต่างคือ การปรุงแต่งองค์ประกอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งตัวละคร วิธีการสืบสวน และภาพสะท้อนแห่งการสูญเสียที่ดูจะโดดเด่นมากที่สุด เมื่อลูกอันเป็นที่รักถูกลักพาตัว และยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเข้า ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ตัวลูกกลับมา แน่นอนว่าในฐานะของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ ความเจ็บปวดเกินกว่าที่ใครสักคนจะจินตนาการได้
6. Children… (2011)
ภายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาพล็อตการลักพาตัว หรืออาชญากรรมที่เกี่ยวกับเด็กได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมหนังเกาหลี โดยส่วนใหญ่มักอิงเค้าโครงจากเรื่องจริงเพื่อเป็นการตอกย้ำและเป็นอุทาหรณ์สำหรับฝั่งผู้ปกครองว่านี่คือภัยร้ายใกล้ตัวที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เดินตามแบบแผนดังกล่าวกับพล็อตที่ว่าด้วยเด็กประถม 5 คนที่พากันไปเที่ยวบนภูเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งจุดที่น่าสนใจของหนังคือ การหยิบทฤษฎี ความน่าจะเป็นต่างๆมาเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเด็ก ตั้งแต่การเมืองท้องถิ่น ที่เป็นไปได้ว่าอาจมีใครสักคนลักพาตัวเด็กๆเพื่อก่อกวนและทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นถูกเลื่อนไป หรือจะเป็นทฤษฏีสมคบคิดของพ่อแม่กลุ่มหนึ่งที่จับเด็กมาเรียกค่าไถ่จากฝั่งพ่อแม่เด็กที่มีฐานะร่ำรวย
5. Prisoners (2013)
ยุคปัจจุบันมีผู้กำกับน้อยคนนักที่สามารถทำหนังเรื่องหนึ่ง แล้วเล่นกับความใคร่รู้ บรรยากาศของความกดดัน ความตึงเครียดได้ดีเท่ากับ Denis Villeneuve ที่พิสูจน์ฝีมือด้วยผลคุณงานภาพมาอย่างมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือหนังสืบสวนเรื่องนี้ที่พูดถึงเด็กสาว 2 คนที่จู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในงานเลี้ยงสังสรรค์ของครอบครัว โดยหนังแบ่งการสืบสวนออกเป็น 2 ส่วน ทั้งจากฝั่งตำรวจที่พยายามมองภาพรวม แล้วไขข้อสงสัยไปทีละจุด ส่วนอีกฝั่งคือครอบครัวผู้สูญเสีย ที่ผู้เป็นพ่อมุ่งโฟกัสไปยังผู้ต้องสงสัยหลักของคดีที่มีความผิดปกติทางจิต และนั่นเองก็ทำให้หนังเกิดจังหวะของการหลอกล่อ สร้างความไขว้เขวต่อคนดูด้วยพฤติกรรมอันซับซ้อนของตัวละคร
4. Gone Baby Gone (2007)
หลายคนอาจรู้จัก Ben Affleck ในฐานะของนักแสดงมิติเดียวที่ชอบรับเล่นบทเดิมๆ คล้ายๆกันแสดงออกด้วยใบหน้าอันเข้มขรึม คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าในฐานะของผู้กำกับเขาได้แสดงถึงลีลาและสัญชาตญาณในการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดตั้งแต่หนังเรื่องแรกที่กำกับอย่าง Gone Baby Gone ที่พูดถึงสองนักสืบคู่รักที่ถูกว่าจ้างให้ตามหาเด็กสาววัยสี่ขวบที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยจุดน่าสนใจนอกเหนือจากเทคนิคการเล่าเรื่องก็จะอยู่ในส่วนของการเขียนบท ที่มีความซับซ้อน ชวนน่าติดตาม เมื่อปมบางอย่างค่อยๆคลี่คลาย กลับเกิดปมอีกอย่างที่ซ้อนทับขึ้นมา อีกทั้งยังสามารถดึงคนดูให้เข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์เดียวกับตัวละคร กับคำถามที่คาบเกี่ยวระหว่างความถูกต้องกับศีลธรรมความเป็นมนุษย์
3. Montage (2013)
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่ามีหนังระทึกขวัญจากฝั่งเกาหลีเพียงไม่กี่เรื่องที่แสดงถึงพัฒนาการความก้าวหน้าทั้งการเขียนบท และเทคนิคการเล่าเรื่องได้เด่นชัดเหมือนอย่างพวก The Wailing, The Handmaiden, Cold Eyes และ Montage ที่พูดถึงคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่เด็กหญิงคนหนึ่งที่เวลาล่วงเลยไป 15 ปี ก็ยังไม่สามารถสืบหาตัวคนร้ายได้ อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวเด็กในลักษณะเดียวกันหลังจากคดีเพิ่งหมดอายุความได้ไม่นาน โดยความยอดเยี่ยมของหนังเริ่มจากตัวพล็อตที่ดูเรียบง่าย แต่มีการใส่รายละเอียด โยงความสัมพันธ์ตัวละครเข้าหาปมต่างๆจนกลายเป็นพล็อตที่ฉลาดซับซ้อน อีกทั้งยังใช้การตัดต่อ การเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลาซึ่งเป็นไม้เด็ดของตัวผู้กำกับ ที่ไม่ใช่เพียงไว้เพื่อสร้างกิมมิคหรือใช้หลอกล่อให้สับสนไทม์ไลน์เหมือนอย่างพวก Memento, Primer แต่หนังเรื่องนี้ใช้เพื่อทำให้คนดู “หลงเชื่อ” ก่อนจะนำไปสู่จุดหักมุมที่หักล้างกับความเชื่อทั้งหมด
2. High and Low (1963)
ปัจจุบันอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับเด็กอย่าง การลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ดูจะเป็นปัญหาใกล้ตัวและเกิดขึ้นบ่อยในสังคม นั่นจึงทำให้มีหนังมากมายหลายเรื่องที่เล่นพล็อตหรืออ้างอิงถึงคดีการลักพาตัวเด็ก แต่ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าหนังคลาสสิกที่เล่นพล็อตการลักพาตัวลูกชายของเจ้าของบริษัทผลิตรองเท้าชื่อดังไปเรียกค่าไถ่ อย่าง High and Low เปรียบได้กับแรงบันดาลใจ เป็นแม่แบบสำคัญของพล็อตหนังเกี่ยวกับการลักพาตัว ตั้งแต่วิธีเขียนบทเพื่อสร้างแผนอาชญากรรมที่ดูสมจริง และรูปแบบการสืบสวนที่มีการตั้งสมมติฐาน ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆที่อาจเป็นไปได้ และที่สำคัญมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการสืบสวน
1. M (1931)
หากเปรียบ High and Low เป็นหนังที่พูดถึงกระบวนสืบสวนอาชญากรรมเกี่ยวกับเด็กที่ยอดเยี่ยมและน่าเชื่อถือที่สุด หนังอย่าง M ก็คงเปรียบกับหนังที่สำรวจตัวตนของฆาตกรตามแบบฉบับกลุ่มดังกล่าวได้ดีที่สุดเช่นกัน กับพล็อตที่เล่าถึงเด็กที่หายตัวไปจำนวนมากในเมืองหนึ่งของเยอรมัน ที่ทางตำรวจก็สิ้นหนทางในการตามจับฆาตกร กระทั่งเหล่าอาชญากรในเมืองต้องรวมตัวกันเพื่อควานหาตัวฆาตกรรายนี้ โดยความยอดเยี่ยมที่ชวนให้น่าติดตามไม่ได้อยู่ที่ปริศนาว่าใครคือคนร้าย ใครคือฆาตกรที่แท้จริง แต่จะอยู่ที่ว่าฆาตกรจะถูกจับเมื่อไหร่? และหากถูกจับโดยเหล่าอาชญากร จะถูกกระบวนการศาลเตี้ยลงโทษในรูปแบบไหน? และคนดูเห็นด้วยกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในหนังหรือไม่?
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังเเละซีรีส์
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน
10 หนังสืบสวนเด็กหาย ที่คุณไม่ควรพลาด
หนังสืบสวนที่เล่นพล็อตเกี่ยวกับเด็กหาย ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมากมายหลายเรื่องโดยเฉพาะฝั่งเกาหลีที่พบเห็นได้บ่อยในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา โดยจุดมุ่งหมายของผู้สร้างก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์กับเหล่าผู้ปกครองหรือคนเป็นพ่อแม่ให้ตระหนักถึงอาชญากรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับเด็กและเยาวชน ซึ่งหนังที่ผมอยากเชียร์เพิ่มเติมก็เช่น Princess Aurora (2005), Blood and Ties (2013), Kiss the Girls (1997), Missing (2016), Man on Fire (2004), Seven Days (2007)
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. Taken (2008)
หากยกตัวอย่างหนังที่เล่นพล็อตเกี่ยวกับการสืบสวนเด็กหาย ที่อัดแน่นด้วยความบันเทิงจากฉากแอคชั่น เชื่อเลยว่าชื่อแรกๆที่คนทั่วไปจะนึกคือ Taken กับเรื่องราวของอดีตซีไอเอรุ่นเก๋าที่ต้องสืบหาลูกสาวที่ถูกแก๊งค้ามนุษย์จับตัวไป แม้พล็อตโดยรวมอาจไม่ซับซ้อน คาดเดาทิศทางได้ง่าย แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร เพราะจุดเด่นของหนังอย่างที่คนทั่วไปยอมรับคือ ส่วนของฉากแอคชั่น ช่วงจังหวะความระทึกขวัญที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหนังสายลับแห่งยุคอย่าง Jason Bourne ที่เน้นโชว์ลวดลาย เทคนิคการต่อสู้ รวมไปถึงไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเอก
9. Ransom (1996)
หนังที่เล่นพล็อตการลักพาตัวเด็กโดยส่วนมากจะเน้นขายอารมณ์ดราม่า ความตึงเครียด แล้วสอดแทรกด้วยความระทึกขวัญชิงไหวพริบ แน่นอนว่าไม่บ่อยนักที่พล็อตลักษณะนี้จะมีส่วนผสมหลักเป็นแอคชั่นเพื่อผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ หรือเรียกว่าเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้ชมวงกว้างที่เน้นเสพความบันเทิงอาทิเช่น Taken ,Man on Fire หรืออย่างหนังเรื่องนี้ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้อย่างมากในช่วงยุค 90s กับเรื่องราวที่ว่าด้วยกลุ่มโจรที่ลักพาตัวลูกชายของมหาเศรษฐีธุรกิจการบิน โดยเรียกเงินค่าไถ่ถึง 2 ล้านเหรียญ และจุดน่าสนใจของพล็อตคือ ฝั่งผู้เป็นพ่อเลือกที่จะไม่ทำตามคำขอกลุ่มโจรอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับประกาศออกสื่อว่าใครก็ตามที่ล่ากลุ่มโจรลักพาตัวมาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 2 ล้านเหรียญ
8. Changeling (2008)
"The boy they brought back is not my son." ประโยคคร่ำครวญจากผู้เป็นแม่ที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้และเป็นการเชื่อมโยงถึงกระบวนการทำงานของเหล่าตำรวจ โดยหนังอิงเค้าโครงจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 1928 ของหญิงแม่หม้ายที่กลับมาจากการทำงานและพบว่าลูกชายวัยเก้าปีได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งหนังก็เดินตามขนบแนวทางของ Clint Eastwood หนังอาชญากรรมที่มีดราม่าเข้มข้น พร้อมกับประเด็นสะท้อนสังคมที่ดูจะเป็นหัวใจหลักของหนัง ที่เจาะลึกไปยังโครงสร้างของกรมตำรวจแอลเอกับการทำงานที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในแง่กระบวนการความยุติธรรม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยการคอรัปชั่นต่างๆนานาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
7. Voice of a Murderer (2007)
อาจเปรียบได้กับ Ransom ฉบับหนังเกาหลี ด้วยเค้าโครงที่คล้ายคลึงกัน ทั้งการเซ็ทครอบครัวผู้สูญเสียเป็นคนดัง มีฐานะ และที่สำคัญคาแรคเตอร์ของผู้เป็นพ่อที่ดูจะแข็งข้อ ไม่ยอมฝั่งคนร้ายง่ายๆก็เป็นไปในทางเดียวกับตัวละคร Mel Gibson แต่ทว่าสิ่งที่หนังเกาหลีเรื่องนี้สร้างความแตกต่างคือ การปรุงแต่งองค์ประกอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งตัวละคร วิธีการสืบสวน และภาพสะท้อนแห่งการสูญเสียที่ดูจะโดดเด่นมากที่สุด เมื่อลูกอันเป็นที่รักถูกลักพาตัว และยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนานเข้า ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ตัวลูกกลับมา แน่นอนว่าในฐานะของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์ ความเจ็บปวดเกินกว่าที่ใครสักคนจะจินตนาการได้
6. Children… (2011)
ภายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาพล็อตการลักพาตัว หรืออาชญากรรมที่เกี่ยวกับเด็กได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมหนังเกาหลี โดยส่วนใหญ่มักอิงเค้าโครงจากเรื่องจริงเพื่อเป็นการตอกย้ำและเป็นอุทาหรณ์สำหรับฝั่งผู้ปกครองว่านี่คือภัยร้ายใกล้ตัวที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เดินตามแบบแผนดังกล่าวกับพล็อตที่ว่าด้วยเด็กประถม 5 คนที่พากันไปเที่ยวบนภูเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งจุดที่น่าสนใจของหนังคือ การหยิบทฤษฎี ความน่าจะเป็นต่างๆมาเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเด็ก ตั้งแต่การเมืองท้องถิ่น ที่เป็นไปได้ว่าอาจมีใครสักคนลักพาตัวเด็กๆเพื่อก่อกวนและทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นถูกเลื่อนไป หรือจะเป็นทฤษฏีสมคบคิดของพ่อแม่กลุ่มหนึ่งที่จับเด็กมาเรียกค่าไถ่จากฝั่งพ่อแม่เด็กที่มีฐานะร่ำรวย
5. Prisoners (2013)
ยุคปัจจุบันมีผู้กำกับน้อยคนนักที่สามารถทำหนังเรื่องหนึ่ง แล้วเล่นกับความใคร่รู้ บรรยากาศของความกดดัน ความตึงเครียดได้ดีเท่ากับ Denis Villeneuve ที่พิสูจน์ฝีมือด้วยผลคุณงานภาพมาอย่างมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือหนังสืบสวนเรื่องนี้ที่พูดถึงเด็กสาว 2 คนที่จู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในงานเลี้ยงสังสรรค์ของครอบครัว โดยหนังแบ่งการสืบสวนออกเป็น 2 ส่วน ทั้งจากฝั่งตำรวจที่พยายามมองภาพรวม แล้วไขข้อสงสัยไปทีละจุด ส่วนอีกฝั่งคือครอบครัวผู้สูญเสีย ที่ผู้เป็นพ่อมุ่งโฟกัสไปยังผู้ต้องสงสัยหลักของคดีที่มีความผิดปกติทางจิต และนั่นเองก็ทำให้หนังเกิดจังหวะของการหลอกล่อ สร้างความไขว้เขวต่อคนดูด้วยพฤติกรรมอันซับซ้อนของตัวละคร
4. Gone Baby Gone (2007)
หลายคนอาจรู้จัก Ben Affleck ในฐานะของนักแสดงมิติเดียวที่ชอบรับเล่นบทเดิมๆ คล้ายๆกันแสดงออกด้วยใบหน้าอันเข้มขรึม คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา แต่ทว่าในฐานะของผู้กำกับเขาได้แสดงถึงลีลาและสัญชาตญาณในการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดตั้งแต่หนังเรื่องแรกที่กำกับอย่าง Gone Baby Gone ที่พูดถึงสองนักสืบคู่รักที่ถูกว่าจ้างให้ตามหาเด็กสาววัยสี่ขวบที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยจุดน่าสนใจนอกเหนือจากเทคนิคการเล่าเรื่องก็จะอยู่ในส่วนของการเขียนบท ที่มีความซับซ้อน ชวนน่าติดตาม เมื่อปมบางอย่างค่อยๆคลี่คลาย กลับเกิดปมอีกอย่างที่ซ้อนทับขึ้นมา อีกทั้งยังสามารถดึงคนดูให้เข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์เดียวกับตัวละคร กับคำถามที่คาบเกี่ยวระหว่างความถูกต้องกับศีลธรรมความเป็นมนุษย์
3. Montage (2013)
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่ามีหนังระทึกขวัญจากฝั่งเกาหลีเพียงไม่กี่เรื่องที่แสดงถึงพัฒนาการความก้าวหน้าทั้งการเขียนบท และเทคนิคการเล่าเรื่องได้เด่นชัดเหมือนอย่างพวก The Wailing, The Handmaiden, Cold Eyes และ Montage ที่พูดถึงคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่เด็กหญิงคนหนึ่งที่เวลาล่วงเลยไป 15 ปี ก็ยังไม่สามารถสืบหาตัวคนร้ายได้ อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวเด็กในลักษณะเดียวกันหลังจากคดีเพิ่งหมดอายุความได้ไม่นาน โดยความยอดเยี่ยมของหนังเริ่มจากตัวพล็อตที่ดูเรียบง่าย แต่มีการใส่รายละเอียด โยงความสัมพันธ์ตัวละครเข้าหาปมต่างๆจนกลายเป็นพล็อตที่ฉลาดซับซ้อน อีกทั้งยังใช้การตัดต่อ การเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลาซึ่งเป็นไม้เด็ดของตัวผู้กำกับ ที่ไม่ใช่เพียงไว้เพื่อสร้างกิมมิคหรือใช้หลอกล่อให้สับสนไทม์ไลน์เหมือนอย่างพวก Memento, Primer แต่หนังเรื่องนี้ใช้เพื่อทำให้คนดู “หลงเชื่อ” ก่อนจะนำไปสู่จุดหักมุมที่หักล้างกับความเชื่อทั้งหมด
2. High and Low (1963)
ปัจจุบันอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับเด็กอย่าง การลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ดูจะเป็นปัญหาใกล้ตัวและเกิดขึ้นบ่อยในสังคม นั่นจึงทำให้มีหนังมากมายหลายเรื่องที่เล่นพล็อตหรืออ้างอิงถึงคดีการลักพาตัวเด็ก แต่ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าหนังคลาสสิกที่เล่นพล็อตการลักพาตัวลูกชายของเจ้าของบริษัทผลิตรองเท้าชื่อดังไปเรียกค่าไถ่ อย่าง High and Low เปรียบได้กับแรงบันดาลใจ เป็นแม่แบบสำคัญของพล็อตหนังเกี่ยวกับการลักพาตัว ตั้งแต่วิธีเขียนบทเพื่อสร้างแผนอาชญากรรมที่ดูสมจริง และรูปแบบการสืบสวนที่มีการตั้งสมมติฐาน ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆที่อาจเป็นไปได้ และที่สำคัญมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการสืบสวน
1. M (1931)
หากเปรียบ High and Low เป็นหนังที่พูดถึงกระบวนสืบสวนอาชญากรรมเกี่ยวกับเด็กที่ยอดเยี่ยมและน่าเชื่อถือที่สุด หนังอย่าง M ก็คงเปรียบกับหนังที่สำรวจตัวตนของฆาตกรตามแบบฉบับกลุ่มดังกล่าวได้ดีที่สุดเช่นกัน กับพล็อตที่เล่าถึงเด็กที่หายตัวไปจำนวนมากในเมืองหนึ่งของเยอรมัน ที่ทางตำรวจก็สิ้นหนทางในการตามจับฆาตกร กระทั่งเหล่าอาชญากรในเมืองต้องรวมตัวกันเพื่อควานหาตัวฆาตกรรายนี้ โดยความยอดเยี่ยมที่ชวนให้น่าติดตามไม่ได้อยู่ที่ปริศนาว่าใครคือคนร้าย ใครคือฆาตกรที่แท้จริง แต่จะอยู่ที่ว่าฆาตกรจะถูกจับเมื่อไหร่? และหากถูกจับโดยเหล่าอาชญากร จะถูกกระบวนการศาลเตี้ยลงโทษในรูปแบบไหน? และคนดูเห็นด้วยกับการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในหนังหรือไม่?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังเเละซีรีส์
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน