บทนำ
ปีศาจตนนั้น….เอ...หรือจะเป็น .. ‘คนนั้น’ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ.. คำว่า ‘คน’ กับนิยามคำว่า ‘ตน’ มันห่างไกลกันขนาดไหนกัน... แต่ภาพเบื้องหน้า...คงไม่ห่างจากจินตนาการมากเท่าไร...ฉันแน่ใจ..และเชื่อใจ...อย่างปราศจากข้อสงสัยอื่นใด....รูปร่างผิวสีดำวาวเหมือนคลุกเคล้าด้วยน้ำมันดิบ ดวงตาแดงจัดจ้าจนเปลวไฟแทบจะกระโจนออกจากเบ้าตา ก่อนโอบกอดเผาผลาญสรรพสิ่ง ปากกว้างเกินความจำเป็น... มองเห็นฟันแหลมคมวาววับแทบถึงกกหู ลิ้นสองแฉกสะบัดพลิกพลิ้วแลบเลียไปมาอย่างหิวกระหาย ปีกค้างคาวกลางหลังขยับไหวไปมา อย่างไม่เคยหยุดนิ่ง มันคงจะดูน่ากลัว กับคำว่าปีศาจ
น่าเสียดาย...
ปีศาจ...!
คงน่ากลัว ถ้า ไม่เพราะ...ปีศาจดังกล่าว มีความสูงเพียงฟุตเศษ ๆ เท่านั้น มันน่าหัวเราะไหม...ปีศาจตัวจิ๋วน่ารักน่าเอ็นดู แต่ไม่ว่าอย่างไร ปีศาจก็คือ ปีศาจ ไม่ใช่หรือ...
บทที่ 6
หนูน้อยกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรด นั่งเอียงคอมองเมียงด้วยสายตาไม่มีความหวาดกลัวแม้เพียงสักนิด เธอไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว หรือไม่ก็....เธอไม่รู้จักความกลัว ช่างศีรษะมารดาเธอ คำถามบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ เพราะบางครั้ง คำตอบของเรา จะปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไปสู่โลกภายนอก
บางทีด้วยวัยเพียงห้าหกขวบอย่างเธอ คงไม่เรียนรู้ถึงความชั่วร้ายน่ากลัวของเจ้าปีศาจสักเท่าไรก็ได้ ปีศาจเองก็คงต้องการความมีราคาต่างวดหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะไปต่อกรกับ ‘พระเจ้า‘ ได้อย่างไร ตอนบ่ายของวันนี้ จู่ ๆ เจ้าปีศาจตัวน้อยพลันมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอบริเวณปลายเตียงอย่างไม่คาดฝัน
"มาเยี่ยมหนูหรือคะ" เด็กหญิงถามเสียงใส จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่มีสีหน้าท่าทางตกใจเลยสักนิด
"มาเยี่ยมเธอน่ะเหรอ...คิดได้ไง?"
เจ้าปีศาจย้อนถามเสียงสูงด้วยความขุ่นเคืองแกมประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าหนูน้อยจะไม่มีทีท่าหวาดกลัว แถมยังคิดว่าปีศาจอย่างมัน มาเยี่ยมด้วยความห่วงหาอาทรเสียอีก ให้ตายเถอะ...ปีศาจต้องน่ากลัวไม่ใช่หรือ... สุดท้ายปีศาจเป็นฝ่ายตะโกนสุดเสียง เต็มศักยภาพในเวลานั้น
"ฉันเป็นปีศาจ...ไม่เคยคิดจะมาเยี่ยมใคร...ฉันมีพลังชั่วร้ายทำให้คนต้องหวาดกลัว ฉันเพียงแต่มีธุระบางอย่างต้องมาตกลงกับเธอเท่านั้น...ปีศาจไม่เคยเป็นห่วงใครรู้ไว้ด้วย"
"คุณเป็นปีศาจจริง ๆ หรือคะ" ทั้งน้ำเสียงและสายตาบอกความไม่แน่ใจ ไร้เดียงสาเหลือทน ไม่สนใจคำอธิบายของอีกฝ่าย
"แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ"
"คุณเหมือนตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ มากกว่า...น้องหมาของคุณพ่อ ยังตัวโต กว่าคุณเลย และยังน่ากลัวมากกว่าด้วย"
เจ้าปีศาจคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด ปากและจมูกปรากฏเปลวไฟแลบเลียออกมา กลิ่นกำมะถันกระจายฟุ้งไปทั่วห้อง แต่ตัวของมันเล็กเกินไปจึงดูไม่ค่อยน่ากลัว มันกระโดดเข้ามาใกล้ปลายเท้าหนูน้อยด้วยท่าทางมุ่งร้าย สายตาจ้องดูเด็กหญิง พยายามทำสีหน้าท่าทางข่มขู่ แต่ในที่สุดก็ทำหน้าผิดหวัง เมื่อไม่เห็นทีท่าตื่นกลัวตามความคาดหวัง เด็กยุคนี้ ไม่มีจินตนาการ ความดีความเลวหรืออย่างไร
"ฉันคงเป็นปีศาจที่เลวไม่ได้..." เจ้าปีศาจตัวน้อยครวญครางอย่างน่าสงสาร กระโดดไปมาด้วยท่าทางร้อนรุ่มกลุ้มใจ "แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ยังไม่กลัวฉัน""
"อย่าเสียใจไปเลยค่ะ หนูจะพยายามกลัวคุณ" เด็กหญิงอุตส่าห์ปลอบใจ อย่างคนมีคุณธรรมน้ำมิตร
"ไม่ต้องมาปลอบใจฉัน เธอรู้ไหม...การปลอบใจปีศาจ เป็นการแสดงออกถึงการเหยียดหยามอย่างที่สุด"
"แล้วจะให้หนูทำอย่างไรล่ะคะ"
"ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ฟัง...ฟังเท่านั้นและก็ถ้าเป็นไปได้ จงเชื่อฉัน"
"ค่ะ.." หนูน้อยรับคำอย่างว่าง่าย หลังฟังคำพูดหลากหลาย ค่อยเอนหลังลงพิงหมอนใบใหญ่ สายตามีแววเติบโตเกินอายุ เจ้าปีศาจน้อยกระโดดลงจากพนักปลายเตียง ก้าวเข้ามานั่งลงห่างจากปลายเท้าแม่หนูเล็กน้อยด้วยท่าทางระมัดระวัง มันพอจะรู้แล้วว่าเด็กน้อยคนนี้ฉลาดเยือกเย็น เกินเด็กวัยเดียวกัน
" ฉันรู้ว่าเธอป่วยหนัก ต้องอยู่ในห้องนี้แทบตลอดเวลา"
เจ้าปีศาจเริ่มธุระของมัน ด้วยการพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างเป็นต่อและเลือดเย็นแน่ล่ะ... ในเมื่อเป็นปีศาจ ก็ต้องเล่นบทบาทของปีศาจให้ถึงแก่น
"เธอคงอยากจะออกไปวิ่งเล่น ท่ามกลางแสงแดดตอนเช้า สวยใสงดงาม ออกไปพายเรือเล่น ออกไปซื้อของ จูงหมาเดินตามสวนสาธารณะ...เธอรู้ไหมว่ามันเป็นความรู้สึกแสนดีขนาดไหน ความจริงก็คือวัยเด็กอย่างเธอต้องทำอย่างนั้น ไม่ใช่นอนจมอยู่กับเตียง กินยาวันละสามครั้ง อยู่กับนางพยาบาลประจำตัว...ป่านนี้แม่นั่นคงแอบไปงีบหลับล่ะมั้ง..."
"แล้วจะให้หนูทำอย่างไรล่ะคะ...หนูเคยได้ยินพวกหมอคุยกันว่า หนูคงไม่มีโอกาสลุกขึ้นเดินได้เหมือนเด็กธรรมดาคนอื่นแล้วล่ะ"
"เธอคงเหงาสินะ"
"หนูว่าคุณอย่าพยายามทำสีหน้าเห็นใจดีกว่าค่ะ...ดูตลกแปลก ๆ บอกไม่ถูก" หนูน้อยพูดตามที่เห็น เจ้าปีศาจสะดุ้งเฮือก การแสดงความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เป็นข้อห้ามอย่างหนึ่งของปีศาจ เหมือนการดูถูกตนเองและพวกพ้องชาวปีศาจ มันไม่ใช่..ปีศาจรับไม่ได้
"ตกลง...ตกลง “ มันรีบตัดบท รู้สึกโมโหตัวเองอย่างไรชอบกล “เอาเป็นว่า...เธออยากเดินได้เป็นปกติใช่ไหม ฉันมีทางช่วยเธอให้เดินได้"
"เหรอคะ." หนูน้อยเลิกคิ้ว ย้อนถาม เอียงคอจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท่าทางไม่เชื่อ แน่ล่ะ..ใครจะไปเชื่อปีศาจตัวเล็กจิ๋ว มันเกินไป "ก่อนอื่นทำให้น้องตัวนี้เดินได้ลองดูก่อนสิคะ...."
ว่าพลาง เด็กน้อยชี้นิ้ว... น้องของเธอหมายถึง ตุ๊กตาตัวโปรดซึ่งกอดติดตัวอยู่เสมอกับวันเวลายาวนาน ปีศาจตัวเล็กมองดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงครวญครางปางตาย
"มันไม่มีชีวิต ฉันทำไม่ได้" ปีศาจตัวน้อยแทบสำลักความไม่เข้าใจของตัวเอง
" คุณก็ไม่เก่งจริง.." น้ำเสียงเหมือนมีแววเยาะเย้ย ไม่เชื่อถืออยู่ในที
"ไม่ใช่อย่างนั้น..นั่นมันไม่อยู่ในเงื่อนไขจะทำได้ "
"ฃ่างเถอะค่ะ...ว่าแต่ทำไมคุณถึงต้องช่วยหนู...หมายถึงหากคุณช่วยได้จริง ๆ "
"มันเป็นเรื่องของธุรกิจเจ้านายฉัน...รายละเอียดฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แน่ ๆ คือฉันได้รับมอบหมายให้มาตกลงกับเธอในเรื่องนี้"
"ปีศาจก็มีเจ้านายด้วยหรือคะ.." เด็กหญิงถามเสียงใสซื่อ
"มันก็เหมือนธุรกิจทั่วไป" เจ้าปีศาจน้อยพยายามอธิบายอย่างอดทน แม้ว่าจะไม่เมใจนัก อะไรบางอย่างทำให้มันรู้ว่า มันกำลังเผชิญสิ่งน่ากลัวสุดสยอง ลมหายใจเริ่มสำลักกลิ่นควันของกำมะถัน จนรู้สึกรำคาญตัวเอง ความไร้เดียงสาแบบจริงใจเป็นอันตรายกับงานของปีศาจ
" ปีศาจก็มีอยู่หลายระดับ แบ่งงานกันทำตามความเหมาะสม เพื่อจะแข่งขันกับสิ่งที่คนเรียกว่า เอ้อ...พระเ...จ้..า.นั่นล่ะ"
เมื่อออกเสียงว่า "พระเจ้า" มันออกเสียงไม่ชัด การเอ่ยนามสิ่งตรงกันข้ามกับโลกมืด เป็นกฎข้อห้ามอย่างหนึ่งเหมือนกัน
"ทำไมต้องเป็นหนูด้วยล่ะ...คุณเคยช่วยคนอื่นหรือเปล่า" หนูน้อยถามอีก ด้วยคำถามเหมือนโยนหินก้อนใหญ่ ลงในความรู้สึกของคนฟัง ใบหน้าของหนูน้อยราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ทำไมปีศาจต้องเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ พวกพระเจ้ามัวแต่ไปทำอะไรกัน
"ปีศาจจะติดต่อกับใครได้ต้องมีข้อแม้ หรือมี สื่อ เงื่อนไขอะไรสักอย่าง ฉันเองก็อธิบายไม่ถูก และสำคัญฉันเองก็เพิ่งทำงานชิ้นนี้เป็นชิ้นแรก”
"คงเป็นปีศาจฝึกหัด เหมือนพวกพยาบาลฝึกหัดที่มาดูแลหนู"
เจ้าปีศาจน้อยตาลุกแดงด้วยความโกรธ มันกระโดดลุกขึ้นร้องเสียงเล็กแหลม
"เธอคิดว่าฉันจะมาหลอกเธอล่ะซี.เอาล่ะ...ฉันจะแสดงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เธอเห็น จะได้เลิกดูถูกฉันเสียที" พูดจบมันกระโดดไปมาทำท่าทางเป็นสัญลักษณ์แปลก ๆ ครู่หนึ่งก่อนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเด็กหญิง จ้องหน้าบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอ้า...ลองลุกขึ้นเดินดู"
เด็กหญิงลองทำท่าลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเชื่ออะไรนัก แต่แล้วเธอก็ทำตาลุกวาว สีหน้าแตกตื่นยินดี เธอลุกขึ้นบนเตียงได้จริง ๆ
" หนูลุกขึ้นได้แล้ว.." เธอกระโดดโลดเต้นไปมา ก่อนก้าวลงจากเตียง เดินไปมาในห้องอย่างไม่เชื่อตัวเอง
"พอได้แล้ว" เจ้าปีศาจตัวน้อยรีบบอก "นี่เป็นแค่บททดลองใช้ เธอจะเดินได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น รีบกลับไปนอน เดี๋ยวพอหมดอำนาจปีศาจ จะนอนกองอยู่บนพื้นหรอก"
"แย่จริง..หนูนึกว่าจะเดินได้ตลอดไปเสียอีก" เด็กหญิงมีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ยอมเดินกลับมานอนบนเตียงโดยดี เจ้าปีศาจลอบถอนใจอย่างโล่งอก ท่าทางของมันเหมือนผ่านการทำงานหนักมาจนเหน็ดเหนื่อย ผิวกายของมันไม่ค่อยจะดำเป็นมันวาวเหมือนเดิมสักเท่าไร
"ก็อย่างที่บอก นั่นเป็นตัวอย่างเท่านั้น...เธอยังไม่ได้ทำสัญญากับฉันเลย ถ้าเราตกลงกันได้ เธอก็จะเดินได้ตลอดชีวิตของเธอเลย"
"ตกลงอะไรกันคะ..."
"คืออย่างนี้..." เจ้าปีศาจชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ สายตาเริ่มมีความหวัง กระซิบกระซาบเหมือนกำลังบอกเรื่องสำคัญ แต่มันก็รู้สึกลำบากใจอย่างไม่มีเหตุผล "ลองคิดดูนะ...ถ้าเธอนอนป่วยอยู่อย่างนี้ ชีวิตก็ไม่มีประโยชน์อะไรใช่ไหม...ต้องอยู่ในห้องเล็กๆแคบๆ ตลอดไป แต่หากมีโอกาส เธอคงเลือกจะเดินไปมาไหนก็ได้มากว่าจะยอมนอนอยู่แบบนี้ แต่อย่างว่า...ไม่มีอะไรจะได้มาฟรี"
"หนูไม่เข้าใจ"
"ถ้ามีทางเลือกอีกทางนะ...คือเธอหายป่วย ร่างกายปกติ แต่เธอจะมีชืวิตอยู่ถึงอายุยี่สิบปีเท่านั้น..อีกสิบกว่าปีเธอสามารถจะเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจปรารถนา"
"แต่พออายุยี่สิบปีหนูก็จะตาย" เธอแย้ง
"คนเราถ้าจะได้อะไรมาต้องยอมเสียอะไรไปบ้าง...เธออาจมีอายุยืนยาวถึงเจ็ดสิบปี แต่จะมีความหมายอะไรล่ะถ้าหลายสิบปีนั่นต้องอยู่ในห้องนอนตลอดไป ลองคิดดูให้ดี ชีวิตสั้นแต่มีความหมาย อายุยืนยาวแต่ไม่มีความหมายจะมีประโยชน์อะไร"
"น่าสนใจนะคะ...” เด็กหญิงทำท่าคิดครู่หนึ่ง ก่อนถามอย่างสนใจ "ถ้าหนูตกลงจะต้องทำอะไรบ้าง"
เจ้าปีศาจแสยะยิ้มแบบไม่อาจเก็บท่าทางยินดีไว้ได้ งานสำคัญใกล้จะเสร็จสิ้น มันยกมือขึ้นโบกไปมา พลันปรากฏกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ ยื่นให้เด็กหญิง
"เพียงแต่เซ็นชื่อลงในใบสัญญานี้เท่านั้น"
หนูน้อย......กับปืศาจ 1
ปีศาจตนนั้น….เอ...หรือจะเป็น .. ‘คนนั้น’ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ.. คำว่า ‘คน’ กับนิยามคำว่า ‘ตน’ มันห่างไกลกันขนาดไหนกัน... แต่ภาพเบื้องหน้า...คงไม่ห่างจากจินตนาการมากเท่าไร...ฉันแน่ใจ..และเชื่อใจ...อย่างปราศจากข้อสงสัยอื่นใด....รูปร่างผิวสีดำวาวเหมือนคลุกเคล้าด้วยน้ำมันดิบ ดวงตาแดงจัดจ้าจนเปลวไฟแทบจะกระโจนออกจากเบ้าตา ก่อนโอบกอดเผาผลาญสรรพสิ่ง ปากกว้างเกินความจำเป็น... มองเห็นฟันแหลมคมวาววับแทบถึงกกหู ลิ้นสองแฉกสะบัดพลิกพลิ้วแลบเลียไปมาอย่างหิวกระหาย ปีกค้างคาวกลางหลังขยับไหวไปมา อย่างไม่เคยหยุดนิ่ง มันคงจะดูน่ากลัว กับคำว่าปีศาจ
น่าเสียดาย...
ปีศาจ...!
คงน่ากลัว ถ้า ไม่เพราะ...ปีศาจดังกล่าว มีความสูงเพียงฟุตเศษ ๆ เท่านั้น มันน่าหัวเราะไหม...ปีศาจตัวจิ๋วน่ารักน่าเอ็นดู แต่ไม่ว่าอย่างไร ปีศาจก็คือ ปีศาจ ไม่ใช่หรือ...
บทที่ 6
หนูน้อยกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรด นั่งเอียงคอมองเมียงด้วยสายตาไม่มีความหวาดกลัวแม้เพียงสักนิด เธอไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว หรือไม่ก็....เธอไม่รู้จักความกลัว ช่างศีรษะมารดาเธอ คำถามบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ เพราะบางครั้ง คำตอบของเรา จะปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไปสู่โลกภายนอก
บางทีด้วยวัยเพียงห้าหกขวบอย่างเธอ คงไม่เรียนรู้ถึงความชั่วร้ายน่ากลัวของเจ้าปีศาจสักเท่าไรก็ได้ ปีศาจเองก็คงต้องการความมีราคาต่างวดหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะไปต่อกรกับ ‘พระเจ้า‘ ได้อย่างไร ตอนบ่ายของวันนี้ จู่ ๆ เจ้าปีศาจตัวน้อยพลันมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอบริเวณปลายเตียงอย่างไม่คาดฝัน
"มาเยี่ยมหนูหรือคะ" เด็กหญิงถามเสียงใส จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่มีสีหน้าท่าทางตกใจเลยสักนิด
"มาเยี่ยมเธอน่ะเหรอ...คิดได้ไง?"
เจ้าปีศาจย้อนถามเสียงสูงด้วยความขุ่นเคืองแกมประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าหนูน้อยจะไม่มีทีท่าหวาดกลัว แถมยังคิดว่าปีศาจอย่างมัน มาเยี่ยมด้วยความห่วงหาอาทรเสียอีก ให้ตายเถอะ...ปีศาจต้องน่ากลัวไม่ใช่หรือ... สุดท้ายปีศาจเป็นฝ่ายตะโกนสุดเสียง เต็มศักยภาพในเวลานั้น
"ฉันเป็นปีศาจ...ไม่เคยคิดจะมาเยี่ยมใคร...ฉันมีพลังชั่วร้ายทำให้คนต้องหวาดกลัว ฉันเพียงแต่มีธุระบางอย่างต้องมาตกลงกับเธอเท่านั้น...ปีศาจไม่เคยเป็นห่วงใครรู้ไว้ด้วย"
"คุณเป็นปีศาจจริง ๆ หรือคะ" ทั้งน้ำเสียงและสายตาบอกความไม่แน่ใจ ไร้เดียงสาเหลือทน ไม่สนใจคำอธิบายของอีกฝ่าย
"แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ"
"คุณเหมือนตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ มากกว่า...น้องหมาของคุณพ่อ ยังตัวโต กว่าคุณเลย และยังน่ากลัวมากกว่าด้วย"
เจ้าปีศาจคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด ปากและจมูกปรากฏเปลวไฟแลบเลียออกมา กลิ่นกำมะถันกระจายฟุ้งไปทั่วห้อง แต่ตัวของมันเล็กเกินไปจึงดูไม่ค่อยน่ากลัว มันกระโดดเข้ามาใกล้ปลายเท้าหนูน้อยด้วยท่าทางมุ่งร้าย สายตาจ้องดูเด็กหญิง พยายามทำสีหน้าท่าทางข่มขู่ แต่ในที่สุดก็ทำหน้าผิดหวัง เมื่อไม่เห็นทีท่าตื่นกลัวตามความคาดหวัง เด็กยุคนี้ ไม่มีจินตนาการ ความดีความเลวหรืออย่างไร
"ฉันคงเป็นปีศาจที่เลวไม่ได้..." เจ้าปีศาจตัวน้อยครวญครางอย่างน่าสงสาร กระโดดไปมาด้วยท่าทางร้อนรุ่มกลุ้มใจ "แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ยังไม่กลัวฉัน""
"อย่าเสียใจไปเลยค่ะ หนูจะพยายามกลัวคุณ" เด็กหญิงอุตส่าห์ปลอบใจ อย่างคนมีคุณธรรมน้ำมิตร
"ไม่ต้องมาปลอบใจฉัน เธอรู้ไหม...การปลอบใจปีศาจ เป็นการแสดงออกถึงการเหยียดหยามอย่างที่สุด"
"แล้วจะให้หนูทำอย่างไรล่ะคะ"
"ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ฟัง...ฟังเท่านั้นและก็ถ้าเป็นไปได้ จงเชื่อฉัน"
"ค่ะ.." หนูน้อยรับคำอย่างว่าง่าย หลังฟังคำพูดหลากหลาย ค่อยเอนหลังลงพิงหมอนใบใหญ่ สายตามีแววเติบโตเกินอายุ เจ้าปีศาจน้อยกระโดดลงจากพนักปลายเตียง ก้าวเข้ามานั่งลงห่างจากปลายเท้าแม่หนูเล็กน้อยด้วยท่าทางระมัดระวัง มันพอจะรู้แล้วว่าเด็กน้อยคนนี้ฉลาดเยือกเย็น เกินเด็กวัยเดียวกัน
" ฉันรู้ว่าเธอป่วยหนัก ต้องอยู่ในห้องนี้แทบตลอดเวลา"
เจ้าปีศาจเริ่มธุระของมัน ด้วยการพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างเป็นต่อและเลือดเย็นแน่ล่ะ... ในเมื่อเป็นปีศาจ ก็ต้องเล่นบทบาทของปีศาจให้ถึงแก่น
"เธอคงอยากจะออกไปวิ่งเล่น ท่ามกลางแสงแดดตอนเช้า สวยใสงดงาม ออกไปพายเรือเล่น ออกไปซื้อของ จูงหมาเดินตามสวนสาธารณะ...เธอรู้ไหมว่ามันเป็นความรู้สึกแสนดีขนาดไหน ความจริงก็คือวัยเด็กอย่างเธอต้องทำอย่างนั้น ไม่ใช่นอนจมอยู่กับเตียง กินยาวันละสามครั้ง อยู่กับนางพยาบาลประจำตัว...ป่านนี้แม่นั่นคงแอบไปงีบหลับล่ะมั้ง..."
"แล้วจะให้หนูทำอย่างไรล่ะคะ...หนูเคยได้ยินพวกหมอคุยกันว่า หนูคงไม่มีโอกาสลุกขึ้นเดินได้เหมือนเด็กธรรมดาคนอื่นแล้วล่ะ"
"เธอคงเหงาสินะ"
"หนูว่าคุณอย่าพยายามทำสีหน้าเห็นใจดีกว่าค่ะ...ดูตลกแปลก ๆ บอกไม่ถูก" หนูน้อยพูดตามที่เห็น เจ้าปีศาจสะดุ้งเฮือก การแสดงความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เป็นข้อห้ามอย่างหนึ่งของปีศาจ เหมือนการดูถูกตนเองและพวกพ้องชาวปีศาจ มันไม่ใช่..ปีศาจรับไม่ได้
"ตกลง...ตกลง “ มันรีบตัดบท รู้สึกโมโหตัวเองอย่างไรชอบกล “เอาเป็นว่า...เธออยากเดินได้เป็นปกติใช่ไหม ฉันมีทางช่วยเธอให้เดินได้"
"เหรอคะ." หนูน้อยเลิกคิ้ว ย้อนถาม เอียงคอจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท่าทางไม่เชื่อ แน่ล่ะ..ใครจะไปเชื่อปีศาจตัวเล็กจิ๋ว มันเกินไป "ก่อนอื่นทำให้น้องตัวนี้เดินได้ลองดูก่อนสิคะ...."
ว่าพลาง เด็กน้อยชี้นิ้ว... น้องของเธอหมายถึง ตุ๊กตาตัวโปรดซึ่งกอดติดตัวอยู่เสมอกับวันเวลายาวนาน ปีศาจตัวเล็กมองดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงครวญครางปางตาย
"มันไม่มีชีวิต ฉันทำไม่ได้" ปีศาจตัวน้อยแทบสำลักความไม่เข้าใจของตัวเอง
" คุณก็ไม่เก่งจริง.." น้ำเสียงเหมือนมีแววเยาะเย้ย ไม่เชื่อถืออยู่ในที
"ไม่ใช่อย่างนั้น..นั่นมันไม่อยู่ในเงื่อนไขจะทำได้ "
"ฃ่างเถอะค่ะ...ว่าแต่ทำไมคุณถึงต้องช่วยหนู...หมายถึงหากคุณช่วยได้จริง ๆ "
"มันเป็นเรื่องของธุรกิจเจ้านายฉัน...รายละเอียดฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แน่ ๆ คือฉันได้รับมอบหมายให้มาตกลงกับเธอในเรื่องนี้"
"ปีศาจก็มีเจ้านายด้วยหรือคะ.." เด็กหญิงถามเสียงใสซื่อ
"มันก็เหมือนธุรกิจทั่วไป" เจ้าปีศาจน้อยพยายามอธิบายอย่างอดทน แม้ว่าจะไม่เมใจนัก อะไรบางอย่างทำให้มันรู้ว่า มันกำลังเผชิญสิ่งน่ากลัวสุดสยอง ลมหายใจเริ่มสำลักกลิ่นควันของกำมะถัน จนรู้สึกรำคาญตัวเอง ความไร้เดียงสาแบบจริงใจเป็นอันตรายกับงานของปีศาจ
" ปีศาจก็มีอยู่หลายระดับ แบ่งงานกันทำตามความเหมาะสม เพื่อจะแข่งขันกับสิ่งที่คนเรียกว่า เอ้อ...พระเ...จ้..า.นั่นล่ะ"
เมื่อออกเสียงว่า "พระเจ้า" มันออกเสียงไม่ชัด การเอ่ยนามสิ่งตรงกันข้ามกับโลกมืด เป็นกฎข้อห้ามอย่างหนึ่งเหมือนกัน
"ทำไมต้องเป็นหนูด้วยล่ะ...คุณเคยช่วยคนอื่นหรือเปล่า" หนูน้อยถามอีก ด้วยคำถามเหมือนโยนหินก้อนใหญ่ ลงในความรู้สึกของคนฟัง ใบหน้าของหนูน้อยราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ทำไมปีศาจต้องเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ พวกพระเจ้ามัวแต่ไปทำอะไรกัน
"ปีศาจจะติดต่อกับใครได้ต้องมีข้อแม้ หรือมี สื่อ เงื่อนไขอะไรสักอย่าง ฉันเองก็อธิบายไม่ถูก และสำคัญฉันเองก็เพิ่งทำงานชิ้นนี้เป็นชิ้นแรก”
"คงเป็นปีศาจฝึกหัด เหมือนพวกพยาบาลฝึกหัดที่มาดูแลหนู"
เจ้าปีศาจน้อยตาลุกแดงด้วยความโกรธ มันกระโดดลุกขึ้นร้องเสียงเล็กแหลม
"เธอคิดว่าฉันจะมาหลอกเธอล่ะซี.เอาล่ะ...ฉันจะแสดงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เธอเห็น จะได้เลิกดูถูกฉันเสียที" พูดจบมันกระโดดไปมาทำท่าทางเป็นสัญลักษณ์แปลก ๆ ครู่หนึ่งก่อนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเด็กหญิง จ้องหน้าบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอ้า...ลองลุกขึ้นเดินดู"
เด็กหญิงลองทำท่าลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเชื่ออะไรนัก แต่แล้วเธอก็ทำตาลุกวาว สีหน้าแตกตื่นยินดี เธอลุกขึ้นบนเตียงได้จริง ๆ
" หนูลุกขึ้นได้แล้ว.." เธอกระโดดโลดเต้นไปมา ก่อนก้าวลงจากเตียง เดินไปมาในห้องอย่างไม่เชื่อตัวเอง
"พอได้แล้ว" เจ้าปีศาจตัวน้อยรีบบอก "นี่เป็นแค่บททดลองใช้ เธอจะเดินได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น รีบกลับไปนอน เดี๋ยวพอหมดอำนาจปีศาจ จะนอนกองอยู่บนพื้นหรอก"
"แย่จริง..หนูนึกว่าจะเดินได้ตลอดไปเสียอีก" เด็กหญิงมีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ยอมเดินกลับมานอนบนเตียงโดยดี เจ้าปีศาจลอบถอนใจอย่างโล่งอก ท่าทางของมันเหมือนผ่านการทำงานหนักมาจนเหน็ดเหนื่อย ผิวกายของมันไม่ค่อยจะดำเป็นมันวาวเหมือนเดิมสักเท่าไร
"ก็อย่างที่บอก นั่นเป็นตัวอย่างเท่านั้น...เธอยังไม่ได้ทำสัญญากับฉันเลย ถ้าเราตกลงกันได้ เธอก็จะเดินได้ตลอดชีวิตของเธอเลย"
"ตกลงอะไรกันคะ..."
"คืออย่างนี้..." เจ้าปีศาจชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ สายตาเริ่มมีความหวัง กระซิบกระซาบเหมือนกำลังบอกเรื่องสำคัญ แต่มันก็รู้สึกลำบากใจอย่างไม่มีเหตุผล "ลองคิดดูนะ...ถ้าเธอนอนป่วยอยู่อย่างนี้ ชีวิตก็ไม่มีประโยชน์อะไรใช่ไหม...ต้องอยู่ในห้องเล็กๆแคบๆ ตลอดไป แต่หากมีโอกาส เธอคงเลือกจะเดินไปมาไหนก็ได้มากว่าจะยอมนอนอยู่แบบนี้ แต่อย่างว่า...ไม่มีอะไรจะได้มาฟรี"
"หนูไม่เข้าใจ"
"ถ้ามีทางเลือกอีกทางนะ...คือเธอหายป่วย ร่างกายปกติ แต่เธอจะมีชืวิตอยู่ถึงอายุยี่สิบปีเท่านั้น..อีกสิบกว่าปีเธอสามารถจะเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจปรารถนา"
"แต่พออายุยี่สิบปีหนูก็จะตาย" เธอแย้ง
"คนเราถ้าจะได้อะไรมาต้องยอมเสียอะไรไปบ้าง...เธออาจมีอายุยืนยาวถึงเจ็ดสิบปี แต่จะมีความหมายอะไรล่ะถ้าหลายสิบปีนั่นต้องอยู่ในห้องนอนตลอดไป ลองคิดดูให้ดี ชีวิตสั้นแต่มีความหมาย อายุยืนยาวแต่ไม่มีความหมายจะมีประโยชน์อะไร"
"น่าสนใจนะคะ...” เด็กหญิงทำท่าคิดครู่หนึ่ง ก่อนถามอย่างสนใจ "ถ้าหนูตกลงจะต้องทำอะไรบ้าง"
เจ้าปีศาจแสยะยิ้มแบบไม่อาจเก็บท่าทางยินดีไว้ได้ งานสำคัญใกล้จะเสร็จสิ้น มันยกมือขึ้นโบกไปมา พลันปรากฏกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ ยื่นให้เด็กหญิง
"เพียงแต่เซ็นชื่อลงในใบสัญญานี้เท่านั้น"