ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
------------------
เรื่องชน ๓ คน
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภชน ๓ คน
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ" เป็นต้น.
กาถูกไฟไหม้ตายในอากาศ
ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน มีภิกษุกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา ในระหว่างทางได้พักอยู่ตำบลแห่งหนึ่ง
ชาวบ้านนิมนต์ให้พวกท่านนั่งในโรงฉัน ขณะที่กำลังรอเวลาบิณฑบาตอยู่นั้น ชายคาของชาวบ้านคนหนึ่งเกิดไฟไหม้ เสวียนหญ้าติดไฟอันหนึ่งได้ปลิวจากชายคาขึ้นสู่ท้องฟ้า
และมีกาตัวหนึ่งบินมาทางอากาศ สอดคอเข้าไปในเสวียนหญ้า ไหม้ตกลงมาที่กลางบ้าน
พวกภิกษุเห็นเหตุนั้นคิดว่า "โอ กรรมหนัก, ผู้มีอายุ ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกที่กาถึงแล้ว เว้นพระศาสดาเสีย ใครจักรู้กรรมที่กานี้ทำแล้ว, พวกเราจักทูลถามกรรมของกานั้นกะพระศาสดา"
ภรรยานายเรือถูกถ่วงน้ำ
ภิกษุอีกกลุ่มหนึ่งโดยสารเรือไป เพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดาเช่นกัน เรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางสมุทร พวกผู้โดยสารพากันคิดว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกรรณีอยู่ จึงแจกสลากให้จับ ภรรยาของนายเรือจับได้สลากนี้ถึง ๓ ครั้ง พวกผู้โดยสารจึงมองหน้านายเรือเป็นทีว่า จะทำอย่างไร
นายเรือจึงกล่าวว่า ตนไม่อาจให้คนทั้งหลายมาตายเพราะนางคนเดียวได้ จึงสั่งให้จับนางถ่วงน้ำ โดยให้ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ เพราะไม่อยากให้เสื้อผ้าดีๆ เสียเปล่า
แล้วให้เอากระออมใส่ทรายให้เต็มผูกไว้ที่คอแล้วโยนลงน้ำ เพราะตนไม่อาจดูนางที่ลอยอยู่บนผิวน้ำได้
พวกผู้โดยสารเหล่านั้นได้กระทำตามนั้น ปลาและเต่าได้รุมกินนางในที่จมนั่นเอง
พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่า "ใครคนอื่น เว้นพระศาสดาเสีย จักรู้กรรมของหญิงนั่นได้, พวกเราจะทูลถามกรรมของหญิงนั้นกะพระศาสดา"
ภิกษุ ๗ รูปอดอาหาร ๗ วันในถ้ำ
ภิกษุ ๗ รูปอีกกลุ่มเดินทางมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน ในระหว่างทางได้เข้าไปสอบถามที่พักกับวัดแห่งหนึ่ง ได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ ๗ เตียงที่ภิกษุเหล่านั้นพอจะพักได้ ภิกษุเหล่านั้นก็ได้เข้าไปพักในถ้ำแห่งนั้น ตกกลางคืน
มีแผ่นหินขนาดใหญ่กลิ้งลงมาปิดที่ประตูถ้ำ
พวกภิกษุเจ้าของถิ่นได้ให้คนจากตำบลต่างๆ โดยรอบมาช่วยกันนำแผ่นหินนั้นออก แต่ไม่สำเร็จ
พวกภิกษุที่อยู่ในถ้ำก็พยายามเหมือนกัน แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่อาจทำให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนได้ตลอด ๗ วัน, พวกภิกษุอาคันตุกะซึ่งไม่ได้ฉันอาหารตลอด ๗ วันต้องเผชิญกับความหิว ได้เสวยทุกข์เป็นอย่างมาก
ในวันที่ ๗ แผ่นหินก็กลับกลิ้งออกไปได้เองอย่างอัศจรรย์
พวกภิกษุเมื่อออกไปจากถ้ำได้แล้ว ก็คิดว่า "บาปของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้วใครเล่าจักรู้ได้ พวกเราจักทูลถามพระศาสดา"
พวกภิกษุทูลถามถึงกรรมของตนและผู้อื่น
ภิกษุทั้งสามกลุ่มเหล่านั้นได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง รวมเป็นพวกเดียวกันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงทูลถามถึงเหตุที่ตนเห็นและที่ตนประสบพบมา
พระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของภิกษุเหล่านั้นดังนี้
บุรพกรรมของกา
ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้
ก็ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ (แต่) ไม่อาจฝึกได้ ด้วยว่าโคของเขานั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย แม้เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนอย่างเดิมนั่นแหละ
ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่อาจฝึกโคนั้นได้ ก็ถูกความโกรธครอบงำ กล่าวกับมันว่า ต่อไปนี้เจ้าจะได้นอนสบาย
ว่าแล้วก็เอาฟางมาพันคอโคราวกับฟ่อนฟางแล้วจุดไฟเผา โคถูกไฟคลอกตายในที่นั้นเอง
ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น เขาไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลานาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น ได้เกิดเป็นกา ๗ ครั้ง (ถูกไฟ) ไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละด้วยวิบากที่เหลือ
บุรพกรรมของภรรยานายเรือ
ภิกษุทั้งหลาย หญิงแม้นั้นเสวยกรรมที่ตนทำแล้วเหมือนกัน
ก็ในอดีตกาล หญิงนั้นเป็นภรรยาของคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี นางเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง ไม่ว่านางจะทำอะไรหรือไปไหนมาไหน สุนัขตัวนี้ก็เฝ้าตามอยู่ตลอด
พวกคนหนุ่มเห็นดังนั้น ก็พากันล้อเลียนว่า พรานสุนัขออกมาแล้ว วันนี้พวกเราจะกิน (ข้าว) กับเนื้อ
นางขวยเขินเพราะคำพูดของพวกคนเหล่านั้น จึงขว้างก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นใส่สุนัขให้หนีไป สุนัขหนีไปแล้วก็กลับตามมาอีก ได้ยินว่า สุนัขนั้นได้เป็นสามีของนางในอัตภาพที่ ๓ เหตุนั้น มันจึงไม่อาจตัดความรักได้
นางโกรธสุนัขนั้นมาก จึงวางแผนจะสังหารมัน นางจึงถือกระออมเปล่าใบหนึ่งไปที่ท่าน้ำ ใส่ทรายจนเต็ม แล้วเรียกสุนัขให้เข้ามาใกล้
สุนัขดีใจว่า นานแล้วที่ไม่ได้ยินถ้อยคำที่ไพเราะเหมือนวันนี้ จึงกระดิกหางเข้าไปใกล้
นางจับสุนัขนั้นอย่างมั่นที่คอแล้ว จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมไว้ เอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ สุนัขตกลงน้ำตายในที่นั้นเอง
นางตกนรกอยู่เป็นเวลานาน เพราะวิบากของกรรมนั้น ด้วยวิบากที่เหลือ จึงถูกเขาเอากระออมเต็มด้วยทรายผูกคอถ่วงลงในน้ำตายตลอด ๑๐๐ ชาติ
บุรพกรรมของภิกษุ ๗ รูป
ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน
ก็ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค ๗ คน เที่ยวเลี้ยงโคคราวละ ๗ วัน วันหนึ่ง พบตัวเงินตัวทองใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม ตัวเงินตัวทองนั้นหนีเข้าไปในจอมปลวกแห่งหนึ่ง
พวกเด็กช่วยกันเอากิ่งไม้หักปิดช่องจอมปลวกทั้ง ๗ ช่องไว้ เพื่อจะมาจับวันหลัง แต่วันต่อมา พวกเด็กก็ลืมเรื่องนี้เสียสิ้น
๗ วันต่อมา พวกเด็กต้อนเลี้ยงโคผ่านมาทางนี้อีกจึงนึกขึ้นได้ เมื่อเปิดช่องให้มันออกมา ก็พบว่ามันผอมจนเหลือแต่กระดูกคลานตัวสั่นออกมา ก็คิดสงสารไม่คิดจะจับมันแล้ว จึงปล่อยมันไป
เพราะวิบากกรรมนั้น ทำให้ทั้ง ๗ คนถูกขังอดข้าวด้วยกันตลอด ๗ วัน ๑๔ ชาติ
ภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้น พวกเธอเป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนทำไว้แล้วในกาลนั้น
คนจะอยู่ที่ไหนๆ ก็ไม่พ้นจากกรรมชั่ว
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งทูลพระศาสดาว่า "ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่มหาสมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี จะไม่ทำให้สามารถรอดพ้นจากกรรมได้ ใช่หรือไม่ พระเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสบอกว่า “อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าจะไปอยู่ในอากาศ หรือไปอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่มีที่ไหนๆที่บุคคลไปอยู่แล้ว จะรอดพ้นจากกรรมชั่วได้”
จากนั้นได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๑๑.
น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุญฺเจยฺย ปาปกมฺมา.
บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้,
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีเข้าไปสู่
ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, (เพราะ) เขาอยู่แล้วใน
ประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, ประเทศแห่งแผ่นดิน
นั้น หามีอยู่ไม่.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนาเป็นกถามีประโยชน์ แม้แก่มหาชนผู้ประชุมกัน
๛ กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้ ๛
------------------
เรื่องชน ๓ คน
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภชน ๓ คน
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ" เป็นต้น.
ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน มีภิกษุกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา ในระหว่างทางได้พักอยู่ตำบลแห่งหนึ่ง
ชาวบ้านนิมนต์ให้พวกท่านนั่งในโรงฉัน ขณะที่กำลังรอเวลาบิณฑบาตอยู่นั้น ชายคาของชาวบ้านคนหนึ่งเกิดไฟไหม้ เสวียนหญ้าติดไฟอันหนึ่งได้ปลิวจากชายคาขึ้นสู่ท้องฟ้า และมีกาตัวหนึ่งบินมาทางอากาศ สอดคอเข้าไปในเสวียนหญ้า ไหม้ตกลงมาที่กลางบ้าน
พวกภิกษุเห็นเหตุนั้นคิดว่า "โอ กรรมหนัก, ผู้มีอายุ ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกที่กาถึงแล้ว เว้นพระศาสดาเสีย ใครจักรู้กรรมที่กานี้ทำแล้ว, พวกเราจักทูลถามกรรมของกานั้นกะพระศาสดา"
ภิกษุอีกกลุ่มหนึ่งโดยสารเรือไป เพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดาเช่นกัน เรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางสมุทร พวกผู้โดยสารพากันคิดว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกรรณีอยู่ จึงแจกสลากให้จับ ภรรยาของนายเรือจับได้สลากนี้ถึง ๓ ครั้ง พวกผู้โดยสารจึงมองหน้านายเรือเป็นทีว่า จะทำอย่างไร
นายเรือจึงกล่าวว่า ตนไม่อาจให้คนทั้งหลายมาตายเพราะนางคนเดียวได้ จึงสั่งให้จับนางถ่วงน้ำ โดยให้ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ เพราะไม่อยากให้เสื้อผ้าดีๆ เสียเปล่า แล้วให้เอากระออมใส่ทรายให้เต็มผูกไว้ที่คอแล้วโยนลงน้ำ เพราะตนไม่อาจดูนางที่ลอยอยู่บนผิวน้ำได้
พวกผู้โดยสารเหล่านั้นได้กระทำตามนั้น ปลาและเต่าได้รุมกินนางในที่จมนั่นเอง
พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่า "ใครคนอื่น เว้นพระศาสดาเสีย จักรู้กรรมของหญิงนั่นได้, พวกเราจะทูลถามกรรมของหญิงนั้นกะพระศาสดา"
ภิกษุ ๗ รูปอีกกลุ่มเดินทางมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน ในระหว่างทางได้เข้าไปสอบถามที่พักกับวัดแห่งหนึ่ง ได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ ๗ เตียงที่ภิกษุเหล่านั้นพอจะพักได้ ภิกษุเหล่านั้นก็ได้เข้าไปพักในถ้ำแห่งนั้น ตกกลางคืน มีแผ่นหินขนาดใหญ่กลิ้งลงมาปิดที่ประตูถ้ำ
พวกภิกษุเจ้าของถิ่นได้ให้คนจากตำบลต่างๆ โดยรอบมาช่วยกันนำแผ่นหินนั้นออก แต่ไม่สำเร็จ
พวกภิกษุที่อยู่ในถ้ำก็พยายามเหมือนกัน แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่อาจทำให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนได้ตลอด ๗ วัน, พวกภิกษุอาคันตุกะซึ่งไม่ได้ฉันอาหารตลอด ๗ วันต้องเผชิญกับความหิว ได้เสวยทุกข์เป็นอย่างมาก
ในวันที่ ๗ แผ่นหินก็กลับกลิ้งออกไปได้เองอย่างอัศจรรย์
พวกภิกษุเมื่อออกไปจากถ้ำได้แล้ว ก็คิดว่า "บาปของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้วใครเล่าจักรู้ได้ พวกเราจักทูลถามพระศาสดา"
ภิกษุทั้งสามกลุ่มเหล่านั้นได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง รวมเป็นพวกเดียวกันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงทูลถามถึงเหตุที่ตนเห็นและที่ตนประสบพบมา
พระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของภิกษุเหล่านั้นดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้
ก็ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ (แต่) ไม่อาจฝึกได้ ด้วยว่าโคของเขานั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย แม้เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนอย่างเดิมนั่นแหละ
ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่อาจฝึกโคนั้นได้ ก็ถูกความโกรธครอบงำ กล่าวกับมันว่า ต่อไปนี้เจ้าจะได้นอนสบาย ว่าแล้วก็เอาฟางมาพันคอโคราวกับฟ่อนฟางแล้วจุดไฟเผา โคถูกไฟคลอกตายในที่นั้นเอง
ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น เขาไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลานาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น ได้เกิดเป็นกา ๗ ครั้ง (ถูกไฟ) ไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละด้วยวิบากที่เหลือ
ภิกษุทั้งหลาย หญิงแม้นั้นเสวยกรรมที่ตนทำแล้วเหมือนกัน
ก็ในอดีตกาล หญิงนั้นเป็นภรรยาของคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี นางเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง ไม่ว่านางจะทำอะไรหรือไปไหนมาไหน สุนัขตัวนี้ก็เฝ้าตามอยู่ตลอด
พวกคนหนุ่มเห็นดังนั้น ก็พากันล้อเลียนว่า พรานสุนัขออกมาแล้ว วันนี้พวกเราจะกิน (ข้าว) กับเนื้อ
นางขวยเขินเพราะคำพูดของพวกคนเหล่านั้น จึงขว้างก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นใส่สุนัขให้หนีไป สุนัขหนีไปแล้วก็กลับตามมาอีก ได้ยินว่า สุนัขนั้นได้เป็นสามีของนางในอัตภาพที่ ๓ เหตุนั้น มันจึงไม่อาจตัดความรักได้
นางโกรธสุนัขนั้นมาก จึงวางแผนจะสังหารมัน นางจึงถือกระออมเปล่าใบหนึ่งไปที่ท่าน้ำ ใส่ทรายจนเต็ม แล้วเรียกสุนัขให้เข้ามาใกล้
สุนัขดีใจว่า นานแล้วที่ไม่ได้ยินถ้อยคำที่ไพเราะเหมือนวันนี้ จึงกระดิกหางเข้าไปใกล้ นางจับสุนัขนั้นอย่างมั่นที่คอแล้ว จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมไว้ เอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ สุนัขตกลงน้ำตายในที่นั้นเอง
นางตกนรกอยู่เป็นเวลานาน เพราะวิบากของกรรมนั้น ด้วยวิบากที่เหลือ จึงถูกเขาเอากระออมเต็มด้วยทรายผูกคอถ่วงลงในน้ำตายตลอด ๑๐๐ ชาติ
ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน
ก็ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค ๗ คน เที่ยวเลี้ยงโคคราวละ ๗ วัน วันหนึ่ง พบตัวเงินตัวทองใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม ตัวเงินตัวทองนั้นหนีเข้าไปในจอมปลวกแห่งหนึ่ง
พวกเด็กช่วยกันเอากิ่งไม้หักปิดช่องจอมปลวกทั้ง ๗ ช่องไว้ เพื่อจะมาจับวันหลัง แต่วันต่อมา พวกเด็กก็ลืมเรื่องนี้เสียสิ้น
๗ วันต่อมา พวกเด็กต้อนเลี้ยงโคผ่านมาทางนี้อีกจึงนึกขึ้นได้ เมื่อเปิดช่องให้มันออกมา ก็พบว่ามันผอมจนเหลือแต่กระดูกคลานตัวสั่นออกมา ก็คิดสงสารไม่คิดจะจับมันแล้ว จึงปล่อยมันไป
เพราะวิบากกรรมนั้น ทำให้ทั้ง ๗ คนถูกขังอดข้าวด้วยกันตลอด ๗ วัน ๑๔ ชาติ
ภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้น พวกเธอเป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนทำไว้แล้วในกาลนั้น
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งทูลพระศาสดาว่า "ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่มหาสมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี จะไม่ทำให้สามารถรอดพ้นจากกรรมได้ ใช่หรือไม่ พระเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสบอกว่า “อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าจะไปอยู่ในอากาศ หรือไปอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่มีที่ไหนๆที่บุคคลไปอยู่แล้ว จะรอดพ้นจากกรรมชั่วได้”
จากนั้นได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๑๑. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุญฺเจยฺย ปาปกมฺมา.
บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้,
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีเข้าไปสู่
ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, (เพราะ) เขาอยู่แล้วใน
ประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, ประเทศแห่งแผ่นดิน
นั้น หามีอยู่ไม่.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนาเป็นกถามีประโยชน์ แม้แก่มหาชนผู้ประชุมกัน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=11
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=587&Z=617
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=20&A=1534