
สวัสดีค่ะ เนื่องจากเราและเพื่อนเห็นว่ามีน้องๆ ม.6 ที่น่ารักหลาย ๆ คน ตั้งกระทู้พันทิปขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขาการจัดการธุรกิจระหว่างปรเทศ (IB) สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (Thai-Nichi) และพวกเราเองก็เห็นว่ายังไม่มีเพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆคนไหนมาตั้งกระทู้ให้ข้อมูลแบบจัดหนักจัดเต็มกันซักที ปีนี้พวกเราเพิ่งเรียนจบแบบหมาดมากๆ แถมยังเป็นปีที่พวกเราได้มีโอกาสไปดูงานที่ญี่ปุ่นแบบจัดเต็มตลอด 10 วันกับทางสถาบันอีกอีกด้วย ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเอาประสบการณ์ของพวกเรามาแชร์ให้น้องๆได้รับรู้กัน พวกเราตั้งใจรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงมาตลอดเกือบ 4 ปี มารีวิวสาขาที่พวกเราเรียนให้น้องๆที่มีความสนใจ หรือผู้ปกครองท่านใดที่กำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้รับรู้กับแบบเรียล ๆ กันไปเลยค่ะ เรียกว่าเป็น CR Review คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการระหว่างประเทศ จากสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ก็ว่าได้ ว่าแล้วเราไม่พูดพร่ำทำเพลง เรามาเริ่มรีวิวกันเล้ยยย!!
การเรียนการสอนตามจิตวิญญาณ Monozukuri
คำว่า Monozukuri นี่คนญี่ปุ่นรู้จักแทบทุกคนค่ะ แต่คนไทยน้อยคนจะเคยได้ยิน ถ้าแปลตรงตัวมันแปลว่า “การทำของ” ไม่ใช่ทำคุณไสยนะคะ 555 จะว่าไปแล้วมันไม่ได้ครอบคลุมแค่การทำของค่ะ แต่เป็นการลงมือทำจริง เรียนรู้จริง และที่สำคัญคือต้องพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความรักความเอาใจใส่ เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาว IB อย่างพวกเราเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือโครงการ “HOUSE PROJECT” มันคือโปรเจ็คที่พวกเราชาว IB ทุกชั้นปีต้องมาทำงานร่วมกัน ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงโรงเรียนฮอกวอตส์ในแฮรี่ พอตเตอร์ค่ะ โดยพวกเราจะเรียกแต่ละบริษัทว่าบ้านซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 7 บ้าน ได้แก่ Boleyn, Chamberlain, Esmour, Ethelbert, Godfrey, Lovell และ Summerfield ซึ่งแต่ละบ้านก็จะมีการออกแบบสินค้า การจัดซื้อ การทำการตลาด การจัดอบรมสัมมนา และระบบการบริหารภายในที่ต่างกันออกไป ทุก ๆ สิ้นเทอมก็จะมีการนำเสนอสรุปผลงานตลอดทั้งเทอมและคิดเป็นคะแนนออกมาซึ่งคะแนนจากการนำเสนอนี้ก็จะไปอยู่ในรายวิชาหลัก ๆ ที่ชาว IB ต้องเรียนกัน โดยที่บางวิชาใช้คะแนนจาก House Project มากถึง 50% ทีเดียวค่ะ!!! แนวคิดหลักในการเรียนการสอนที่เน้นให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริงทั้งในและนอกห้องเรียนตามสไตล์ Monozukuri นั้น สำหรับชาว IB แล้ว พวกเราจะได้สัมผัสความมันความนัวกับแบบเต็ม ๆ เลยทีเดียว โดยบรรดาอาจารย์นั้นจะปล่อยให้นักศึกษาทุกชั้นปีได้ร่วมมือกันสร้างผลงานขึ้นมา โดยจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเลย อาจารย์จะคอยให้คำปรึกษาอย่างเดียว ถือว่าเป็นการปลดปล่อยขึ้นบังไคของเด็ก ๆ ทุกคนให้ปล่อยสกิลออกมาสู้กันเพื่อทำให้บ้านของตัวเองเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จตามที่ได้สร้างเป้าหมายไว้ในแต่ละเทอมนั่นเอง
ผลประกอบการจาก HOUSE PROJECT ที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือความFamilyความอะไร ♥
TOEIC นั้นสำคัญไฉน
อีกสิ่งหนึ่งที่สาขาของเราเน้นมากก็คือ การสอบTOEIC นั่นเอง ทางหลักสูตรถึงขั้นเปิดวิชาเลือกสำหรับการเตรียมตัวสอบ TOEIC ให้นักศึกษาเพื่อการนี้เลยค่ะ ถ้าไม่ได้เรียนคงไม่รู้หรอกว่านักศึกษา IB ที่ TNI จะต้องผ่านสนามสอบ TOEIC จริงทุกคนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเพื่อนำคะแนนมาขอยื่นฝึกงานค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ควรจะสอบอยู่แล้วเพราะชื่อสาขามันก็ชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้ ซึ่งผลสอบโทอิคนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากในช่วงที่เรียนอยู่ด้วย เพราะจะเปิดโอกาสให้ได้รับทุนไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้ง่ายขึ้นมาก ยอมรับตรงๆว่าเมื่อก่อนพวกเราก็ไม่เคยใส่ใจกับการสอบโทอิคหรอกคือจะรีบสอบไปทำไม? สอบแล้วจะได้อะไร? ยังไงก็ยังเรียนไม่จบยังไปหางานทำไม่ได้อยู่ดีอ่ะคำถามพวกนี้โผล่มาตลอดแหละจนกระทั่งพวกเราเรียนจบมา พอลองย้อนกลับไปคิดอีกทีมันก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์และเป็นโอกาสให้พวกเราจริงๆ แล้วการเอาโทอิคมาเป็นหนึ่งในเอกสารขอฝึกงานนี้อาจจะเป็นกลยุทธ์ของพวกอาจารย์ที่อยากกระตุ้นให้พวกเราไปสอบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเองก็ได้ ได้มากได้น้อยก็ได้รู้ว่าตัวเองควรพัฒนาไปถึงไหนแล้ว และควรเดินหน้าอัพสกิลส่วนไหนเพิ่มเติมดี (อันนี้ก็ไม่รู้นะเราคิดเอง 55555) เพราะอย่างล่าสุดเราและเพื่อนที่ช่วยกันเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Sakura Science– Osaka Prefecture University 2017 ไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งโครงการนี้ไม่ใช่ใครก็ไปได้นะ ต้องมีการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษล้วน ๆ ส่งไปพร้อมใบสมัครแล้วก็ยังต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์อีกด้วย ซึ่งทางโครงการจะคัดเลือกไปเพียง 10 คนเท่านั้น!! ที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่หนึ่งในเกณฑ์การรับสมัครก็มีการกำหนดคะแนนขั้นต่ำของผลการสอบโทอิคอยู่ด้วย เขาเอาคะแนนโทอิค 600 ขึ้นอ่ะ คือนึกว่ายื่นสมัครงาน ฮ่าๆ ซึ่งมีเพื่อนเราจากสาขาอื่น ๆ สนใจนะ แต่เพื่อนหลายคนก็สมัครไม่ได้เพราะไม่มีคะแนนโทอิคไปยื่นอ่ะบอกจากใจเลยนะ โครงการนี้คือมันดียยยยยยยยยยยยยย์ ค่าที่พัก ค่าอาหาร 3 มื้อ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด ย้ำ ทั้งหมด ทางโครงการออกให้หมดเลย ถึงตรงนี้แล้ว หากมีรุ่นน้อง IB คนใดอ่านกระทู้พี่อยู่ จงไปฝึกปรือภาษาอังกฤษแล้วไปสอบซะ อย่าตัดโอกาสตัวเองเพราะเสียดายเงินค่าสอบนะจ๊ะเบบี๋
นี่คือผลสอบของพี่เอง สอบครั้งแรกในชีวิตเลย น้ำตาจะไหล ; v ;)/
และนี่คือรูปจากการไปดูงานบางส่วน แฮ่ๆ
ได้เจอ President Tsuji แห่ง Osaka Prefecture University แบบใกล้ชิดคือดีเวอร์ แถมยังได้มีโอกาสพูดคุยถึงการเรียนต่อปริญญาโทที่นี่อีกด้วย คุยไปคุยมารู้สึกเหมือนโดนท่านกล่อมเหยื่อยังไงชอบกล คือมันน่าเรียนจนอยากไปเรียนต่อที่นู่นแบบสุดๆ ฮ่าๆๆๆ ในรูปคือไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเด็กญี่ปุ่นน้า นี่ชุดพิธีการสถาบันพี่เองจ้า ไปใส่ที่นู่นแล้วกลมกลืนมากประหนึ่งเป็นเด็กมัธยมมาเดินทัวร์มหาลัย ฮ่าๆ
ได้ไปทดลองเล่นพวกนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆด้วยน้า คือดีสุดๆไปเลย
ไปตั้ง 10 วันเพื่อนชาวญี่ปุ่นเลยจัดวัน Technical Osaka & Kyoto Day ให้ไปเลยเต็มที่ นอกจากจะได้รับรู้ถึงเทคโนโลยีใหม่ๆแล้ว วัฒนธรรมเก่าๆก็จัดมาให้เราซึมซับกันอย่างเต็มที่ โปรแกรมดีๆแถมฟรีมิตรภาพข้ามพรมแดน ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) บอกเลยมีโปรแกรมแลกเปลี่ยนเยอะมากๆ หากน้องๆกำลังมองหามหาลัยนักสานฝันสายยุ่นแล้วล่ะก็ พี่บอกเลยน้องต้องเอาสถาบันพี่ไปใส่ไว้ใน List ของน้องเป็นอันดับต้นๆแล้วล่ะ ห้ามพลาด อย่าได้เผลอมองข้ามเชียวนา
หากสนใจอยากดูเต็มๆ สามารถดูได้จากกระทู้นี้นะคะ เป็นกระทู้ของน้องที่ไปด้วยกันเขียนขึ้นมาแบบละเอียดเน้นๆเลย
[รีวิวทุน] Sakura Science Exchange Program เมื่อฉันอยู่ปี 2 แต่เขาให้ไปดูงานญี่ปุ่น 10 วัน แบบฟรี ๆ
https://pantip.com/topic/37250882/comment1
เรียนแทบทุกด้านขนาดนี้ถ้าจบมาแล้วน้องจะทำงานอะไรดีล่ะคะพี่ตา ?!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ ว่าสิ่งที่พวกเรากลัวมากที่สุดกลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราได้ประโยชน์มากที่สุด ใครจะเชื่อคะว่าหลักสูตรที่ให้พวกเราเรียนอลังการล้านแปดพันเก้าแบบนี้จะสร้างมาเพื่อคนแบบพวกเราจริงๆ !! หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังคิดไม่ออกว่าจบมาทำอะไรดี ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ ทำอะไรก็ออกมาดีแต่ไม่สุดไปทางด้านใดด้านหนึ่งก็เลยยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ใช่เลยค่ะ คุณคือคนแบบเดียวกับพวกเรา/ผายมือ
เชื่อดาวเถอะค่ะพี่ตาว่าเกิน 50% ของมนุษย์ เรียนจบมาแล้วไม่ได้ทำงานตามสายที่ตัวเองเรียนจบ ฉะนั้น สาชา IB ของเราจึงได้สร้างหลักสูตรเพื่อคนแบบพวกเราขึ้นมา ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างแรกหลังเรียนจบเลยคือ ภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรนั้นได้จัดการเรียนการสอนไว้แบบแกมบังคับเลยว่าจบไปยังไงต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และถ้าเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เราก็จะได้เปรียบในด้านการทำงาน และสามารถไปสมัครงานได้หลากหลายสาขา ตั้งแต่เป็น Export Co-ordinator ยัน Flight Attendant เลยทีเดียว หรือจะชอบงานท้าทาย ชอบคิดอะไรใหม่ๆก็สามารถไปสาย Marketing ได้ หรือชอบการนำเข้า-ส่งออก ดาวขออันเชิญพี่ตาไปทางบริษัท Logistics หรือ Shipping ก็ได้ แต่ถ้าหากพี่ตาอยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองก็ย่อมได้ เพราะพี่ตาก็ได้ฝึกทำธุรกิจมาแล้วกับ IB House Project บอกตรงๆ ตอนเรียนก็งงอยู่ เรียนเยอะขนาดนี้จบไปทำงานอะไรวะเนี่ย ? แต่พอเรียนจบแล้วมาคิดทบทวนดูว่าเราจะไปสายไหนได้บ้าง เอ้า ไปได้หมดเลยนินา (ไม่นับอาชีพที่ต้องเรียนเฉพาะทางนะจ๊ะ) ถึงกับร้องว่าโอเอ็มจี ทางหลักสูตรเค้าคิดไว้แล้วจริงๆค่ะ แล้วข้อดีอีกอย่างเลยคือ ถ้าเราเรียนวิชาไหนแล้วเราไม่โอเค ทุ่มเทเท่าไหร่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ มันก็ทำให้เราได้รู้ว่าหรือสายนี้มันไม่ใช่เราจริงๆ มันก็ทำให้เราสามารถตัดช้อยส์เส้นทางอาชีพนั้นๆออกได้ พอเรียนจบถึงเวลาหางานแล้วเส้นทางที่เรา (อาจจะ) คิดว่าใช่ตัวเราก็จะได้ชัดเจนขึ้นด้วยค่ะ คือไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี แต่คนที่เรียนจนจบแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราอยากทำอาชีพอะไรกันแน่ เราเชื่อว่าคนแบบนี้มีจริงๆ และคิดว่าต้องเข้าใจที่เรากำลังพยายามจะอธิบายอยู่แน่ๆค่ะ ฮ่าๆ
เอาล่ะค่ะ ในที่สุดกระทู้ของเราก็มาถึงปลายทางเสียที หลักๆแล้วพวกเราก็จะพูดถึงจุดเด่นของสาขา ความสำคัญของภาษาอังกฤษ และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสาขาของเรา ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเรียนคณะที่สอนหลากหลายวิชา หลากหลายแขนงนั้นจะส่งผลอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา หากเรามองให้มันเป็นข้อดี มันก็จะเป็นข้อดี แต่หากเรามองให้มันเป็นข้อด้อย มันก็จะเป็นข้อด้อย พวกพี่ก็แค่มาให้ข้อมูลตามที่ได้เรียนมา เพื่อแบ่งปันเป็นไอเดียให้แก่น้อง ๆ เนอะ หากน้อง ๆ หรือผู้ปกครองท่านใดต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็สามารถคอมเม้นท์ไว้ด้านล่างหรือส่งข้อความมาสอบถามหลังไมค์ได้เลยนะคะ สุดท้ายนี้ พวกพี่ก็อยากให้น้อง ๆ คิดดี ๆ ก่อนจะเลือกคณะและสาขาที่เรียนนะคะ เลือกเอาตามที่ใจปรารถนาเลยค่ะ เพราะสุดท้ายคนที่ต้องมานั่งเรียนก็คือตัวเราเอง ถ้าเราไม่ยินดีที่จะเรียน เรียนอะไรที่ไหนก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ จบสวย ๆ ปรบมือ
[CR] Review สาขาการจัดการระหว่างประเทศ (IB) ส.ท.ไทย-ญี่ปุ่น สาขาที่สอนให้เหล่าเป็ดน้อยโผบิน !!?
สวัสดีค่ะ เนื่องจากเราและเพื่อนเห็นว่ามีน้องๆ ม.6 ที่น่ารักหลาย ๆ คน ตั้งกระทู้พันทิปขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขาการจัดการธุรกิจระหว่างปรเทศ (IB) สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (Thai-Nichi) และพวกเราเองก็เห็นว่ายังไม่มีเพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆคนไหนมาตั้งกระทู้ให้ข้อมูลแบบจัดหนักจัดเต็มกันซักที ปีนี้พวกเราเพิ่งเรียนจบแบบหมาดมากๆ แถมยังเป็นปีที่พวกเราได้มีโอกาสไปดูงานที่ญี่ปุ่นแบบจัดเต็มตลอด 10 วันกับทางสถาบันอีกอีกด้วย ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเอาประสบการณ์ของพวกเรามาแชร์ให้น้องๆได้รับรู้กัน พวกเราตั้งใจรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงมาตลอดเกือบ 4 ปี มารีวิวสาขาที่พวกเราเรียนให้น้องๆที่มีความสนใจ หรือผู้ปกครองท่านใดที่กำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้รับรู้กับแบบเรียล ๆ กันไปเลยค่ะ เรียกว่าเป็น CR Review คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการระหว่างประเทศ จากสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ก็ว่าได้ ว่าแล้วเราไม่พูดพร่ำทำเพลง เรามาเริ่มรีวิวกันเล้ยยย!!
การเรียนการสอนตามจิตวิญญาณ Monozukuri
คำว่า Monozukuri นี่คนญี่ปุ่นรู้จักแทบทุกคนค่ะ แต่คนไทยน้อยคนจะเคยได้ยิน ถ้าแปลตรงตัวมันแปลว่า “การทำของ” ไม่ใช่ทำคุณไสยนะคะ 555 จะว่าไปแล้วมันไม่ได้ครอบคลุมแค่การทำของค่ะ แต่เป็นการลงมือทำจริง เรียนรู้จริง และที่สำคัญคือต้องพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความรักความเอาใจใส่ เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาว IB อย่างพวกเราเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือโครงการ “HOUSE PROJECT” มันคือโปรเจ็คที่พวกเราชาว IB ทุกชั้นปีต้องมาทำงานร่วมกัน ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงโรงเรียนฮอกวอตส์ในแฮรี่ พอตเตอร์ค่ะ โดยพวกเราจะเรียกแต่ละบริษัทว่าบ้านซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 7 บ้าน ได้แก่ Boleyn, Chamberlain, Esmour, Ethelbert, Godfrey, Lovell และ Summerfield ซึ่งแต่ละบ้านก็จะมีการออกแบบสินค้า การจัดซื้อ การทำการตลาด การจัดอบรมสัมมนา และระบบการบริหารภายในที่ต่างกันออกไป ทุก ๆ สิ้นเทอมก็จะมีการนำเสนอสรุปผลงานตลอดทั้งเทอมและคิดเป็นคะแนนออกมาซึ่งคะแนนจากการนำเสนอนี้ก็จะไปอยู่ในรายวิชาหลัก ๆ ที่ชาว IB ต้องเรียนกัน โดยที่บางวิชาใช้คะแนนจาก House Project มากถึง 50% ทีเดียวค่ะ!!! แนวคิดหลักในการเรียนการสอนที่เน้นให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริงทั้งในและนอกห้องเรียนตามสไตล์ Monozukuri นั้น สำหรับชาว IB แล้ว พวกเราจะได้สัมผัสความมันความนัวกับแบบเต็ม ๆ เลยทีเดียว โดยบรรดาอาจารย์นั้นจะปล่อยให้นักศึกษาทุกชั้นปีได้ร่วมมือกันสร้างผลงานขึ้นมา โดยจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเลย อาจารย์จะคอยให้คำปรึกษาอย่างเดียว ถือว่าเป็นการปลดปล่อยขึ้นบังไคของเด็ก ๆ ทุกคนให้ปล่อยสกิลออกมาสู้กันเพื่อทำให้บ้านของตัวเองเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จตามที่ได้สร้างเป้าหมายไว้ในแต่ละเทอมนั่นเอง
ผลประกอบการจาก HOUSE PROJECT ที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือความFamilyความอะไร ♥
TOEIC นั้นสำคัญไฉน
อีกสิ่งหนึ่งที่สาขาของเราเน้นมากก็คือ การสอบTOEIC นั่นเอง ทางหลักสูตรถึงขั้นเปิดวิชาเลือกสำหรับการเตรียมตัวสอบ TOEIC ให้นักศึกษาเพื่อการนี้เลยค่ะ ถ้าไม่ได้เรียนคงไม่รู้หรอกว่านักศึกษา IB ที่ TNI จะต้องผ่านสนามสอบ TOEIC จริงทุกคนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเพื่อนำคะแนนมาขอยื่นฝึกงานค่ะ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ควรจะสอบอยู่แล้วเพราะชื่อสาขามันก็ชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดนี้ ซึ่งผลสอบโทอิคนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากในช่วงที่เรียนอยู่ด้วย เพราะจะเปิดโอกาสให้ได้รับทุนไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้ง่ายขึ้นมาก ยอมรับตรงๆว่าเมื่อก่อนพวกเราก็ไม่เคยใส่ใจกับการสอบโทอิคหรอกคือจะรีบสอบไปทำไม? สอบแล้วจะได้อะไร? ยังไงก็ยังเรียนไม่จบยังไปหางานทำไม่ได้อยู่ดีอ่ะคำถามพวกนี้โผล่มาตลอดแหละจนกระทั่งพวกเราเรียนจบมา พอลองย้อนกลับไปคิดอีกทีมันก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์และเป็นโอกาสให้พวกเราจริงๆ แล้วการเอาโทอิคมาเป็นหนึ่งในเอกสารขอฝึกงานนี้อาจจะเป็นกลยุทธ์ของพวกอาจารย์ที่อยากกระตุ้นให้พวกเราไปสอบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเองก็ได้ ได้มากได้น้อยก็ได้รู้ว่าตัวเองควรพัฒนาไปถึงไหนแล้ว และควรเดินหน้าอัพสกิลส่วนไหนเพิ่มเติมดี (อันนี้ก็ไม่รู้นะเราคิดเอง 55555) เพราะอย่างล่าสุดเราและเพื่อนที่ช่วยกันเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Sakura Science– Osaka Prefecture University 2017 ไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งโครงการนี้ไม่ใช่ใครก็ไปได้นะ ต้องมีการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษล้วน ๆ ส่งไปพร้อมใบสมัครแล้วก็ยังต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์อีกด้วย ซึ่งทางโครงการจะคัดเลือกไปเพียง 10 คนเท่านั้น!! ที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่หนึ่งในเกณฑ์การรับสมัครก็มีการกำหนดคะแนนขั้นต่ำของผลการสอบโทอิคอยู่ด้วย เขาเอาคะแนนโทอิค 600 ขึ้นอ่ะ คือนึกว่ายื่นสมัครงาน ฮ่าๆ ซึ่งมีเพื่อนเราจากสาขาอื่น ๆ สนใจนะ แต่เพื่อนหลายคนก็สมัครไม่ได้เพราะไม่มีคะแนนโทอิคไปยื่นอ่ะบอกจากใจเลยนะ โครงการนี้คือมันดียยยยยยยยยยยยยย์ ค่าที่พัก ค่าอาหาร 3 มื้อ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด ย้ำ ทั้งหมด ทางโครงการออกให้หมดเลย ถึงตรงนี้แล้ว หากมีรุ่นน้อง IB คนใดอ่านกระทู้พี่อยู่ จงไปฝึกปรือภาษาอังกฤษแล้วไปสอบซะ อย่าตัดโอกาสตัวเองเพราะเสียดายเงินค่าสอบนะจ๊ะเบบี๋
นี่คือผลสอบของพี่เอง สอบครั้งแรกในชีวิตเลย น้ำตาจะไหล ; v ;)/
และนี่คือรูปจากการไปดูงานบางส่วน แฮ่ๆ
ได้เจอ President Tsuji แห่ง Osaka Prefecture University แบบใกล้ชิดคือดีเวอร์ แถมยังได้มีโอกาสพูดคุยถึงการเรียนต่อปริญญาโทที่นี่อีกด้วย คุยไปคุยมารู้สึกเหมือนโดนท่านกล่อมเหยื่อยังไงชอบกล คือมันน่าเรียนจนอยากไปเรียนต่อที่นู่นแบบสุดๆ ฮ่าๆๆๆ ในรูปคือไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเด็กญี่ปุ่นน้า นี่ชุดพิธีการสถาบันพี่เองจ้า ไปใส่ที่นู่นแล้วกลมกลืนมากประหนึ่งเป็นเด็กมัธยมมาเดินทัวร์มหาลัย ฮ่าๆ
ได้ไปทดลองเล่นพวกนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆด้วยน้า คือดีสุดๆไปเลย
ไปตั้ง 10 วันเพื่อนชาวญี่ปุ่นเลยจัดวัน Technical Osaka & Kyoto Day ให้ไปเลยเต็มที่ นอกจากจะได้รับรู้ถึงเทคโนโลยีใหม่ๆแล้ว วัฒนธรรมเก่าๆก็จัดมาให้เราซึมซับกันอย่างเต็มที่ โปรแกรมดีๆแถมฟรีมิตรภาพข้ามพรมแดน ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) บอกเลยมีโปรแกรมแลกเปลี่ยนเยอะมากๆ หากน้องๆกำลังมองหามหาลัยนักสานฝันสายยุ่นแล้วล่ะก็ พี่บอกเลยน้องต้องเอาสถาบันพี่ไปใส่ไว้ใน List ของน้องเป็นอันดับต้นๆแล้วล่ะ ห้ามพลาด อย่าได้เผลอมองข้ามเชียวนา
หากสนใจอยากดูเต็มๆ สามารถดูได้จากกระทู้นี้นะคะ เป็นกระทู้ของน้องที่ไปด้วยกันเขียนขึ้นมาแบบละเอียดเน้นๆเลย
[รีวิวทุน] Sakura Science Exchange Program เมื่อฉันอยู่ปี 2 แต่เขาให้ไปดูงานญี่ปุ่น 10 วัน แบบฟรี ๆ
https://pantip.com/topic/37250882/comment1
เรียนแทบทุกด้านขนาดนี้ถ้าจบมาแล้วน้องจะทำงานอะไรดีล่ะคะพี่ตา ?!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ ว่าสิ่งที่พวกเรากลัวมากที่สุดกลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราได้ประโยชน์มากที่สุด ใครจะเชื่อคะว่าหลักสูตรที่ให้พวกเราเรียนอลังการล้านแปดพันเก้าแบบนี้จะสร้างมาเพื่อคนแบบพวกเราจริงๆ !! หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังคิดไม่ออกว่าจบมาทำอะไรดี ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ ทำอะไรก็ออกมาดีแต่ไม่สุดไปทางด้านใดด้านหนึ่งก็เลยยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ใช่เลยค่ะ คุณคือคนแบบเดียวกับพวกเรา/ผายมือ
เชื่อดาวเถอะค่ะพี่ตาว่าเกิน 50% ของมนุษย์ เรียนจบมาแล้วไม่ได้ทำงานตามสายที่ตัวเองเรียนจบ ฉะนั้น สาชา IB ของเราจึงได้สร้างหลักสูตรเพื่อคนแบบพวกเราขึ้นมา ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างแรกหลังเรียนจบเลยคือ ภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าหลักสูตรนั้นได้จัดการเรียนการสอนไว้แบบแกมบังคับเลยว่าจบไปยังไงต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และถ้าเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เราก็จะได้เปรียบในด้านการทำงาน และสามารถไปสมัครงานได้หลากหลายสาขา ตั้งแต่เป็น Export Co-ordinator ยัน Flight Attendant เลยทีเดียว หรือจะชอบงานท้าทาย ชอบคิดอะไรใหม่ๆก็สามารถไปสาย Marketing ได้ หรือชอบการนำเข้า-ส่งออก ดาวขออันเชิญพี่ตาไปทางบริษัท Logistics หรือ Shipping ก็ได้ แต่ถ้าหากพี่ตาอยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองก็ย่อมได้ เพราะพี่ตาก็ได้ฝึกทำธุรกิจมาแล้วกับ IB House Project บอกตรงๆ ตอนเรียนก็งงอยู่ เรียนเยอะขนาดนี้จบไปทำงานอะไรวะเนี่ย ? แต่พอเรียนจบแล้วมาคิดทบทวนดูว่าเราจะไปสายไหนได้บ้าง เอ้า ไปได้หมดเลยนินา (ไม่นับอาชีพที่ต้องเรียนเฉพาะทางนะจ๊ะ) ถึงกับร้องว่าโอเอ็มจี ทางหลักสูตรเค้าคิดไว้แล้วจริงๆค่ะ แล้วข้อดีอีกอย่างเลยคือ ถ้าเราเรียนวิชาไหนแล้วเราไม่โอเค ทุ่มเทเท่าไหร่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ มันก็ทำให้เราได้รู้ว่าหรือสายนี้มันไม่ใช่เราจริงๆ มันก็ทำให้เราสามารถตัดช้อยส์เส้นทางอาชีพนั้นๆออกได้ พอเรียนจบถึงเวลาหางานแล้วเส้นทางที่เรา (อาจจะ) คิดว่าใช่ตัวเราก็จะได้ชัดเจนขึ้นด้วยค่ะ คือไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี แต่คนที่เรียนจนจบแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราอยากทำอาชีพอะไรกันแน่ เราเชื่อว่าคนแบบนี้มีจริงๆ และคิดว่าต้องเข้าใจที่เรากำลังพยายามจะอธิบายอยู่แน่ๆค่ะ ฮ่าๆ
เอาล่ะค่ะ ในที่สุดกระทู้ของเราก็มาถึงปลายทางเสียที หลักๆแล้วพวกเราก็จะพูดถึงจุดเด่นของสาขา ความสำคัญของภาษาอังกฤษ และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสาขาของเรา ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเรียนคณะที่สอนหลากหลายวิชา หลากหลายแขนงนั้นจะส่งผลอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา หากเรามองให้มันเป็นข้อดี มันก็จะเป็นข้อดี แต่หากเรามองให้มันเป็นข้อด้อย มันก็จะเป็นข้อด้อย พวกพี่ก็แค่มาให้ข้อมูลตามที่ได้เรียนมา เพื่อแบ่งปันเป็นไอเดียให้แก่น้อง ๆ เนอะ หากน้อง ๆ หรือผู้ปกครองท่านใดต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็สามารถคอมเม้นท์ไว้ด้านล่างหรือส่งข้อความมาสอบถามหลังไมค์ได้เลยนะคะ สุดท้ายนี้ พวกพี่ก็อยากให้น้อง ๆ คิดดี ๆ ก่อนจะเลือกคณะและสาขาที่เรียนนะคะ เลือกเอาตามที่ใจปรารถนาเลยค่ะ เพราะสุดท้ายคนที่ต้องมานั่งเรียนก็คือตัวเราเอง ถ้าเราไม่ยินดีที่จะเรียน เรียนอะไรที่ไหนก็ไม่มีความสุขหรอกค่ะ จบสวย ๆ ปรบมือ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น