ถ้าเงินเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตเราในตอนนี้ social media ก็คงเป็นปัจจัยที่ 6 ตามกันมา เพราะใครก็ขาดไม่ได้ ในเมื่อการสื่อสารเดี๋ยวนี้มันง่ายซะยิ่งกว่าดีดนิ้วซะอีก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ไม่เล่นเสียเลย ... โลกนี้มีมากกว่า 1 ด้านเสมอ ในแง่ของการสื่อสาร ความบันเทิง ความสัมพันธ์ ความรู้ social media อาจจะตอบโจทย์ได้ครบครันแทบทุกด้านของชีวิต ... นั่นมันก็แค่ “เกือบ” ทุกด้าน และใช่ว่าจะเป็นชีวิตที่ดีที่สุดเสมอไป คนไม่ติด social media หรือไม่เล่น social media เลยก็มีอีกโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิตได้ และบางทีก็ดีเสียยิ่งกว่าคนที่เล่นจนเคยชินเสียอีก โอกาสอะไรบ้างที่จะเข้าหาคนไม่ติด/ไม่เล่น social media
1. พวกเขามีความอดทนมากพอที่จะรอคอยบางสิ่งหรือบางคน Social media ทำให้เรากลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปหมดแม้กระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้กระทั่งนาทีต่อนาที แต่ถ้าในโลกของคนที่ไม่ติดหรือไม่เล่นเลย พวกเขาก็ไม่มีนิสัยใฝ่รู้อะไรขนาดนั้น ถ้าจะให้พวกเขารออะไรหรือรอใครนาน ๆ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
2. พวกเขามีโอกาสที่จะเจอกับคนที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่า จากข้อ 1 ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถรอใครได้นาน ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะรอแบบเรื่อยเปื่อย ไม่โฟกัสที่นัดหมาย ตรงกันข้าม พวกเขากลับเป็นคนที่เคร่งในเวลานัดหมายเอามาก ๆ เพราะนี่คือการให้เกียรติกันอย่างหนึ่ง พวกเขาเอือมระอามากที่สุดถ้าจะต้องเจอคนที่มาสายบ่อย ๆ ยิ่งมาแล้วเอาแต่สไลด์หน้าจอ เตรียมรับคะแนนติดลบจากพวกเขาไปได้เลย ถึงมันจะดูโหดร้ายไปหน่อยสำหรับความจริงจังแบบนี้ แต่อีกด้านหนึ่งก็คือ มันทำให้พวกเขาได้เจอคนประเภทเดียวกัน คือ คนที่รักษาเวลาด้วยกัน ตามกฎ “แรงดึงดูด” เป็นคนแบบไหน ก็จะเจอคนแบบนั้น ซึ่งคุณสมบัติการตรงต่อเวลานี่แหละ มักจะมีในคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนเสียด้วยสิ !
3. พวกเขาเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง หลายคนมักจะใช้social media เพื่อระบายอารมณ์ส่วนตัวเป็นหลัก หรือไม่ก็อวดนั่นอวดนี่ตามประสา แต่ลืมมองย้อนกลับมาใน timeline ตัวเองว่า มันมากเกินไปรึเปล่าที่เราจะมีหลายความรู้สึกในวันเดียวกัน ? คนที่ไม่ติดหรือไม่เล่น social media ถึงแม้จะดูลึกลับ เดาใจยาก แต่ก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่น่าคบหาพอได้ เพราะอย่างน้อย เขาก็ไม่ใช่คนที่จะต้องโลดโผนกับทุกความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ดีใจก็ไม่ลอย ทุกข์ก็ไม่จม จะเป็นมิตรกันหรือเป็นศัตรูกันเน้นที่เจอกันแบบตัวต่อตัวเท่านั้น ไม่เสียเวลาพล่ามให้มากหรอก
4. พวกเขามีโอกาสที่จะทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จได้มากกว่า ถึงแม้ในโลกของ social media จะอัพเดทเทรนด์ของโลกและความรู้อีกมากให้เราค้นหา แต่ในแง่ร้ายของมันก็คือ บางทีมันก็เป็นโลกที่เต็มไปด้วยคนขี้อวด นิดหน่อยก็ว่าเก่ง นิดหน่อยก็ดีงาม จนเราแยกไม่ออกว่าใครเก่งจริงหรือเก่งเพราะคนอื่นอวย คนที่ไม่เล่นหรือไม่ติด social media เลย เขามักจะสนใจกับเวลาที่ให้ไปกับการลงมือทำมากกว่าการพร่ำเพ้อทฤษฎีหรือให้ความสนใจกับเสียงคนอื่นมาก จะล้มหรือจะลุกก็อยู่ที่กล้าลุยนี่แหละ ของจริงเขาไม่พูดมาก ! และบางทีเขาก็เก่งในหลายอย่างแบบรู้ลึกรู้จริงกว่าคนที่ใส่ในโปรไฟล์ไปงั้น ๆ ซะอีก !
5. พวกเขามีเซ้นส์ในการอ่านคนได้ดีกว่า โลกของ social media ใครจะพูดยังไงก็ได้ รูปจะแต่งยังไงก็ได้ มันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคนอยากเล่าเรื่อง อยากอวด อยากสร้างภาพให้กับตัวเองออกมาดี บางทีที่เรากำลังอ่านหรือเห็นว่าคน ๆ หนึ่งดีมาก ๆ อีกด้านอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเห็นเสมอไปก็ได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เล่นหรือไม่ติด social media เลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเชย พลาดการอัพเดทไปบ้างที่ไม่รู้จักเน็ตไอดอลบางคน ไม่รู้จักคนสำคัญบางกลุ่ม แต่พวกเขามีเซ้นส์ในการอ่านคนตามความจริงได้สูงมาก เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับ ‘ตัวจริง’ มากกว่าการประดิดประดอย และบางทีก็อาจสูงมากในระดับที่ว่ามองแว้บเดียวก็พอจะเดาได้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคนแบบไหน? เป็นได้แค่คนรู้จักหรือน่าคบหาต่อไป?
6. พวกเขามีโอกาสที่จะเจอคนจริงใจได้เยอะกว่า ไม่เพียงแต่เซ้นส์ในการอ่านคนได้ดีเท่านั้นที่เป็นผลพวงของการให้ความสำคัญ ‘ตัวจริง’ โอกาสที่จะเจอคนจริงใจก็เป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่เขาจะได้รับด้วยเช่นกัน ตามกฎ “อยากได้อะไรก่อน ก็ต้องเป็นคนทำแบบนั้นก่อน” เห็นความสำคัญของตัวตนคนอื่น มีหรือที่คนอื่นจะไม่เห็นความสำคัญของตัวตนเราบ้าง
7. พวกเขามีโอกาสสุขภาพดีกว่า เมื่อไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอนาน ๆ ก็ลดความเสี่ยงสุขภาพเสียไปได้มาก ทั้งอาการนอนดึก, คลื่นจากหน้าจอรบกวนสายตา, ออฟฟิศซินโดรม (ปวดหลัง ปวดคอ จากการนั่งหน้าจอเป็นเวลานาน) บุคลิกภาพดีขี้นเพราะไม่หลังค่อม ไม่ก้มหน้าจดจ่อกับอะไรมากไป
8. พวกเขามีโอกาสที่จะมีความสุขมากกว่า แค่ไม่มี social media ก็ไม่ถึงกับต้องเหงาแบบเฉาตาย เพราะเพื่อน.. วัดกันที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ ! อยากทำอะไรก็ได้ทำเต็มที่ ไม่ต้องมาเช็คว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง คนอื่นจะมองเราแบบไหน กระแสของคนอื่นเป็นยังไง อีกทั้งยังได้เจอแต่คนจริงแบบตัวต่อตัว นี่สิความสุขที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องบอกให้โลกรู้ ขอแค่ใจเราสัมผัสได้ก็เพียงพอแล้ว ... นี่แหละ ใจความสำคัญที่เด็ดสุดแล้ว
โอกาสดี ๆ ที่ ‘คนไม่ติดโซเชียล’ เท่านั้นที่จะเจอ
1. พวกเขามีความอดทนมากพอที่จะรอคอยบางสิ่งหรือบางคน Social media ทำให้เรากลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปหมดแม้กระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้กระทั่งนาทีต่อนาที แต่ถ้าในโลกของคนที่ไม่ติดหรือไม่เล่นเลย พวกเขาก็ไม่มีนิสัยใฝ่รู้อะไรขนาดนั้น ถ้าจะให้พวกเขารออะไรหรือรอใครนาน ๆ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
2. พวกเขามีโอกาสที่จะเจอกับคนที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่า จากข้อ 1 ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถรอใครได้นาน ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะรอแบบเรื่อยเปื่อย ไม่โฟกัสที่นัดหมาย ตรงกันข้าม พวกเขากลับเป็นคนที่เคร่งในเวลานัดหมายเอามาก ๆ เพราะนี่คือการให้เกียรติกันอย่างหนึ่ง พวกเขาเอือมระอามากที่สุดถ้าจะต้องเจอคนที่มาสายบ่อย ๆ ยิ่งมาแล้วเอาแต่สไลด์หน้าจอ เตรียมรับคะแนนติดลบจากพวกเขาไปได้เลย ถึงมันจะดูโหดร้ายไปหน่อยสำหรับความจริงจังแบบนี้ แต่อีกด้านหนึ่งก็คือ มันทำให้พวกเขาได้เจอคนประเภทเดียวกัน คือ คนที่รักษาเวลาด้วยกัน ตามกฎ “แรงดึงดูด” เป็นคนแบบไหน ก็จะเจอคนแบบนั้น ซึ่งคุณสมบัติการตรงต่อเวลานี่แหละ มักจะมีในคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนเสียด้วยสิ !
3. พวกเขาเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง หลายคนมักจะใช้social media เพื่อระบายอารมณ์ส่วนตัวเป็นหลัก หรือไม่ก็อวดนั่นอวดนี่ตามประสา แต่ลืมมองย้อนกลับมาใน timeline ตัวเองว่า มันมากเกินไปรึเปล่าที่เราจะมีหลายความรู้สึกในวันเดียวกัน ? คนที่ไม่ติดหรือไม่เล่น social media ถึงแม้จะดูลึกลับ เดาใจยาก แต่ก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่น่าคบหาพอได้ เพราะอย่างน้อย เขาก็ไม่ใช่คนที่จะต้องโลดโผนกับทุกความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ดีใจก็ไม่ลอย ทุกข์ก็ไม่จม จะเป็นมิตรกันหรือเป็นศัตรูกันเน้นที่เจอกันแบบตัวต่อตัวเท่านั้น ไม่เสียเวลาพล่ามให้มากหรอก
4. พวกเขามีโอกาสที่จะทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จได้มากกว่า ถึงแม้ในโลกของ social media จะอัพเดทเทรนด์ของโลกและความรู้อีกมากให้เราค้นหา แต่ในแง่ร้ายของมันก็คือ บางทีมันก็เป็นโลกที่เต็มไปด้วยคนขี้อวด นิดหน่อยก็ว่าเก่ง นิดหน่อยก็ดีงาม จนเราแยกไม่ออกว่าใครเก่งจริงหรือเก่งเพราะคนอื่นอวย คนที่ไม่เล่นหรือไม่ติด social media เลย เขามักจะสนใจกับเวลาที่ให้ไปกับการลงมือทำมากกว่าการพร่ำเพ้อทฤษฎีหรือให้ความสนใจกับเสียงคนอื่นมาก จะล้มหรือจะลุกก็อยู่ที่กล้าลุยนี่แหละ ของจริงเขาไม่พูดมาก ! และบางทีเขาก็เก่งในหลายอย่างแบบรู้ลึกรู้จริงกว่าคนที่ใส่ในโปรไฟล์ไปงั้น ๆ ซะอีก !
5. พวกเขามีเซ้นส์ในการอ่านคนได้ดีกว่า โลกของ social media ใครจะพูดยังไงก็ได้ รูปจะแต่งยังไงก็ได้ มันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคนอยากเล่าเรื่อง อยากอวด อยากสร้างภาพให้กับตัวเองออกมาดี บางทีที่เรากำลังอ่านหรือเห็นว่าคน ๆ หนึ่งดีมาก ๆ อีกด้านอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเห็นเสมอไปก็ได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เล่นหรือไม่ติด social media เลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเชย พลาดการอัพเดทไปบ้างที่ไม่รู้จักเน็ตไอดอลบางคน ไม่รู้จักคนสำคัญบางกลุ่ม แต่พวกเขามีเซ้นส์ในการอ่านคนตามความจริงได้สูงมาก เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับ ‘ตัวจริง’ มากกว่าการประดิดประดอย และบางทีก็อาจสูงมากในระดับที่ว่ามองแว้บเดียวก็พอจะเดาได้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคนแบบไหน? เป็นได้แค่คนรู้จักหรือน่าคบหาต่อไป?
6. พวกเขามีโอกาสที่จะเจอคนจริงใจได้เยอะกว่า ไม่เพียงแต่เซ้นส์ในการอ่านคนได้ดีเท่านั้นที่เป็นผลพวงของการให้ความสำคัญ ‘ตัวจริง’ โอกาสที่จะเจอคนจริงใจก็เป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่เขาจะได้รับด้วยเช่นกัน ตามกฎ “อยากได้อะไรก่อน ก็ต้องเป็นคนทำแบบนั้นก่อน” เห็นความสำคัญของตัวตนคนอื่น มีหรือที่คนอื่นจะไม่เห็นความสำคัญของตัวตนเราบ้าง
7. พวกเขามีโอกาสสุขภาพดีกว่า เมื่อไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอนาน ๆ ก็ลดความเสี่ยงสุขภาพเสียไปได้มาก ทั้งอาการนอนดึก, คลื่นจากหน้าจอรบกวนสายตา, ออฟฟิศซินโดรม (ปวดหลัง ปวดคอ จากการนั่งหน้าจอเป็นเวลานาน) บุคลิกภาพดีขี้นเพราะไม่หลังค่อม ไม่ก้มหน้าจดจ่อกับอะไรมากไป
8. พวกเขามีโอกาสที่จะมีความสุขมากกว่า แค่ไม่มี social media ก็ไม่ถึงกับต้องเหงาแบบเฉาตาย เพราะเพื่อน.. วัดกันที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ ! อยากทำอะไรก็ได้ทำเต็มที่ ไม่ต้องมาเช็คว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง คนอื่นจะมองเราแบบไหน กระแสของคนอื่นเป็นยังไง อีกทั้งยังได้เจอแต่คนจริงแบบตัวต่อตัว นี่สิความสุขที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องบอกให้โลกรู้ ขอแค่ใจเราสัมผัสได้ก็เพียงพอแล้ว ... นี่แหละ ใจความสำคัญที่เด็ดสุดแล้ว