ข้อคิดจากการอุปสมบท บทที่ 6 ใจ


“ทะเลแสนไกลไม่มีสิ้นสุด สีครามหมายความเหมือนใจมนุษย์ มันลึกเกินจะรู้”
อธิวรา คงมาลัย

การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ผู้มีอาการป่วยทางจิตจำนวนหนึ่ง มีอาการป่วยด้วยสาเหตุนี้ คิดถึงคนอื่น ห่วงแต่ความรู้สึกของคนอื่น นึกถึงใจผู้อื่นแต่กลับไม่นึกถึงใจตัวเอง

ในทางพระพุทธศาสนาคำว่า “ใจ” กับ “จิต” คือสิ่งเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้วในบทที่ 3 เรื่อง “สติ”  ว่าสังขารประกอบไปด้วยกายและจิต ข้อสำคัญที่สุดของการไม่เป็นทุกข์คือการควบคุมจิตของเราให้อยู่นิ่งไม่ไหวติงไปกับอารมณ์ที่มากระทบมากจนเกินไป

มนุษย์กลุ่มหนึ่งมีบุคลิกภาพที่ถูกสร้างมาให้เป็นคน “ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา” อยู่แล้ว คนกลุ่มนี้บางครั้งถูกมองว่าเป็น “คนเห็นแก่ตัว” แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนเห็นแก่ตัวกลุ่มนี้มีความทุกข์ได้ยากกว่ากลุ่มคนที่เหลือ เพราะเขาจะไม่มัวไปนั่งค้นหาใจของคนอื่นให้เสียอารมณ์ ทีนี้หากเรามิได้เป็นคนกลุ่มที่ถูกสร้างมาให้มีบุคลิกภาพเช่นนั้นล่ะ จะทำอย่างไรให้ไม่เป็นทุกข์อันเนื่องมาจากการเห็นใจผู้อื่น คำตอบคือสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นคือสิ่งที่พระไตรปิฎกให้คำนิยามว่า อริยสัจ 4 นั่นเอง

การเอาใจเขามาใส่ใจเรามากเกินไปทำให้เราไม่พบใจของตัวเอง เพราะมัวแต่ไปค้นหาใจผู้อื่น เป็นห่วงว่าคนอื่นจะไม่รักเรา เป็นห่วงว่าคนอื่นจะเกลียดเรา เป็นห่วงว่าจะทำให้คนอื่นเสียความรู้สึก กังวลต่อคำติฉินนินทา กังวลต่อกริยาอาการของผู้อื่น ความห่วงและความกังวลเหล่านี้หากเรารับอารมณ์เหล่านั้นมาโดยไม่มีสติ สิ่งที่ตามมาก็คือความทุกข์ใจนั้นเอง ดังนั้น จงค้นหาใจของตนให้มากกว่าไปค้นหาใจของผู้อื่น พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราเห็นแก่ตัว แต่หากสอนให้เราเห็นแก่ใจตนเองมากกว่า

การสวดมนต์เป็นอุบายหนึ่งในศาสนาพุทธที่ทำให้ใจสงบ ค้นพบตัวเอง เป็นอีกวิธีฝึกสติที่เรียบง่ายและแยบยล นับเป็นการเจริญสติภาวนาอีกวิธีหนึ่ง

พูดถึงเรื่องการสวดมนต์มีอยู่วันหนึ่งเราค้นหาบทสวดชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา) ในอินเตอร์เน็ต โดยตั้งใจว่าจะฝึกสวดเพราะเห็นว่าเป็นบทหนึ่งที่ต้องสวดบ่อยแต่เรายังสวดไม่ได้ หลังจากที่กดค้นหาใน google เราได้ไปเจอกระทู้พันทิปอันหนึ่งน่าสนใจ  ผู้ตั้งกระทู้ถามว่า “ทำไมเวลาเข้าป่า ห้ามสวด พาหุงฯ หรือ สวดชินบัญชร ล่ะคับ?”  โดยกตัวอย่างว่าเขามีพี่ชายที่จบจาก จปร. เคยเล่าให้ฟังว่า เคยไปฝึกในป่า ตอนก่อนจะนอนเพื่อนของพี่ชายได้สวดบทสวดพาหุง ปรากฏว่าลมพัดแรงมาก เข็มทิศรวน และได้ยินเสียงเหมือนคนร้อง จึงมาตั้งกระทู้ถามว่า

“ใครที่จบ จปร. หรือ เตรียมทหาร ช่วยตอบหน่อยว่าห้ามสวดบทพาหุงฯ ในป่า จริงหรือไม่?”

ผมนั่งอ่านคำตอบในกระทู้ดังกล่าวอย่างสนุกสนาน บ้างก็ว่า

“คาถา 2 บทนี้มีอานุภาพมากครับ ซึ่งส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตต่างภพภูมิที่อาศัยอยู่ในป่า เช่น เปรต อสุรกาย ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรืออมนุษย์ ทั้งหลาย โดยเขาอยู่อย่างนั้นในป่ามานาน ไม่ได้เคยสัมผัสธรรมะมาก่อน จิตใจเลยหยาบ เจอบทสวดนี้เข้าไปเลยคลั่ง”

บ้างก็ว่า

“ความเชื่อนึงบอกว่าคาถาชินบัญชรเป็นการปัดเป่าวิญญาณทุกชนิดให้ออกจากพื้นที่ๆสวดอยู่ ด้วยความที่เป็นบทสวดที่มีประสิทธิภาพมากจึงไม่มีการแยกแยะวิญญาณดีวิญญาณร้ายวิญญาณปกปักรักษาโดนหมดถ้วนหน้าเหมือนเทน้ำยาฆ่าเชื้อลงโถแล้วแบคทีเรียที่ช่วยย่อยอึในถังหมักตายไปด้วย ผมไม่เคยเดินป่าแต่ถ้ามีคำเตือนก็ว่าอย่าสวดจะดีกว่า ป่าไม่ใช่พื้นที่ของคนเมืองอย่างเดียว การลองของบางสถาณการณ์ไม่เหมาะสมนะ”

อ่านไปอ่านมาก็สนุกดี แล้วก็คิดได้อีกเรื่องหนึ่งว่าความเข้าใจผิดในจุดประสงค์ของการสวดมนต์เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ พุทธศาสนิกชน ต้องทำความเข้าใจ

ส่วนความคิดเห็นที่เราชอบที่สุดนั้นตอบว่า

“ผมว่าดูความมุ่งหมายของการสวดมนต์ดีกว่าไหม เดี๋ยวนี้มีแต่การกล่าวอ้างถึงพุทธคุณ เต็มไปหมดอีกอย่างหนึ่ง คนเรานั้นมักชอบที่จะผสมโรง เอาเรื่องนั้นมาผูกโยงเข้ากับเรื่องนี้ ด้วยเหตุแค่ว่าความรู้สึกเห็นว่าสอดคล้องลงกัน แล้วก็เชื่อไปอย่างนั้น เช่น ทำอะไรบางอย่าง แล้วพบว่าเกิดอะไรบางอย่างในขณะช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน หรือต่อเนื่องกัน หรือในเวลาต่อมา ก็ไปผูกกันว่าเป็นเพราะกรรมอันนั้นอันนี้ที่ตนเองทำ ก่อให้เกิดเป็นผลแบบนี้ๆ แล้วก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ซึ่งจริงๆแล้ว กรรมนั้นเป็นอจินไตยการรู้ก็คือรู้ตามจริงรู้แล้วก็ปล่อย ไม่ใช่รู้แล้วไปผูกเงื่อนผูกปมระโยงระยางให้มันวุ่นวาย”

“ย้อนกลับมาที่การสวดมนต์ คำสวดนั้นไม่มีดีอะไรหรอก พลังอำนาจนั้นอยู่ที่จิตต่างหาก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบางคนสวดแล้วโน่นๆนี่ๆ บางคนสวดแล้วก็ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรขึ้นมา นั่นเหตุเพราะพลังอำนาจของจิตนั้นแตกต่างกัน”

เราเชื่อเหมือนกับผู้ตอบกระทู้ท่านนี้ว่าบทสวดมนต์บทใดๆ ก็ไม่มีอิทธิฤทธิ์ทั้งสิ้น และเราก็เชื่อในเรื่องของพลังจิตหรือพลังใจมากกว่า การสวดมนต์อธิษฐานนำมาซึ่งสติ ส่วนผลพลอยได้ตามมาก็คือการสะกดจิตของตนเองให้พุ่งไปยังสิ่งที่มุ่งหวังส่งผลให้ร่างกายเราตอบสนองตาม เป็นเรื่องเดียวกันกับการที่ผู้ป่วยที่มีกำลังใจดีที่ดี จะสามารถหายจากอาการป่วยได้ดีกว่าผู้ที่ขาดกำลังใจนั่นเอง

พลังจิตหรือพลังใจนั้นมีอานุภาพในตัวของมันเอง ดำรงอยู่ในร่างกายของเราเอง ไม่มีอิทธิฤทธิ์หรืออำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดมาเกี่ยวข้องเราเชื่ออย่างนั้น

เมื่อคืนนี้เราได้มีโอกาสสวดมนต์ข้ามปีเป็นครั้งแรกในชีวิต เราเชื่อแค่ว่าใจของเราจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่มากก็น้อย หวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้สวดก็คงได้รับผลเช่นเดียวกัน ก่อนจบบทนี้ขอฝากไว้อีกหนึ่งบทเพลงที่พูดถึงเรื่องใจและกายได้น่าสนใจมากบทเพลงหนึ่ง

“คืนนั้นคืนไหนใจแพ้ตัว คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น คืนนั้นคืนไหน ใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบกพออับโชคตกลงกลางทะเลใจ”

“ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกายกลับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข”
ยืนยง โอภากุล

สวัสดีปีใหม่ครับ
พระอาชิโต
(จอมเดช ตรีเมฆ)
เขียนที่วัดขุนทราย
วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2561
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่