สะพาน......ข้ามใจ

กระทู้สนทนา
ดึกดื่นคืนฟ้าหม่นสายลมขับขานลำเนาเศร้าหมอง  มีเพียงสายลมยังมีแก่ใจ โอบอุ้มหอบกระไอน้ำตาใครบางคน ในเสียงต่ำแหบโหยราวคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการ ราวกับเศษเสี้ยวส่วนลึกของหัวใจปลิดปลิวลิ่วลมหนาวอันเยือกเย็น ปีกรัตติกาลกอดเมืองไว้ทั้งเมืองพลางขับกล่อมด้วยสายลม แต่หมู่ตึกหลากหลาย ยังคงทอแสงรอคอยเนิ่นนาน ในสายลม

             ชายหนุ่ม…หญิงสาว

             ต่างคนต่างเดิน….ต่างทางต่างวิถี. ..มาพบกันกลางสะพานยาวเหยียดข้ามจันทร์  ไม่มีใครสนใจเครื่องจักรกำลังกรีดร้องกังวาน โกรธแค้นและนัยน์ตาวาวโรจน์ ราวปีศาจกระหายเลือดในปีกม่านแห่งรัตติกาล

            ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืดมนอนธการเบื้องหลัง

             แสงจันทร์คืนนี้ทอแสงสีเหลืองนวลชวนเศร้ารวดร้าวอวดฟ้า… เงาจันทร์สั่นไหวเดียวดายอ้างว้างในสายน้ำข้างล่าง  หนุ่มสาวพบพานกันกลางสะพาน กลางค่ำคืนและสายลมโหยหาเหน็บร้าวเจียนขาดใจ  ห่างกันเพียงปลายมือ

           “อยากเห็นดวงจันทร์ เงาใจ ไหมครับ”  

             ชายหนุ่มเอ่ยปากทักทายก่อนด้วยคำถาม  เหมือนจะมีคำตอบรออยู่ง่ายๆ  หญิงสาวยิ้มให้กับคำถาม ด้วยทีท่าสงบราวกับจะมีคำตอบที่ดีกว่ารออยู่แล้ว  สายลมสัมผัสผิวแก้มบางเบาเรือนผมบางส่วนสยายเล่นลมหนาว จ้องหน้าคนถาม   ทำให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยปากว่า

           “ผมพูดอะไรผิดหรือครับ”

            “ถ้าคุณอยากเห็นดวงจันทร์คืนนี้ คุณจะทำอย่างไรคะ”

             “ผมจะเงยหน้า”   ขายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ อย่างไม่จำเป็นต้องคิดมาก  สองมือล้วงควานหาความอบอุ่นในกระเป๋าเสื้อตัวสวย  ขณะคู่สนทนาหัวเราะเสียงใส บอกว่า

            “คุณก้มหน้าก็ได้นี่คะ  ทำไมต้องเงยหน้าเท่านั้น”

             คนถูกลองภูมิมีสีหน้าสงสัย ปกติอยากดูดาวชมจันทร์ต้องเงยหน้ามองฟ้า มิใช่หรือ  แต่แล้วก็เริ่มคิดได้...เวลานี้ทั้งสองอยู่บนสะพานยาวเหยียดข้ามน้ำข้ามใจ  เพียงก้มหน้าลงไปมองก็จะเห็นเงาจันทร์เงาใจระริกไหวกลางสายน้ำเบื้องล่าง  คำตอบไม่ใช่จะต้องอยู่บนสวรรค์เสมอไป บางทีนรกอาจกำลังกำคำตอบรอคอย

           “คุณคิดว่าสายน้ำ  ไม่สินะ... อาจหมายถึง ท้องฟ้า กำลังพยายามบอกอะไรกับเรา”

            ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังเกาะราวสะพานมองความอ้างว้างบนฟากฟ้าในความเงียบงันเนิ่นนาน   หญิงสาวไม่ตอบในทันที หากจ้องมองราวค้นหาอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันเจอ…ไม่ว่าจะเป็นเงาอดีตหรือเงาใจในอนาคต

            “ฉันอ่านภาษาดาวภาษาจันทร์ภาษาฟ้าไม่ออกหรอกค่ะ แต่คิดว่าพวกเขากำลังร้องไห้มากกว่าจะหัวเราะ”

           “ภาษาฟ้าป็นภาษาสากล ผมคิดอย่างนี้ มันอาจหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้มแย้ม เศร้าโศก ขึ้นอยู่กับมุมมอง และอารมณ์ ของคนที่มอง ”

            “มันอาจหัวเราะกับคนอื่น แต่บางทีพวกเขากำลังร้องไห้กับพวกเรานะคะ”

            “ไม่มีคำว่าบางที”   ชายหนุ่มพยายามทำให้มุมมองเป็นเรื่องตลก  แล้วต่างฝ่ายต่างเงียบงันไป เพียงยืนเคียงคู่กันบนสะพานข้ามจันทร์ ค้งจากเงามืดสองฝากผ่านกลางจันทร์ เหนือประทีปโคมไฟแห่งชีวิตหลากหลาย ชีวิตที่มีทั้งสุขทุกข์ปนกันไป บางคนอาจหลับไหล บางคนอาจยังตื่นอยู่ แต่บางทีอาจมีเพียงสองชีวิตชิดกันเกาะราวสะพานแห่งนี้เท่านั้นที่ ฉายแสงแห่งชีวิตสว่างที่สุดในเวลานี้

           แสงสว่างจะกระจ่างชัดที่สุด ก็ต่อเมื่ออยู่ในความมืดที่สุด

            “เราแต่งงานกันไหม”  จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกกล้าขอแต่งงานแล้วหรืออย่างไร  หญิงสาวชำเลืองมองด้สยหางตาถามด้วยรอยยิ้มทั้งสีหน้าและคำพูด

           “เร็วไปไหมคะเรารู้จักกันนานเท่าไรแล้ว”

           “ประมาณยี่สิบกว่านาที”

             “ไม่ถึงมั้งคะ”  หญิงสาวทวนคำ เงาตาฉายแววครุ่นคิด  นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนบอกว่า    “ อืมม์..ที่จริงความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและก้าวข้ามเวลาอยู่แล้ว บางคนรู้จักกันเป็นสิบปียังแทบไม่รู้อะไรกันเลย บางคนรู้จักกันวันเดียวก็เหมือนสิบปี แต่อะไรทำให้คุณคิดว่าเราจะแต่งงานกันได้”

            “เพราะคุณเดินมาจากความมืดเหมือนผมไง”

            หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่มีความสุขเศร้าปนอยู่ในน้ำเสียง

           “คุณรักฉัน?”

             “ผมแน่ใจที่สุด  รักในสิบกว่านาที  ผมไม่เคยสงสัยคำพูดของตัวเองเลยครับ”

           “อะไรทำให้คุณแน่ใจคะ”

           “คุณดูชีวิตด้านล่างโน้น”     ชายหนุ่มชี้มือไปในความมืดด้านล่าง หมู่ตึกบ้านเรือนสร้างดารารายโรยประดับดินแข่งดาวบนฟ้าไกล..   “มีถนนไม่รู้กี่สาย มีคนไม่รู้กี่คน มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ต่างคนต่างเดินไปตามทางที่มุ่งมั่นของตนเองหรือเส้นทางที่คนอื่นขีดเอาไว้ เขาเหล่านั้นอาจเหมือนคนกำลังเลี้ยวหัวมุมถนนโดยไม่รู้แน่ขัดว่าอะไรรออยู่….อาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว ความสุขหรือความเศร้า แต่คุณกับผมต่างเดินมาพบกัน…จุดหมายเดียวกัน เราเหมือนคนกำลังเดินเข้าหากระจกเงา ต่างเหมือนเป็นเงาของอีกฝ่าย…..คงเป็นคำตอบได้แล้วใช่ไหม”


             “คุณจะเอาอะไรเป็นของหมั้นล่ะคะ”  หญิวสาวพยายามทำเสียงให้เริงรื่น

           “ดวงจันทร์พอไหม”

          "น้อยไปค่ะ"

          “ต้องรวมดาวทุกดวงบนท้องฟ้าด้วย   ผมแถมดวงจันทร์และเงาดาวข้างล่าง  ทุกกาแล็กซี่ ทุกจักรวาล ให้อีกด้วยก็ได้”

             ทั้งสองหัวเราะให้แก่กันอย่างพร้อมใจกันเป็นครั้งแรก   หญิงสาวยกมือเสยผมพริ้วไสวปรกหน้าจากแรงลมเปิดหน้าเพื่อสบตากับจันทราและหมู่ดวงดาว ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีดาวเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง เป็นดาวที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น

             “ตกลงค่ะ…ฉันแต่งงานกับคุณ”

             ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับดวงดาวและสายลมที่ร่วมเป็นสักขีพยาน

            “คุณรู้ไหม นี่เป็นช่วงที่ดี และ งดงามที่สุดของผม ”

           “เรายังไม่รู้กระทั่งชื่อกันและกันเลย”

            “ไม่สำคัญหรอกครับ…”  ชายหนุ่มหัวเราะ ดวงตวงในดวงตาพร่างพราย  "บางทีพวกเรารู้จักกันมาไม่รู้กี่รอบแล้วครับ  ผมเชื่ออย่างนั้นนะ"

           “ฉันเริ่มอ่านภาษาของดวงจันทร์และดวงดาวออกแล้วล่ะค่ะ”   หญิงสาวหัวเราะกะบคำพูดของอีกฝ่าย มากกว่าจะเข้าใจจริงๆ

           “อ่านให้ผมฟังสักนิด”

          “บรรทัดเดียวนะคะ”

           “ครับ”

           “ฉันรักคุณค่ะ”

             ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าด้วยจิตใจปลาบปลึ้มพองโต ล่องลอยไปไล่เก็บดวงดาวเรียงร้อยเป็นมงกุฎดาวมาประดับใจเจ้าของคำพูด  ทำไมคำพูดไม่กี่พยางค์จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ป่านนี้  อาจเป็นเพราะชั่วชีวิตของคนบางคนไม่เคยได้รับคำนี้จากใจจริงๆของคนพูดเลย บางคนไม่แม้แต่จะได้รับ…ไม่ว่าจะออกมาจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม กระทั่งบางคนไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสบอกคำๆนี้ให้แก่ผู้อื่น

             นี่อาจเป็นประโยคยิ่งใหญ่ที่สุด…ที่สุดของมนุษย์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรืออนาคต และอาจเป็นประโยคเริ่มต้นของความสุขความเศร้าทั้งมวลเช่นกัน แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่อะไรจะมากกว่าความรัก

             ทั้งคู่สบตากัน..ยกมือเกี่ยวก้อยเกี่ยวใจกัน

             “คุณแน่ใจนะคะ”

              ชายหนุ่มพยักหน่ารับตำ ถอนใจหากนัยน์ตามีแววแห่งความสุขล้ำลึกเช่นเดียวกับอีกฝ่ายหนึ่ง  ก่อนบอกว่า

             “ข้างหลังของผมคือความมืด ข้างหน้าก็มีความมืดรออยู่ ไม่มีครั้งไหนจะแน่ใจมากกว่าครั้งนี้  ผมกำลังจะตาย  ไม่สิ หรือพวกเราอาจตายมาก่อนแล้วก็ได้   พวกเราไม่ใช่คนแปลกหน้า เห็นไหมครับว่าไม่มีใครสนใจพวกเราเลยว่าจะอยู่หรือไป  แต่ไม่สำคัญหรอกครับ คุณเองก็เช่นกัน  ไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วงกังวลแล้วนะครับ ที่รัก”

             “เช่นกันค่ะ การเดินทางครั้งนี้อย่างไรก็ไม่เงียบเหงาเหมือนที่กังวลแต่แรกนะคะ...ที่รัก”

             “ผมรักคุณ”   ทั้งสองเกาะมือกันแน่นราวไม่มีวันพรากจากกัน



            บนสะพานข้ามดาว ไม่มีเงาของคนทั้งสอง

             พระจันทร์เงาจันทร์สั่นพร่าไหว ผิวน้ำเล่นลมระริกไหวไล่คลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง

คืนค่ำฟากหม่นดวงดาวหมองร้องไห้…สายลมพัดหอบกระไอน้ำตาในเสียงราวคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการ  ชายหนุ่ม…หญิงสาว ต่างคนต่างเดิน…ต่างทางต่างวิถี ..มาพบกัน..รู้จักกันกลางสะพานข้ามฟ้า  ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืด  เข็มนาฬิกาแห่งความตายยังคงหมุนวนต่อไปอย่างไร้ความเมตตาต่อสรรพสิ่ง

             บัดนี้มือข้างหนึ่งทั้งคู่เกาะกุมกันไว้มั่น อีกข้างหนึ่งกางอ้าทิ้งร่างดำดิ่งลงเงาจันทร์ในพื้นน้ำที่รอคอยอยู่ข้างล่างด้วยความเต็มใจ

           ฟากฟ้ามีดาวประดับเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวงแล้ว



             “อยากเห็นดวงจันทร์ไหมครับ”  

             ชายหนุ่มเอ่ยปากทักทายก่อนด้วยคำถาม  เหมือนจะมีคำตอบรออยู่ง่ายๆ  หญิงสาวยิ้มให้กับคำถาม ด้วยทีท่าสงบราวกับจะมีคำตอบที่ดีกว่ารออยู่แล้ว  สายลมสัมผัสผิวแก้มบางเบาเรือนผมบางส่วนสยายเล่นลมหนาว  

            ..


จบแล้วครับ
ขอบคุณ ทุกท่านที่มาเยือนเด้อ
ดอกไม้ดอกไม้อมยิ้ม29อมยิ้ม29อมยิ้ม22
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่