ดึกดื่นคืนฟ้าหม่นสายลมขับขานลำเนาเศร้าหมอง มีเพียงสายลมยังมีแก่ใจ โอบอุ้มหอบกระไอน้ำตาใครบางคน ในเสียงต่ำแหบโหยราวคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการ ราวกับเศษเสี้ยวส่วนลึกของหัวใจปลิดปลิวลิ่วลมหนาวอันเยือกเย็น ปีกรัตติกาลกอดเมืองไว้ทั้งเมืองพลางขับกล่อมด้วยสายลม แต่หมู่ตึกหลากหลาย ยังคงทอแสงรอคอยเนิ่นนาน ในสายลม
ชายหนุ่ม…หญิงสาว
ต่างคนต่างเดิน….ต่างทางต่างวิถี. ..มาพบกันกลางสะพานยาวเหยียดข้ามจันทร์ ไม่มีใครสนใจเครื่องจักรกำลังกรีดร้องกังวาน โกรธแค้นและนัยน์ตาวาวโรจน์ ราวปีศาจกระหายเลือดในปีกม่านแห่งรัตติกาล
ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืดมนอนธการเบื้องหลัง
แสงจันทร์คืนนี้ทอแสงสีเหลืองนวลชวนเศร้ารวดร้าวอวดฟ้า… เงาจันทร์สั่นไหวเดียวดายอ้างว้างในสายน้ำข้างล่าง หนุ่มสาวพบพานกันกลางสะพาน กลางค่ำคืนและสายลมโหยหาเหน็บร้าวเจียนขาดใจ ห่างกันเพียงปลายมือ
“อยากเห็นดวงจันทร์ เงาใจ ไหมครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยปากทักทายก่อนด้วยคำถาม เหมือนจะมีคำตอบรออยู่ง่ายๆ หญิงสาวยิ้มให้กับคำถาม ด้วยทีท่าสงบราวกับจะมีคำตอบที่ดีกว่ารออยู่แล้ว สายลมสัมผัสผิวแก้มบางเบาเรือนผมบางส่วนสยายเล่นลมหนาว จ้องหน้าคนถาม ทำให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยปากว่า
“ผมพูดอะไรผิดหรือครับ”
“ถ้าคุณอยากเห็นดวงจันทร์คืนนี้ คุณจะทำอย่างไรคะ”
“ผมจะเงยหน้า” ขายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ อย่างไม่จำเป็นต้องคิดมาก สองมือล้วงควานหาความอบอุ่นในกระเป๋าเสื้อตัวสวย ขณะคู่สนทนาหัวเราะเสียงใส บอกว่า
“คุณก้มหน้าก็ได้นี่คะ ทำไมต้องเงยหน้าเท่านั้น”
คนถูกลองภูมิมีสีหน้าสงสัย ปกติอยากดูดาวชมจันทร์ต้องเงยหน้ามองฟ้า มิใช่หรือ แต่แล้วก็เริ่มคิดได้...เวลานี้ทั้งสองอยู่บนสะพานยาวเหยียดข้ามน้ำข้ามใจ เพียงก้มหน้าลงไปมองก็จะเห็นเงาจันทร์เงาใจระริกไหวกลางสายน้ำเบื้องล่าง คำตอบไม่ใช่จะต้องอยู่บนสวรรค์เสมอไป บางทีนรกอาจกำลังกำคำตอบรอคอย
“คุณคิดว่าสายน้ำ ไม่สินะ... อาจหมายถึง ท้องฟ้า กำลังพยายามบอกอะไรกับเรา”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังเกาะราวสะพานมองความอ้างว้างบนฟากฟ้าในความเงียบงันเนิ่นนาน หญิงสาวไม่ตอบในทันที หากจ้องมองราวค้นหาอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันเจอ…ไม่ว่าจะเป็นเงาอดีตหรือเงาใจในอนาคต
“ฉันอ่านภาษาดาวภาษาจันทร์ภาษาฟ้าไม่ออกหรอกค่ะ แต่คิดว่าพวกเขากำลังร้องไห้มากกว่าจะหัวเราะ”
“ภาษาฟ้าป็นภาษาสากล ผมคิดอย่างนี้ มันอาจหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้มแย้ม เศร้าโศก ขึ้นอยู่กับมุมมอง และอารมณ์ ของคนที่มอง ”
“มันอาจหัวเราะกับคนอื่น แต่บางทีพวกเขากำลังร้องไห้กับพวกเรานะคะ”
“ไม่มีคำว่าบางที” ชายหนุ่มพยายามทำให้มุมมองเป็นเรื่องตลก แล้วต่างฝ่ายต่างเงียบงันไป เพียงยืนเคียงคู่กันบนสะพานข้ามจันทร์ ค้งจากเงามืดสองฝากผ่านกลางจันทร์ เหนือประทีปโคมไฟแห่งชีวิตหลากหลาย ชีวิตที่มีทั้งสุขทุกข์ปนกันไป บางคนอาจหลับไหล บางคนอาจยังตื่นอยู่ แต่บางทีอาจมีเพียงสองชีวิตชิดกันเกาะราวสะพานแห่งนี้เท่านั้นที่ ฉายแสงแห่งชีวิตสว่างที่สุดในเวลานี้
แสงสว่างจะกระจ่างชัดที่สุด ก็ต่อเมื่ออยู่ในความมืดที่สุด
“เราแต่งงานกันไหม” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกกล้าขอแต่งงานแล้วหรืออย่างไร หญิงสาวชำเลืองมองด้สยหางตาถามด้วยรอยยิ้มทั้งสีหน้าและคำพูด
“เร็วไปไหมคะเรารู้จักกันนานเท่าไรแล้ว”
“ประมาณยี่สิบกว่านาที”
“ไม่ถึงมั้งคะ” หญิงสาวทวนคำ เงาตาฉายแววครุ่นคิด นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนบอกว่า “ อืมม์..ที่จริงความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและก้าวข้ามเวลาอยู่แล้ว บางคนรู้จักกันเป็นสิบปียังแทบไม่รู้อะไรกันเลย บางคนรู้จักกันวันเดียวก็เหมือนสิบปี แต่อะไรทำให้คุณคิดว่าเราจะแต่งงานกันได้”
“เพราะคุณเดินมาจากความมืดเหมือนผมไง”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่มีความสุขเศร้าปนอยู่ในน้ำเสียง
“คุณรักฉัน?”
“ผมแน่ใจที่สุด รักในสิบกว่านาที ผมไม่เคยสงสัยคำพูดของตัวเองเลยครับ”
“อะไรทำให้คุณแน่ใจคะ”
“คุณดูชีวิตด้านล่างโน้น” ชายหนุ่มชี้มือไปในความมืดด้านล่าง หมู่ตึกบ้านเรือนสร้างดารารายโรยประดับดินแข่งดาวบนฟ้าไกล.. “มีถนนไม่รู้กี่สาย มีคนไม่รู้กี่คน มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ต่างคนต่างเดินไปตามทางที่มุ่งมั่นของตนเองหรือเส้นทางที่คนอื่นขีดเอาไว้ เขาเหล่านั้นอาจเหมือนคนกำลังเลี้ยวหัวมุมถนนโดยไม่รู้แน่ขัดว่าอะไรรออยู่….อาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว ความสุขหรือความเศร้า แต่คุณกับผมต่างเดินมาพบกัน…จุดหมายเดียวกัน เราเหมือนคนกำลังเดินเข้าหากระจกเงา ต่างเหมือนเป็นเงาของอีกฝ่าย…..คงเป็นคำตอบได้แล้วใช่ไหม”
“คุณจะเอาอะไรเป็นของหมั้นล่ะคะ” หญิวสาวพยายามทำเสียงให้เริงรื่น
“ดวงจันทร์พอไหม”
"น้อยไปค่ะ"
“ต้องรวมดาวทุกดวงบนท้องฟ้าด้วย ผมแถมดวงจันทร์และเงาดาวข้างล่าง ทุกกาแล็กซี่ ทุกจักรวาล ให้อีกด้วยก็ได้”
ทั้งสองหัวเราะให้แก่กันอย่างพร้อมใจกันเป็นครั้งแรก หญิงสาวยกมือเสยผมพริ้วไสวปรกหน้าจากแรงลมเปิดหน้าเพื่อสบตากับจันทราและหมู่ดวงดาว ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีดาวเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง เป็นดาวที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น
“ตกลงค่ะ…ฉันแต่งงานกับคุณ”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับดวงดาวและสายลมที่ร่วมเป็นสักขีพยาน
“คุณรู้ไหม นี่เป็นช่วงที่ดี และ งดงามที่สุดของผม ”
“เรายังไม่รู้กระทั่งชื่อกันและกันเลย”
“ไม่สำคัญหรอกครับ…” ชายหนุ่มหัวเราะ ดวงตวงในดวงตาพร่างพราย "บางทีพวกเรารู้จักกันมาไม่รู้กี่รอบแล้วครับ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ"
“ฉันเริ่มอ่านภาษาของดวงจันทร์และดวงดาวออกแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวหัวเราะกะบคำพูดของอีกฝ่าย มากกว่าจะเข้าใจจริงๆ
“อ่านให้ผมฟังสักนิด”
“บรรทัดเดียวนะคะ”
“ครับ”
“ฉันรักคุณค่ะ”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าด้วยจิตใจปลาบปลึ้มพองโต ล่องลอยไปไล่เก็บดวงดาวเรียงร้อยเป็นมงกุฎดาวมาประดับใจเจ้าของคำพูด ทำไมคำพูดไม่กี่พยางค์จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ป่านนี้ อาจเป็นเพราะชั่วชีวิตของคนบางคนไม่เคยได้รับคำนี้จากใจจริงๆของคนพูดเลย บางคนไม่แม้แต่จะได้รับ…ไม่ว่าจะออกมาจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม กระทั่งบางคนไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสบอกคำๆนี้ให้แก่ผู้อื่น
นี่อาจเป็นประโยคยิ่งใหญ่ที่สุด…ที่สุดของมนุษย์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรืออนาคต และอาจเป็นประโยคเริ่มต้นของความสุขความเศร้าทั้งมวลเช่นกัน แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่อะไรจะมากกว่าความรัก
ทั้งคู่สบตากัน..ยกมือเกี่ยวก้อยเกี่ยวใจกัน
“คุณแน่ใจนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน่ารับตำ ถอนใจหากนัยน์ตามีแววแห่งความสุขล้ำลึกเช่นเดียวกับอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนบอกว่า
“ข้างหลังของผมคือความมืด ข้างหน้าก็มีความมืดรออยู่ ไม่มีครั้งไหนจะแน่ใจมากกว่าครั้งนี้ ผมกำลังจะตาย ไม่สิ หรือพวกเราอาจตายมาก่อนแล้วก็ได้ พวกเราไม่ใช่คนแปลกหน้า เห็นไหมครับว่าไม่มีใครสนใจพวกเราเลยว่าจะอยู่หรือไป แต่ไม่สำคัญหรอกครับ คุณเองก็เช่นกัน ไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วงกังวลแล้วนะครับ ที่รัก”
“เช่นกันค่ะ การเดินทางครั้งนี้อย่างไรก็ไม่เงียบเหงาเหมือนที่กังวลแต่แรกนะคะ...ที่รัก”
“ผมรักคุณ” ทั้งสองเกาะมือกันแน่นราวไม่มีวันพรากจากกัน
บนสะพานข้ามดาว ไม่มีเงาของคนทั้งสอง
พระจันทร์เงาจันทร์สั่นพร่าไหว ผิวน้ำเล่นลมระริกไหวไล่คลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง
คืนค่ำฟากหม่นดวงดาวหมองร้องไห้…สายลมพัดหอบกระไอน้ำตาในเสียงราวคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการ ชายหนุ่ม…หญิงสาว ต่างคนต่างเดิน…ต่างทางต่างวิถี ..มาพบกัน..รู้จักกันกลางสะพานข้ามฟ้า ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืด เข็มนาฬิกาแห่งความตายยังคงหมุนวนต่อไปอย่างไร้ความเมตตาต่อสรรพสิ่ง
บัดนี้มือข้างหนึ่งทั้งคู่เกาะกุมกันไว้มั่น อีกข้างหนึ่งกางอ้าทิ้งร่างดำดิ่งลงเงาจันทร์ในพื้นน้ำที่รอคอยอยู่ข้างล่างด้วยความเต็มใจ
ฟากฟ้ามีดาวประดับเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวงแล้ว
“อยากเห็นดวงจันทร์ไหมครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยปากทักทายก่อนด้วยคำถาม เหมือนจะมีคำตอบรออยู่ง่ายๆ หญิงสาวยิ้มให้กับคำถาม ด้วยทีท่าสงบราวกับจะมีคำตอบที่ดีกว่ารออยู่แล้ว สายลมสัมผัสผิวแก้มบางเบาเรือนผมบางส่วนสยายเล่นลมหนาว
..
จบแล้วครับ
ขอบคุณ ทุกท่านที่มาเยือนเด้อ




สะพาน......ข้ามใจ
ชายหนุ่ม…หญิงสาว
ต่างคนต่างเดิน….ต่างทางต่างวิถี. ..มาพบกันกลางสะพานยาวเหยียดข้ามจันทร์ ไม่มีใครสนใจเครื่องจักรกำลังกรีดร้องกังวาน โกรธแค้นและนัยน์ตาวาวโรจน์ ราวปีศาจกระหายเลือดในปีกม่านแห่งรัตติกาล
ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืดมนอนธการเบื้องหลัง
แสงจันทร์คืนนี้ทอแสงสีเหลืองนวลชวนเศร้ารวดร้าวอวดฟ้า… เงาจันทร์สั่นไหวเดียวดายอ้างว้างในสายน้ำข้างล่าง หนุ่มสาวพบพานกันกลางสะพาน กลางค่ำคืนและสายลมโหยหาเหน็บร้าวเจียนขาดใจ ห่างกันเพียงปลายมือ
“อยากเห็นดวงจันทร์ เงาใจ ไหมครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยปากทักทายก่อนด้วยคำถาม เหมือนจะมีคำตอบรออยู่ง่ายๆ หญิงสาวยิ้มให้กับคำถาม ด้วยทีท่าสงบราวกับจะมีคำตอบที่ดีกว่ารออยู่แล้ว สายลมสัมผัสผิวแก้มบางเบาเรือนผมบางส่วนสยายเล่นลมหนาว จ้องหน้าคนถาม ทำให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยปากว่า
“ผมพูดอะไรผิดหรือครับ”
“ถ้าคุณอยากเห็นดวงจันทร์คืนนี้ คุณจะทำอย่างไรคะ”
“ผมจะเงยหน้า” ขายหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ อย่างไม่จำเป็นต้องคิดมาก สองมือล้วงควานหาความอบอุ่นในกระเป๋าเสื้อตัวสวย ขณะคู่สนทนาหัวเราะเสียงใส บอกว่า
“คุณก้มหน้าก็ได้นี่คะ ทำไมต้องเงยหน้าเท่านั้น”
คนถูกลองภูมิมีสีหน้าสงสัย ปกติอยากดูดาวชมจันทร์ต้องเงยหน้ามองฟ้า มิใช่หรือ แต่แล้วก็เริ่มคิดได้...เวลานี้ทั้งสองอยู่บนสะพานยาวเหยียดข้ามน้ำข้ามใจ เพียงก้มหน้าลงไปมองก็จะเห็นเงาจันทร์เงาใจระริกไหวกลางสายน้ำเบื้องล่าง คำตอบไม่ใช่จะต้องอยู่บนสวรรค์เสมอไป บางทีนรกอาจกำลังกำคำตอบรอคอย
“คุณคิดว่าสายน้ำ ไม่สินะ... อาจหมายถึง ท้องฟ้า กำลังพยายามบอกอะไรกับเรา”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังเกาะราวสะพานมองความอ้างว้างบนฟากฟ้าในความเงียบงันเนิ่นนาน หญิงสาวไม่ตอบในทันที หากจ้องมองราวค้นหาอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันเจอ…ไม่ว่าจะเป็นเงาอดีตหรือเงาใจในอนาคต
“ฉันอ่านภาษาดาวภาษาจันทร์ภาษาฟ้าไม่ออกหรอกค่ะ แต่คิดว่าพวกเขากำลังร้องไห้มากกว่าจะหัวเราะ”
“ภาษาฟ้าป็นภาษาสากล ผมคิดอย่างนี้ มันอาจหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้มแย้ม เศร้าโศก ขึ้นอยู่กับมุมมอง และอารมณ์ ของคนที่มอง ”
“มันอาจหัวเราะกับคนอื่น แต่บางทีพวกเขากำลังร้องไห้กับพวกเรานะคะ”
“ไม่มีคำว่าบางที” ชายหนุ่มพยายามทำให้มุมมองเป็นเรื่องตลก แล้วต่างฝ่ายต่างเงียบงันไป เพียงยืนเคียงคู่กันบนสะพานข้ามจันทร์ ค้งจากเงามืดสองฝากผ่านกลางจันทร์ เหนือประทีปโคมไฟแห่งชีวิตหลากหลาย ชีวิตที่มีทั้งสุขทุกข์ปนกันไป บางคนอาจหลับไหล บางคนอาจยังตื่นอยู่ แต่บางทีอาจมีเพียงสองชีวิตชิดกันเกาะราวสะพานแห่งนี้เท่านั้นที่ ฉายแสงแห่งชีวิตสว่างที่สุดในเวลานี้
แสงสว่างจะกระจ่างชัดที่สุด ก็ต่อเมื่ออยู่ในความมืดที่สุด
“เราแต่งงานกันไหม” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกกล้าขอแต่งงานแล้วหรืออย่างไร หญิงสาวชำเลืองมองด้สยหางตาถามด้วยรอยยิ้มทั้งสีหน้าและคำพูด
“เร็วไปไหมคะเรารู้จักกันนานเท่าไรแล้ว”
“ประมาณยี่สิบกว่านาที”
“ไม่ถึงมั้งคะ” หญิงสาวทวนคำ เงาตาฉายแววครุ่นคิด นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนบอกว่า “ อืมม์..ที่จริงความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและก้าวข้ามเวลาอยู่แล้ว บางคนรู้จักกันเป็นสิบปียังแทบไม่รู้อะไรกันเลย บางคนรู้จักกันวันเดียวก็เหมือนสิบปี แต่อะไรทำให้คุณคิดว่าเราจะแต่งงานกันได้”
“เพราะคุณเดินมาจากความมืดเหมือนผมไง”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่มีความสุขเศร้าปนอยู่ในน้ำเสียง
“คุณรักฉัน?”
“ผมแน่ใจที่สุด รักในสิบกว่านาที ผมไม่เคยสงสัยคำพูดของตัวเองเลยครับ”
“อะไรทำให้คุณแน่ใจคะ”
“คุณดูชีวิตด้านล่างโน้น” ชายหนุ่มชี้มือไปในความมืดด้านล่าง หมู่ตึกบ้านเรือนสร้างดารารายโรยประดับดินแข่งดาวบนฟ้าไกล.. “มีถนนไม่รู้กี่สาย มีคนไม่รู้กี่คน มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก ต่างคนต่างเดินไปตามทางที่มุ่งมั่นของตนเองหรือเส้นทางที่คนอื่นขีดเอาไว้ เขาเหล่านั้นอาจเหมือนคนกำลังเลี้ยวหัวมุมถนนโดยไม่รู้แน่ขัดว่าอะไรรออยู่….อาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว ความสุขหรือความเศร้า แต่คุณกับผมต่างเดินมาพบกัน…จุดหมายเดียวกัน เราเหมือนคนกำลังเดินเข้าหากระจกเงา ต่างเหมือนเป็นเงาของอีกฝ่าย…..คงเป็นคำตอบได้แล้วใช่ไหม”
“คุณจะเอาอะไรเป็นของหมั้นล่ะคะ” หญิวสาวพยายามทำเสียงให้เริงรื่น
“ดวงจันทร์พอไหม”
"น้อยไปค่ะ"
“ต้องรวมดาวทุกดวงบนท้องฟ้าด้วย ผมแถมดวงจันทร์และเงาดาวข้างล่าง ทุกกาแล็กซี่ ทุกจักรวาล ให้อีกด้วยก็ได้”
ทั้งสองหัวเราะให้แก่กันอย่างพร้อมใจกันเป็นครั้งแรก หญิงสาวยกมือเสยผมพริ้วไสวปรกหน้าจากแรงลมเปิดหน้าเพื่อสบตากับจันทราและหมู่ดวงดาว ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีดาวเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง เป็นดาวที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็น
“ตกลงค่ะ…ฉันแต่งงานกับคุณ”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับดวงดาวและสายลมที่ร่วมเป็นสักขีพยาน
“คุณรู้ไหม นี่เป็นช่วงที่ดี และ งดงามที่สุดของผม ”
“เรายังไม่รู้กระทั่งชื่อกันและกันเลย”
“ไม่สำคัญหรอกครับ…” ชายหนุ่มหัวเราะ ดวงตวงในดวงตาพร่างพราย "บางทีพวกเรารู้จักกันมาไม่รู้กี่รอบแล้วครับ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ"
“ฉันเริ่มอ่านภาษาของดวงจันทร์และดวงดาวออกแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวหัวเราะกะบคำพูดของอีกฝ่าย มากกว่าจะเข้าใจจริงๆ
“อ่านให้ผมฟังสักนิด”
“บรรทัดเดียวนะคะ”
“ครับ”
“ฉันรักคุณค่ะ”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าด้วยจิตใจปลาบปลึ้มพองโต ล่องลอยไปไล่เก็บดวงดาวเรียงร้อยเป็นมงกุฎดาวมาประดับใจเจ้าของคำพูด ทำไมคำพูดไม่กี่พยางค์จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ป่านนี้ อาจเป็นเพราะชั่วชีวิตของคนบางคนไม่เคยได้รับคำนี้จากใจจริงๆของคนพูดเลย บางคนไม่แม้แต่จะได้รับ…ไม่ว่าจะออกมาจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม กระทั่งบางคนไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสบอกคำๆนี้ให้แก่ผู้อื่น
นี่อาจเป็นประโยคยิ่งใหญ่ที่สุด…ที่สุดของมนุษย์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรืออนาคต และอาจเป็นประโยคเริ่มต้นของความสุขความเศร้าทั้งมวลเช่นกัน แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่อะไรจะมากกว่าความรัก
ทั้งคู่สบตากัน..ยกมือเกี่ยวก้อยเกี่ยวใจกัน
“คุณแน่ใจนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน่ารับตำ ถอนใจหากนัยน์ตามีแววแห่งความสุขล้ำลึกเช่นเดียวกับอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนบอกว่า
“ข้างหลังของผมคือความมืด ข้างหน้าก็มีความมืดรออยู่ ไม่มีครั้งไหนจะแน่ใจมากกว่าครั้งนี้ ผมกำลังจะตาย ไม่สิ หรือพวกเราอาจตายมาก่อนแล้วก็ได้ พวกเราไม่ใช่คนแปลกหน้า เห็นไหมครับว่าไม่มีใครสนใจพวกเราเลยว่าจะอยู่หรือไป แต่ไม่สำคัญหรอกครับ คุณเองก็เช่นกัน ไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วงกังวลแล้วนะครับ ที่รัก”
“เช่นกันค่ะ การเดินทางครั้งนี้อย่างไรก็ไม่เงียบเหงาเหมือนที่กังวลแต่แรกนะคะ...ที่รัก”
“ผมรักคุณ” ทั้งสองเกาะมือกันแน่นราวไม่มีวันพรากจากกัน
บนสะพานข้ามดาว ไม่มีเงาของคนทั้งสอง
พระจันทร์เงาจันทร์สั่นพร่าไหว ผิวน้ำเล่นลมระริกไหวไล่คลื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง
คืนค่ำฟากหม่นดวงดาวหมองร้องไห้…สายลมพัดหอบกระไอน้ำตาในเสียงราวคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการ ชายหนุ่ม…หญิงสาว ต่างคนต่างเดิน…ต่างทางต่างวิถี ..มาพบกัน..รู้จักกันกลางสะพานข้ามฟ้า ข้างหลังของทั้งสองคือความมืด เนื่องเพราะทั้งสองเดินมาจากความมืด เข็มนาฬิกาแห่งความตายยังคงหมุนวนต่อไปอย่างไร้ความเมตตาต่อสรรพสิ่ง
บัดนี้มือข้างหนึ่งทั้งคู่เกาะกุมกันไว้มั่น อีกข้างหนึ่งกางอ้าทิ้งร่างดำดิ่งลงเงาจันทร์ในพื้นน้ำที่รอคอยอยู่ข้างล่างด้วยความเต็มใจ
ฟากฟ้ามีดาวประดับเพิ่มขึ้นมาอีกสองดวงแล้ว
“อยากเห็นดวงจันทร์ไหมครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยปากทักทายก่อนด้วยคำถาม เหมือนจะมีคำตอบรออยู่ง่ายๆ หญิงสาวยิ้มให้กับคำถาม ด้วยทีท่าสงบราวกับจะมีคำตอบที่ดีกว่ารออยู่แล้ว สายลมสัมผัสผิวแก้มบางเบาเรือนผมบางส่วนสยายเล่นลมหนาว
..
จบแล้วครับ
ขอบคุณ ทุกท่านที่มาเยือนเด้อ