วางแผนไป "ตาก" ไปโผล่ "ตราด" ซะงั้น


จากชื่อกระทู้ผมไม่ได้ขับรถหลงทางหรือปัก GPS ผิดทางแต่อย่างใดนะครับอมยิ้ม01อมยิ้ม01อมยิ้ม01

เมื่อช่วงต้นเดื่อนธันวาคมที่ผ่านมาก็พอจะมีวันหยุดยาวให้ได้เดินทางอีกครั้ง เราวางแผนจะเดินทางไปจังหวัดตากเพื่อสัมผัสกับลมหนาวที่เดินทางมาเยื่อนประเทศไทย แต่เราได้โทรเช็คกับที่พักหลายๆที่ในจังหวัดตาก ปรากฏว่าเต็มหมด T T  (จะทำยังไงได้หล่ะครับก็มันช่วงวันหยุดยาวนี่หว่าา)

ปกติเราจะเที่ยวในช่วงวันธรรมดา ที่คนเค้าไม่เที่ยวกัน แต่ถ้าคิดจะเที่ยวในวันหยุดยาว ตัวเลือกก็คือต้องไปในที่ๆ คนเค้าไม่ไปกัน แผนการเดินทางของเราจึงเปลี่ยน เลือกหันหน้าไปทางจังหวัดที่อยู่ทิศตรงข้ามกับจังหวัดตากนั่นคือ " จังหวัดตราด "

ถ้าพูดถึงจังหวัดตราดหลายคนก็จะนึกถึงเกาะน้อย-ใหญ่ พูดกันตรงๆ ถ้าไม่ข้ามไปเกาะเราก็ไม่รู้จะไปที่จังหวัดตราดทำไม?!!!

แต่บางทีการเดินทางของผมในครั้งนี้อาจจะทำให้พวกเราเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นไป เชิญรับชม

อ้อออ!!!เกือบลืม ขอฝากกระทู้ก่อนหน้านีของผมไว้ด้วยครับ
https://pantip.com/topic/34807539
https://pantip.com/topic/36578762

เป็นเรื่องราวการเดินทางถ่ายภาพในอีกรูปแบบหนึ่ง บางช่วงอาจไม่ได้มาตั้งกระทู้ในนี้
ก็สามารถติดตามกันได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/JourneyPixs

เราออกเดินทางกันสองคนครับ จากพระรามสองช่วงเช้า มุงหน้าสู่ดินแดนทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศไทย โดยข้ามแพรที่ท่าเรือข้ามฟากพระประแดง

เราใช้เวลาร่วม 6 ชั่วโมงในการเดินทาง ก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเรา นั่นคือ "ชุมชนบ้านท่าระแนะ"

(เส้นทางที่มาทางฝั่นนี้ รถบรรทุกเยอะมากทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษ)

พักจนหายเหนื่อยก็ต้องจอดมอไซค์ไว้ที่ฝั่ง และโดดลงเรือมากับลุงณรงค์

ลุงณรงค์แกเป็นวิทยากรคอยให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่บ้านท่าระแนะแห่งนี้หน่ะครับ^^

อ่อลืมบอกไปที่เราลงเรือมานั้นเรากำลังไปเที่ยวชมพื้นที่ๆ ชาวบ้านแถวนี้เค้าเรียกว่า ป่าดึกดำบรรพ์

นั่งเรือมาตามล่องน้ำป่าโกงกางได้ประมาณสิบกว่านาทีก็มาถึง ลานตะบูน หรือ พื้นที่ป่าดึกดำบรรพ์

ความพิเศษของที่ลานตะบูนแห่งนี้คือ จะมีรากของต้นตะบูนที่มีอายุนับร้อยปีปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่ๆ เราเดินเหยียบย่างเข้าไป

มันก็แปลกดีนะครับรากไม้ที่ขึ้นปกคลุมอยู่กลางป่าและเต็มพื้นที่บริเวณนี้ มันชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกจริงๆ

แสงอาทิตย์เริ่มหมดเราออกจากที่นี่กันดีกว่าครับ 55555

ระหว่างทางที่ล่องเรือกับออกมาก็จะพบเห็นเหยี่ยวแดงบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัวของเราขึ้นไปเป็นระยะครับ

ขากลับออกมาลุงณรงค์แกพาขับเรือวนเล่นมาดูทัศนียภาพของพื้นแถวนี้

รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ด้วย

อ่อส่วนภูเขาที่เห็นในภาพลงณรงค์แกบอกว่าคือ เทือกเขาบรรทัด ที่กั้นระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา

พอขึ้นฝั่งเราเดินเล่นกันในหมู่บ้านอยู่พักใหญ่ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีที่พักสำหรับคืนนี้

จึงรีบกล่าวลาลุงณรงค์และออกเดินทางหาที่พักก่อนที่ฟ้าจะมืด

เก็บสัมภาระยังไม่เสร็จดี ก็มีคุณลุงท่านนึงเดินเข้ามาถามเราว่า "หาที่พักอยู่หรอไปพักบ้านลุง มั้ยหล่ะ" เราหันมามองหน้ากันและตอบตกลง ภายหลังจากที่คิดตึกตรองเป็นเวลา 3 วินาที ^____^

อ่อในภาพนั้นไม่ใช่คุณลุงที่เรากำลังพูดถึงนะครับ ภาพไม่เกี่ยวกับคำบรรยาย หัวเราะหัวเราะ

จากท่าเรือที่เราดูป่าดึกดำบรรพ์ ขับรถไม่ถึงนาทีก็ถึงบ้านของคุณลุงที่เราพูดถึง

"จัดแจงเก็บสัมภาระและอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย เดี๋ยวลุงพาไปกินข้าว" คุณลุงเจ้าของบ้านกล่าว

ลืมแนะนำไปคุณลุงเจ้าของบ้านแกชื่อลุงมานะ คนที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ในภาพนั่นแหล่ะครับ

ส่วนคนที่กำลังเซลฟี่อยู่คือชะนีที่ซ้อนท้ายมอไซค์มากับผมนั่นเอง ^^

จบการเดินทางของวันที่หนึ่งเข้านอนได้

เช้าวันที่สองต้องฝืนลุกจากที่นอน หอบเอาร่างที่เหมือนจะไร้วิญญาณ มาอยู่ที่เกาะปู จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นของเช้าวันนี้

พ้อยท์การเดินทางของผมทุกครั้งคือ จะพยายามถ่ายภาพ น้องตามใจ กับสถานที่นั้นๆให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ บอกเลยภาพเยอะกว่าคนซ้อนอีก 555

ตรงจุดนี้คือท่าเรือเกาะปูห่างจากบ้านลุงมานะไม่เกิน 4 กม. อากาศดีและลมแรงมากๆ จากที่ผมง่วงๆเนี่ยตื่นทันที^^

เช้านี้ลุงมานะเองก็ออกมาพร้อมกับพวกเราด้วย แกบอกว่าจะออกมาทอดแห เอาปลาไปทำกับข้าวให้พวกเรากิน^^ น่ารักมั้ยหล่ะ

และนี่คือปลากระบอกที่ลุงแกทอดแหขึ้นมาได้^^

ในจังหว่ะที่ลุงแกทอดแหอยู่นั่นเอง เราก็ขโมยตัวแรงของลุงออกมาขับซิ่งรอบเกาะปู ซะหน่อย^^

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็ขอตัวลาจากลุงมานะ เพื่อออกเดินทางกันต่อ

ต้องขอบคุณลุงมานะอีกครั้ง ที่ดูแลเราเป็นอย่างดี แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เราทั้งคู่สัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่และเป็นกันเอง

จากบ้านท่าระแนะไม่ไกล (ประมาณ15กม.) เราเลือกที่จะมาพักที่โฮมสเตย์บ้านน้ำเชี่ยว

ที่โฮมสเตย์บ้านน้ำเชี่ยวนี้เหมือนเป็นธุรกิจชุมชน จะจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยว ที่สนใจเที่ยวท่องแนววิถีชีวิต ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่นี้

และกิจกรรมแรกคือ.........

เดินข้ามสะพานวัดใจ สะพานวัดใจนี้เป็นสะพานที่คนในหมู่บ้านใช้สัญจรกันปกตินั่นแหล่ะครับ แต่สำหรับเราแล้วมันไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ T T

มองข้างล่างว่าสูงแล้ว พอมายืนอยู่ตรงกลางนี่ยิ่งสูงเข้าไปใหญ่ ชะนีข้างหลังผมนี่เดินตัวสั่นเลย 55555 อ่อนจริงๆ

เราเดินข้ามสะพานเพื่อมาขึ้นเรือที่ท่าฝั่งตรงข้าม

คำถามคือทำไมไม่เอาเรือไปรับผมตั้งแต่ฝั่งโน้นนนนนนนนน!!!!!!!!!

การล่องเรือก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของบ้านน้ำเชี่ยว แต่เค้าไม่ได้พาเราไปดูป่าดึกดำบรรพ์แล้วนะครับ หัวเราะหัวเราะหัวเราะ ครั้งนี้เค้าพาเรามางมหอยปากเป็ดกัน

และภูเขาที่เราเห็นไกลๆในภาพนั่นคือเกาะช้างนะครับ เที่ยวแล้วต้องได้ความรู้ด้วย^^

เรือยังไม่ทันได้จอดทอดสมอดีนัก ลุงคนขับเรือแกก็โดดลงน้ำไปทันที ตูม!!!!!!!!

ดำผุดดำว่ายอยู่สักพัก

แกก็โผล่ขึ้นมาข้างเรือพร้อมกับหอยปากเป็ด หนึ่งกำมือ ^____^

หอยหน้าตาประหลาด มองแล้วชวนขนลุก T T

คำถามแรกที่ถามลุงคนขับเรือคือ มันกินได้มั้ย?

ชะนีที่มาด้วยกันก็นั่งเล่นหอยซะงั้น ประหลาดใจประหลาดใจประหลาดใจ

ได้ลองกินหลังจากที่เค้าเอาไปทำกับข้าวแล้วส่วนตัวหอย รสชาติก็คล้ายกับหอยลาย ส่วนไอ้ตรงหนวดยาวๆในภาพเวลากินแล้วให้ความรู้สึกแปลกๆยังไงบอกไม่ถูก กินไปกินมาก็หมดจานครับ 5555

จัดรูปเท่ๆให้ลุงคนขับเรือสักใบ

ย้อนแสงสักใบ ^____^ ย้อนแสงแบบนี้ตอนถ่ายภาพจะแสบตาเอามากๆ T T

เรือพาเรากลับมาถึงฝั่ง จอดที่ท่าเรือเช่นเดิม และผมก็ต้องเดินข้ามสะพานกลับอีกเช่นเดิม T T

ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยวเป็นชุมชนชาวพุทธและมุสลิม ที่อยุ่ร่วมกันเหมือนญาติพี่น้องครับ ผู้คนที่นี่ใจดีครับยิ้มแย้มและเป็นกันเอง สังเกตุได้จากระหว่างทางที่เราเจอ

ไหนๆก็เดินขึ้นมาอีกรอบ ขอสักรูปละกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่