[CR] ...ภารกิจพิชิตโตเกียวครั้งแรก [วันที่หนึ่งออกเดินทาง]

***หมายเหตุ รูปอาจจะธรรมดาเพราะถ่ายด้วยกล้องจากมือถือครับ

ปีนี้เป็นอีกครั้งที่ผมได้ออกท่องโลกกว้าง หลังจากเมื่อสี่ปีก่อน ได้ไปสัมผัสบรรยากาศต่างแดนครั้งแรกที่ฮ่องกง
และเที่ยวดิสนีแลนด์อย่างสนุกสนานจนไม่อาจลืมได้ ปีต่อๆ มาก็ได้ไปเฉพาะในประเทศเท่านั้น  โดยอาศัยสายการบินประจำครอบครัว


โดยในครั้งนี้ (เหมือนทุกครั้ง) มีผู้ช่วยสำคัญสองท่าน ช่วยเหลือทำให้การเดินทางครั้งนี้สำเร็จลุล่วง


ท่านแรก คุณผู้ชายทำหน้าที่จองเที่ยวบิน ที่พัก จัดการเดินทาง ที่สำคัญคือขนกระเป๋า และนำทาง (พาเดินวนเวียนอยู่หลายรอบ)
คุณผู้หญิงอีกท่านทำหน้าที่จ่ายเงิน อนุมัติการซื้อของ แและตัดสินใจว่าไปที่ไหนบ้าง
ขอขอบคุณคุณอาสาวสุดน่ารัก ที่จัดหาเสื้อยืดให้ครอบครัวเราใส่ไปเที่ยวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ

เราคิดไว้ว่า สักวันหนึ่ง จุดหมายปลายทางที่เราต้องไปให้ได้ คือ ญี่ปุ่น แล้วเราก็เฝ้ารอเวลาให้สุกงอม และแล้วโอกาสก็มาถึง
เมื่อปลายปีที่แล้ว มีโปรโมชันของแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นสายการบินประจำของเรา ทั้งทริปฮ่องกงและในประเทศ
แต่คราวนี้ เราบินไกลไปถึงญึ่ปุ่น ก็คงบินไปกับแอร์เอเชียเอกซ์ โดยโปรโมชันไปกลับดอนเมือง นาริตะ
ตกประมาณคนละ 9,000 บาท แถมด้วยแพคสุดคุ้ม (คุ้มจริง) คือ เลือกที่นั่ง อาหารร้อนบนเครื่อง
และกระเป๋าน้ำหนักบรรทุก 20 กิโลกรัม อีกประมาณพันบาท รวมแล้วเพียงคนละ 10,000 เท่านั้น
โอ้ว เราจะพลาดได้ไง หลังจากจองตั๋วเครื่องบินได้แล้ว พวกเราก็ชิวๆ คิดไปเรื่อยๆ ว่าจะไปไหนบ้าง จะกินอะไรบ้าง

ระหว่างนี้คุณผู้ชายก็สอบถามคุณน้าคุณอาที่ทำงานที่เคยไปโตเกียวว่า ไปที่ไหนดี แวะกินอะไรดี จนได้ข้อมูลคร่าวๆ
(ต้องขอบคุณคุณอาจาก couplescape.com เป็นอย่างมากสำหรับข้อมูล) จากนั้นเราก็จองที่พักแถวอาซากูสะ
โดยพักที่ K’House Tokyo Oasis ที่พักแบบ Hostel หนึ่งในที่ชื่นชอบของคนไทย และชาวต่างชาติ จำนวน 2 คืน
แล้วไปพักแถวทะเลสาบคาวากูจิโกะอีกหนึ่งคืน ก่อนกลับมาพักที่เดิม 3 คืน โดยฝากกระเป๋าไว้
จะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ไป เอาเฉพาะชุดไปเปลี่ยนแค่หนึ่งวัน

ไม่น่าเชื่อว่า วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกเดือนเดียวเราก็ต้องเดินทางแล้ว ระหว่างนี้ก็หาข้อมูลเดินทางในเมือง
สถานที่เที่ยว สภาพอากาศ ซึ่งเข้าสู่ฤดูหนาวในโตเกียวก็จะประมาณ 14 องศาในตอนกลางวัน และ 3 องศาในตอนกลางคืน
แถมบางช่วงอาจจะมีฝน ส่วนทะเลสาปตอนกลางคืน -3 องศาเลยทีเดียว ก็เลยต้องเตรียมเสื้อกันหนาว แจ็คเกต
เสื้อกันฝน ลองจอห์นอย่างเต็มที่



ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ แผนที่อิเล็กทรอนิกส์ หรือ Google Maps ที่จะช่วยเราเดินทางไปถึงจุดหมายได้
รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับคนที่เมืองไทย ซึ่งก็ต้องอาศัยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ผมขอแนะนำ
SIM2FLY ของ AIS ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบประเทศโซนตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย
และประเทศโซนตะวันตก เช่ย อเมริกา ยุโรป เป็นต้น เราเลือกซื้อแบบประเทศโซนตะวันตก
ใช้ข้อมูล 4GB ได้นาน 8 วัน   ซึ่งมากกว่าที่เราเดินทาง ในราคาเพียง 399 บาทเท่านั้น ไม่ต้องพกอุปกรณ์
wifi เพิ่มเติม แคเสียบซิมเข้าไปในโทรศัพท์เท่านั้น หาซื้อได้ตาม AIS Shop และ Telewiz ทั่วไป
สะดวกมากๆ แถมใช้ก็ง่าย เราไปใส่ซิมวันที่ถึงญี่ปุ่นแล้ว ก็ใช้งานได้ แถมเน็ตรวดเร็วมาก
เพราะเชื่อมโยงสัญญาณกับ SoftBank ผู้ใช้บริการเครือข่ายอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น อันนี้เป็นไอเท็มที่แนะนำ
อ้อ ยังเปิดเป็นฮอตสปอตให้เครื่องอื่นต่อสัญญาณได้ด้วย ไม่มีปัญหาใดๆ


หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว วันที่ 1 ธันวาคมก็มาถึง เราตื่นตั้งแต่ตี 4 เมื่อไปถึงดอนเมืองก่อนหกโมงเช้า
เพราะเป็นวันทำงาน รถคงจะติดพอควร มาถึงแล้วถ่ายรูปตัวเองซะหน่อย


จากนั้นเราก็เดินไปหาอะไรกินเป็นอาหารเช้า ก็เลือกที่ราคาสบายกระเป๋า มีอาหารให้เลือกเยอะ
เป็นที่ชื่นชอบของนักเดินทางที่อยากกินข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยว เราเดินไปสุดปลายทางอาคาร 1 ไปที่ชั้น 2
ที่เดียวกับร้านอาหารอีสานที่มีชุดอาหารเช้าแบบฝรั่ง และก็เซเว่น แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปหน่อย แล้วเดืนตรงไปอีกนิด
ก็อิ่มอร่อยได้ในราคาประหยัด



จากนั้นก็มารอเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบินสุดโปรด เคาน์เตอร์เปิด 7.30 แต่คนก็รอต่อแถวกันละ
มีช่องพิเศษสำหรับ Red Carpet ลูกค้าคนพิเศษ และลูกค้าบัตรเครดิตของสายการบิน เราก็ไปต่อช่องปกติก็ไม่ได้นานอะไร
เพราะแบ่งๆ กันไปหลา่ยช่อง ในระหว่างชั่งน้ำหนักโหลดกระเป๋า ที่เคาน์เตอร์ข้างๆ พี่ผู้หญิงคนนึงไม่ได้ซื้อน้ำหนัก
กระเป๋ามาล่วงหน้า อาจจะคิดว่าเขาให้โหลดได้ฟรี เลยต้องเสียเงินค่ากระเป๋าไป 1,800 บาท จึงอยากแนะนำว่า
ควรซื้อน้ำหนักกระเป๋าไปด้วย ถ้าน้ำหนักไม่มาก ตอนไปอาจจะไม่ต้องซื้อ แต่ขากลับรับรองของฝากจะมาอีกตรึม
ยังไงก็ซื้อไว้ก็ดีครับ


โหลดกระเป๋าเสร็จ ก็เดินตัวปลิวมาต่อแถวตรวจคนออกนอกประเทศ ดูเหมือนดอนเมืองจะแก้ปัญหา
ไปได้บ้าง ไม่ได้รอนานอะไร หรือเป็นเพราะยังเช้าอยู่ไม่รู้ครับ พอผ่านเอ็กซเรย์กระเป๋า ก็เจอเลาจ์นี้


อืมน่าสนใจ คุณผู้ชายมีสิทธิพิเศษอะไรไหม เลยเดินเข้าไปถาม พนักงานบอกมีโปรโมชันพิเศษ
ของบัตรเบ่งอย่าง SCB PRIME ที่สามารถนำผู้ติดตามเข้าไปได้ 1 ท่าน โดยนำสิทธิ์ที่ได้รับในการ
ใช้เลาจ์ปีละสองครั้งมาใช้สำหรับผู้ติดตามได้ ดังนั้นเราจึงใช้สองสิทธิ์เพื่อเข้าไปสองคน
ส่วนอีกคนก็จ่ายเพิ่ม โดยนำตั๋วแอร์เอซียลดได้ 30% ก็ถือว่าจ่ายแค่คนเดียวในราคาลด 30%


โอเค ชำระเงินแล้วเข้าไปกันเลย มีเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าๆ นั่วชิวๆ กินอาหารและเครื่องดื่มไปพลางๆ
แถมยังมีพนักงานนวด ที่อัธยาศัยดี คุยสนุก และนวดมืออาชีพมานวดให้คนละ 15 นาทีด้วย
คุ้มสุดๆ อาหารก็มีให้เลือกอยู่พอควร ส่วนเครื่องดื่มก็เลือกได้ตามใจ จะร้อน จะเย็น หรือสั่งกาแฟที่ชงสดก็ได้
เรียกได้ว่า อิ่มแถมสบายด้วย



เมื่อใกล้ถึงเวลาเครื่องออก เราก็เดินไปที่เกต เพื่อทักทายเครื่อง A330-300 ของแอร์เอเชียเอ็กซ์ซะหน่อยก่อนเดินขึ้นเครื่อง

ผมเคยฝันไว้ว่าโตขึ้นจะเป็นนักบินขับเครื่องบินแอร์เอเชียนี่แหละ ด้วยความผูกพันที่นั่งกันมาตลอด ก็เลยมาตอกย้ำความฝันอีกที เครื่องบินนี้ลำใหญ่กว่าลำที่นั่งในประเทศ ภายในเป็นสามแถว แถวละสามที่นั่ง คุณผู้ชายจองให้ผมติดหน้าต่างเสมอ เผื่อจะได้คุ้นเคยเวลาต้องขับเอง อิอิ
และแล้วก็ถึงเวลาเครื่องออก แอร์ในชุดแดงสุดสวยที่ซักวันต้องมาทำงานด้วยกัน แต่คงไม่ใช่คนปัจจุบัน ก็มาแนะนำวิธีใช้อุปกรณ์ฉุกเฉิน สักพัก็มาเซิร์ฟอาหารที่ได้สำรองไว้ เป็นข้าวหน้าไก่เทอริยากิ พร้อมน้ำดิ่มหนึ่งขวด ก็อร่อยดีครับ แล้วเราก็หลับไปตลอดทาง เนื่องจากเป็นเครื่องลำใหญ่นั่งสบาย นิ่ง เงียบ ไมรู้สึกถึงอาการหูอื้อเลย จนใกล้ถึงสนามบินนาริตะ กัปตันก็ปลุกทุกคนขึ้นมา ให้พร้อมนำเครื่องลงจอด เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง  ถึงสนามบินเวลา 18.05 เวลาของญี่ปุ่น



จากนั้นเราก็มารอรับกระเป๋า ใส่รถเข็นเพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมือง เราก็ไปซ์้อที่เคาน์เตอร์ตามที่กระทู้เที่ยวญี่ปุ่นอื่นๆ แนะนำไว้ แต่เราต้องการตั๋วไปกลับ พร้อมกับรถไฟใต้ดิน 1 วัน พนักงานให้ไปซื้อที่ชอปของ Keisei ก็เลยต้องไปต่อคิว เพราะคนเยอะมาก ขาไปเราซื้อ SkyAccess เพราะถูกหน่อย  แล้วซื้อ SkyLiner ขากลับพร้อมตั๋วรถไฟ 1 วัน สำหรับตะลุยตัวเมืองในวันพรุ่งนี้ ได้ตํ๋วแล้วก็เดินไปที่รอที่สถานี รถไฟจะมาตรงเวลามาก


และนี่เป็นครั้งแรกที่หลง เพราะเราคิดว่า ที่สถานีตามเส้นทางเดินสายสีส้ม (SkyAccess) คงมีแค่รถไฟเดียว พอรถไฟมาเราก็ขึ้น ปรากฎว่า คนอื่นไม่ได้ขึ้นตามมาด้วย เอาละสิ.. เราก็งงๆ เพราะอ่านอะไรไม่ออกเลย โชคดีเจอพี่ผู้ชายคนไทยสองคน แนะนำว่าคันนี้แหละให้ไปลงที่ OOTO เพื่อต่อรถไฟไปอาซากูสะ พอถึงสถานที OOTA เราก็ลง แล้วไม่รู้ไปต่อสถานีด้านไหน โชคดีอีกที่มีคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งจะไปอาซากูสะเหมือนกัน ก็เลยเดินตามเขาไป ต่อรถไฟคันเดียวกัน จนถึงสถานีปลายทางก็ลงพร้อมกัน จากนั้นก็ต้องแยกกันเดินละ เพราะพักคนละที คุณผู้ชายก็งงๆ เพราะไม่ได้มีป้ายบอกว่าให้ไปไหน ยังไง เวลาก็สามทุ่มกว่าแล้ว พนักงานที่โรงแรมรอเช็คอินถึงแค่สี่ทุ่ม ก็เลยต้องเปิด Google Maps ที่ใช้ SIM2FLY นำทางไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งค่อนข้างไกลมากประมาณ 1 กิโลเมตร พอออกจากสถานีมาบนถนน อากาศหนาวมาก ก็เลยเปิดกระเป๋าที่เก็บเสื้อกันหนาวออกมาใส่อย่างเต็มยศ


แล้วลากกระเป๋าไปจนถึงโรงแรมเกือบสี่ทุ่มพอดีโล่งออกไป


ใกล้ๆ ที่พักก็มีที่ฝากห้องอย่าง FamilyMart ด้วย สบายหน่อย


เช็คอินได้กุญแจก็เอากระเป๋าไปเก็บ พร้อมสำรวจห้องน้ำก่อน


จากนั้นก็ออกเดินไปกิน Tsukiya ที่ใกล้ๆที่พัก เขาเปิดถึงเที่ยงคืน โชคดีมีเมนูภาษาอังกฤษ แต่ปรากฎว่าพนักงานพูดภ่าษาอังกฤษไม่ได้ แต่อายุเขาก็ไม่มาก เลยสงสัยว่าคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นไม่ได้ให้ความสนใจกับภาษาอังกฤษมากเท่าไหร่ ก็ต้องใช้ภาษามือ จนได้อาหารที่ต้องการ



แม้จะมีรายการผิดพลาดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซีเรียส จากนั้นเราก็กลับเข้าที่พัก เอาของออกจากกระเป๋า แล้วอาบน้ำนอนกัน

แล้วพบกันตอนต่อไปครับ
ชื่อสินค้า:   เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว แบบครอบครัว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่