[SPOIL] The Third Murder ควรดูอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานด้านทนายความ/ผู้พิพากษา ใครดูแล้วมาคุยกันครับ

เพิ่งไปดูมาครับ ไม่แน่ใจเลยว่าเข้าใจได้ทั้งหมด ดูแล้วอึดอัดมากว่านี่มันเฉลยความจริงกับเราบ้างไหมนะ

ผมรู้สึกว่าส่วนที่เชื่อได้ว่าเป็นความจริงแน่นอนนั้นแทบไม่มีเลย จะมีก็แค่ฉากเล็กๆน้อยๆที่เป็นการได้ข้อเท็จจริงมาโดยการสอบสวนของชิเงโมริ (เช่นที่เดินไปเจอลูกสาวอ่านหนังสือสัตวแพทย์ฮอกไกโด ฯลฯ) ฉากฆ่าที่หนังย้อนให้ดู ก็ไม่รู้ว่านั่นคือความจริงหรือว่าแค่ทำเพื่อสะท้อนจินตนาการและความคิดของตัวละคร ณ ขณะนั้น

อยากชวนเพื่อนๆมาแลกเปลี่ยนกันครับ



[SPOIL ALERT]



ตอนแรกอยากจะเขียนว่าผมคิดว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่เขียนไปเขียนมาก็รู้สึกว่ามันหาข้อสรุปไม่ได้เลย แล้วไม่รู้ว่าฉากฆ่าหรือฉากแทรกๆ ประกอบนั้นเป็นเรื่องจริงที่หนังให้เราได้ดูหรือเป็นเรื่องในจินตนาการของตัวละครตัวไหนให้ดู

ที่นี่ไม่มีใครพูดความจริงเลย

แต่สิ่งที่สำคัญที่ผมชอบคือตอนท้ายสุดที่ลูกสาวผู้ตายพูดสั้นๆ กับทนายว่า "เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ที่นี่ไม่มีใครพูดความจริงเลย" ฉากนี้คือเปรี้ยง ตบหน้ากันแบบแรงๆ แล้วเดินจากไป

แรงจูงใจในการกระทำของตัวละครมันเป็นสิ่งที่เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่เข้าใจยากไปหมด ทุกคนรอบตัวดูมีเหตุผลที่อยากให้ผู้ตายเสียชีวิต แต่สุดท้ายใครทำใครวางแผนก็ไม่รู้ ฉากลูกสาวของทนายที่มานั่งกินข้าวกับพ่อแล้วโชว์ร้องไห้ให้ดูว่า ของแบบนี้ง่ายจะตาย ทำแล้วหลอกคนได้ไปทั่ว เหมือนจะบอกคนดู (และชิเงโมริ) ว่าการร้องไห้ที่เห็นต่อจากนี้ชี้วัดความจริงอะไรไม่ได้เลย ทั้งเมียผู้ตายที่ร้องไห้ต่อหน้าชิเงโมริ หรือลูกสาวผู้ตายที่ร้องไห้ตอนมาเล่าเรื่องโดนผู้ตายข่มขืน อันไหนจริงบ้างก็ไม่รู้

ในฐานะที่เป็นทนายคนหนึ่ง เราจะถูกสอนมาว่าให้ดูที่หลักฐาน Evidence speaks, dead man doesn't อย่าไปตามหา "ความจริง" เพราะมันหาไม่เจอหรอก คนตายแล้วพูดไม่ได้ คนที่ยังไม่ตายจะพูดอะไรก็ได้ ถ้าใครได้ดู อุโมงค์ผาเมือง (หรือที่เขาอ้างกันว่าเป็นราโชมอนฉบับไทย) จะเห็นว่า แม้แต่คนตายไปแล้วที่มาเข้าร่างทรง ยังมีเหตุผลที่อาจจะโกหกก็ได้เลย (ยังไม่นับว่าร่างทรงโกหกรึเปล่าด้วยนะ)

แต่หนังเรื่องนี้หลักฐานน้อยมาก SMS ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ภาพในแท็กซี่ที่ไม่ได้บอกอะไรเท่าไหร่ เมียก็อยากให้ผัวตาย (เอาเงินประกัน) ลูกก็อยากให้พ่อตาย (พ่อเป็นนักธุรกิจขี้โกง + ถ้าข่มขืนเป็นเรื่องจริงก็ซัพพอร์ตตรงนี้ได้) จำเลยก็อยากให้ตาย (ค่าแรงเอารัดเอาเปรียบ + นักธุรกิจขี้โกง + ถ้าข่มขืนเป็นเรื่องจริงก็ซัพพอร์ตตรงนี้ไปอีก) คนรอบตัวผู้ตายเป็นคนที่อยากให้เขาตายหมด

คุณจะมาเอาอะไรกับฆาตกร

อีกคำพูดที่น่าสนใจคือตำรวจคดีเก่าที่บอกว่า มิสึมิ (จำเลย) น่ากลัวเพราะเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า ไม่โกรธ ไม่มีอารมณ์อะไรเลย เห้ยผมว่าอันนี้จริงนะ มันทำให้เราหาที่มาที่ไปในการกระทำของเค้าไม่ได้เลย ใครเป็นทนายให้คนแบบนี้คงปวดหัว แล้วบทสนทนาของจำเลยกับทนายจำเลย ไม่รู้จะเอาอะไรมาคิดได้บ้าง ตอนที่มิสึมิบอกว่า "คุณจะมาเอาอะไรกับฆาตกร" เหมือนจะบอกเราว่า เค้าเองยังไม่เหลือความอยากที่จะเอาตัวรอดเลย เหมือนมันไม่มีแรงจูงใจอะไรให้เค้าต้องพยายามต่อสู้ปกป้องตัวเองแล้ว ความจริงคืออะไรก็ไม่จำเป็นต้องพูด

ฉากดราม่ารอบสุดท้ายที่เหมือนจะจี้ว่า คุณเชื่อผมไหม ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้อยู่ที่ริมแม่น้ำเลย มันเล่นกับความรู้สึกชิเงโมริ (และคนดู) มากๆ เลย ในจังหวะนั้นเราจะรู้สึกว่า เห้ย คนที่ดูอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ร้องไห้และดูจริงจังที่สุดนับแต่ที่ได้เห็นมา พูดขนาดนี้ มันควรจะเป็นเรื่องจริงสิ แต่เอาเข้าจริงก็เชื่อถืออะไรไม่ได้เลย

ผมรู้สึกว่าหนังไม่ได้เล่นกับเรื่องการโกหกของทุกคนอย่างเดียว แต่มันเล่นกับกระบวนการยุติธรรมด้วย ทุกคนมีแรงจูงใจในการกระทำอะไรบางอย่างหมด อยู่ที่เราจะรู้หรือไม่รู้ แม้แต่ผู้พิพากษา ยังมีแรงจูงใจในการตัดสินคดีออกมาเลย ศาลบางทีก็อยู่ในสถานะเดียวกับทนายนะ ใครๆก็อยากรู้ความจริง แต่พอคุณอยู่ในระบบไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ว่า มันไม่มีวิธีไหนหรอกที่จะได้ความจริง จริงๆ ออกมา มันทำได้แค่พิจารณาตามเนื้อความ สิ่งแวดล้อม หลักฐาน แล้วออกคำพิพากษาที่คุณเชื่อว่าใกล้เคียงกับความยุติธรรมที่สุดออกมา

สุดท้ายผมเชื่อนะว่ามิสึมิคือคนที่น่ากลัวที่สุด การที่เสียสิ่งที่มีคุณค่ารอบตัวไปหมดจนไม่เหลือความต้องการอะไร กลายเป็นความไม่รักตัวกลัวตายของเค้านี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายและทำอะไรไปโดยที่เขาใช้ mindset ว่า โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ มีคนที่มีค่าให้อยู่ต่อ มีคนไร้ค่าที่ควรจะตาย มีคนที่ไม่ควรจะเกิดแต่ต้น มีคนพิพากษา และมีคนถูกพิพากษา นก 5 ตัวของเขาน่าจะสื่อตรงนี้ได้ดีว่า เขาเลี้ยงมันมาเอง แล้วเค้าก็ตัดสินเองว่าต่อจากนี้มันควรจะตายได้แล้วเพราะคงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับมัน แต่ก็ปล่อยไปตัวนึงก็ได้ มันเหมือนความย้อนแย้งในตัวว่า เค้าทำตัวเป็นคนพิพากษา แต่เค้าก็ไม่ได้มีหลักการอะไรขนาดนั้น แค่นึกอยากจะเล่นกับชีวิตเมื่อไหร่ก็เล่นได้ พอไม่เห็นค่าชีวิตตัวเอง ก็เลยไม่เห็นค่าชีวิตคนอื่นด้วย

ความอยากรู้อยากเห็นเป็นภัย?

หนังอาจดูแล้วอึดอัดสำหรับคนที่ชอบนวนิยายหรือหนังแนวสืบสวนสอบสวน (ยิ่ง Murder on the Orient Express เพิ่งชนโรงไปไม่นานด้วย) เพราะมันไม่ใช่การมาสืบสวนแล้วโชว์พลังจับคนร้ายแบบโคนัน แต่มันเล่นกับความคิดของคนความรู้สึก "อยากรู้ความจริง" ของคนแล้วหลอกให้เราโดนปั่นหัวไปพร้อมกับชิเงโมริ ฉากจบที่ชิเงโมริยืนงงอยู่กลางสี่แยกนี่คือเข้าใจมากๆ อยากจะเดินไปตบไหล่แล้วบอก "กรูก็งงเหมือนยิ้มนั่นแหละ"

ชิเงโมริตอนแรกดูเหมือนจะเป็นทนายสายแข็งแบบที่คนเขาปรามาสกัน ตอนแรกชิเงโมริพูดว่า "ไม่ต้องทำความรู้จักลูกความ" เขาจะดูแค่ที่หลักฐาน ไม่ต้องไปสนใจว่าความจริงคืออะไร ซึ่งก็คงตรงกับทนายแก่ เซ็ทสึ แต่อาจจะขัดใจทนายหนุ่มหน้าใหม่ที่ยังดูขัดแย้งกับวิธีการเหล่านั้น สุดท้ายโดนความอยากรู้อยากเห็นปั่นหัวให้ไปตามล่าหาความจริงเอาเอง สุดท้ายเป็นเขาเองที่หัวร้อนอยากจะรู้จักมิสึมิมากที่สุด แล้วก็กลายเป็นผู้แพ้ในเกมไป


หมดแล้วครับ ดูแล้วอัดอั้นต้องขอระบายออกมา เพื่อนๆไปดูมาแล้วคิดเห็นอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ผมคิดเขียนอาจจะไม่ตรงกับที่เพื่อนๆวิเคราะห์กันออกมา ยินดีแลกเปลี่ยนครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ภาพยนตร์ ภาพยนตร์ต่างประเทศ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่