ข่มขืนเด็กผ่านหลายปีเพิ่งเอาเรื่อง พอยกฟ้องก็ประจานจนโดนฟ้องหมิ่นประมาท

อันนี้ผมใช้แอคหลุมมาเล่านะ เปิดตัวตนไม่ได้ เพราะคดีนี้มีเด็ก

ผมมีอาชีพเป็นทนายแล้วมีคนรู้จักขอให้มาทำคดีของ เด็กหญิงไก่ (นามสมมุติ)

เรื่องคือ ย้อนไปตอนน้องอายุ 3-5 ขวบโดนข่มขืนกระทำชำเราโดยนายดำ(นามสมมุติ)ลูกพี่ลูกน้องวัยรุ่นอายุ (15-18) แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคุณแม่ของน้องเขายังไม่อยากให้น้องรู้ว่าโดนข่มขืนกลัวมีปม เลยยังไม่เอาความ แต่เวลาผ่านไปเด็กหญิงไก่เริ่มรู้เรื่องเพศศึกษา จำเหตุการณ์ได้และ อยากแจ้งความ คุณแม่เลยมาหาผมแล้วขอให้ผมเป็นทนายให้บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด 

ผมเข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาหาทนายที่เป็นคนรู้จัก เพราะเป็นไปได้ว่าทนายคนอื่นอาจไม่รับเรื่องเพราะ
1. คดีผ่านมา ประมาณเกือบจะ 10 ปีแล้ว พยานหลักฐานหาเพิ่มเติมไม่ได้เลย ถึงอายุความยังไม่หมดแต่ก็เอาเรื่องยาก
2. ไม่มีคลิปจากกล้องวงจรปิด ไม่มีผลตรวจร่างกาย ไม่มีอะไรเลย เพราะคุณแม่เชื่อว่าแค่ให้ตรวจว่าเยื่อพรหมจรรย์ขาดก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดการข่มขืน
มาถึงตรงนี้ผมถึงกับงงเลย คือเยื่อพรหมจรรย์มันสามารถขาดได้เองจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ออกกำลังกาย ขี่จักรยาน ฯลฯ  ดังนั้นการเชื่อว่าเยื่อพรหมจรรย์ขาดแปลว่าผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาไม่ใช้ความจริง ส่วนเรื่องร่องรอยการฉีกขาดที่อวัยวะเพศจากการโดนขืนใจ มันผ่านมา 10 ปีแล้วร่องรอยย่อมหายไปตามเวลา

ผมก็บอกคุณแม่ไปตรง ๆ ว่าโอกาสโดนยกฟ้องสูงมาก แต่คุณแม่เขาบอกว่ามั่นใจมากว่าจะชนะเพราะ ศาลเชื่อว่าผู้หญิงที่มาแจ้งความย่อมเสียชื่อเสียงอยู่แล้ว และน้องตอนนั้นอายุ 13-15 ศาลมักเชื่อว่าเด็กไม่โกหก ส่วนตัวตรงนี้ผมมองว่าไม่เป็นความจริง เพราะ ผมทำคดีเด็กและเยาวชนมาเยอะ บอกเลยว่าเด็กสมัยนี้ แค่ 7 ขวบ โกหกเก่ง เล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะ บางครั้งที่รู้ว่าโกหกไม่ใช่เพราะเล่าเรื่องมีช่องโหว่ แต่เพราะมีหลักฐานว่าโกหก เช่น กล้องวงจร ฯลฯ โดยเฉพาะยิ่งเข้าช่วงวัยรุ่นศาลเขาเริ่มให้น้ำหนักคำให้การเท่าผู้ใหญ่แล้ว 

พอดำเนินเรื่องตามกฏหมายเรียบร้อยจนถึงชั้นศาล ผ่านไปสักพักใหญ่ก็ขึ้นศาล ทางผู้เสียหายฟ้อง ม.279 วรรค5(ข่มขืนเด็ก)  และ ม.317(พรากเด็ก) ตอนให้เด็กหญิงไก่ขึ้นมาให้การ เด็กก็ให้การปกติดีเพราะมีนักจิตฯ คอยช่วย แต่พอนายดำขึ้นมาให้การ แม่เด็กจู่ ๆ ก็ตะโกนแทรกไปประมาณว่า โกหก ไม่จริง ลูกสาวเขาไม่มีทางแต่งเรื่อง ร้องไห้โวยวาย จนเกือบโดนเจ้าหน้าที่ไล่ออกไปที่อื่น

ศาลตัดสินยกฟ้อง อันนี้ผมก็เข้าใจได้ เพราะ ผู้พิพากษามีหลักการว่าสันนิฐานว่าบริสุทธิ์ presumption of innocence คือประมาณว่าหากไม่สามารถมั่นใจได้ว่าความจริงอย่างไร ไม่รู้ว่าจำเลยมีความผิดจริงไหม จะต้องสันนิฐานว่าจำเลยบริสุทธิ์ ยกประโยชน์ให้จำเลยและยกฟ้อง

ตอนนี้แม่เด็กสติแตกเลยด่า ว่า พูดคำหยาบ จนต้องพาคนมาอุ้มออก พออกไปได้แม่เด็กก็ไม่ฟังแล้วกล่าวหาว่าผมเข้าข้างนายดำ ไปรับเงินจากฝ่ายนายดำมา แล้วจะไปหาทนายคนอื่น ผมก็ถอนตัวไป

ต่อมาพบว่า แม่เด็กโพสต์ด่า ขู่ฆ่านายดำใน FB เล่าเรื่องคดี เล่าเรื่องในชั้นศาล ประจานชื่อนามสกุลนายดำ ผมก็โทรไปห้าม เพราะ คดีนี้เป็นคดีเยาวชน ห้ามมีการเปิดชื่อ หรือ กระทำการใด ๆ ให้สามารถรู้ถึงตัวตนได้ แม่เด็กก็ไม่ฟัง แล้วเอาผมไปโพสต์ด่าต่อ แต่ด่าหนักถึงพ่อ แม่ แฟนของผม หนักขนาดเอารูปมาแปะ แล้วเขียนด่า ผมก็เลยแจงความหมิ่นประมาทกลับไปเพราะ คำด่านั้นส่งผลกับหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัวผมมาก ก็ไกล่เกลี่ยกันเรียบร้อย เขายอมลบโพสต์ ผมก็ถอนฟ้อง

แต่ทางฝั่งนายดำแจ้งความ หมิ่นประมาท ขู่ฆ่า ฯลฯ ถามว่าผมรู้ได้ยังไง ก็เพราะทางแม่เด็กก็ยังไม่ยอมหยุดโพสต์เล่าเรื่อง ด่าหนักถึงกับแปะรูปผู้พิพากษา แล้วทางแม่เด็กก็หยุดโพสต์ไป คงเพราะ โดนคดีจำนวนมหาศาลจนต้องเลิกไป

ที่ผมอยากจะออกมาเตือนคือ 
1. คดีข่มขืนต้องรีบเก็บหลักฐาน ไป รพ เพื่อตรวจร่างกายและ แจ้งความโดยเร็ว คือผมก็เข้าใจแหละว่าเหยื่อต้องใช้เวลาทำใจกับเรื่อง แต่ก็ต้องเข้าใจคนกลางที่มาตัดสินคดีด้วยว่าการจะเอาคน ๆ นึงเข้าคุกหรือตัดสินถูกผิดมันไม่ได้ง่าย ๆ ยิ่งขาดหลักฐานยิ่งตัดสินลำบาก อย่ามัวแต่คิดว่า เป็น ผู้หญิง หรือ เด็กยังไงศาลก็เชื่อ อย่างนี้ผมเจอมาเยอะแล้วบอกเลยว่าส่วนมากจบที่ยกฟ้องครับ

ผมไม่ได้จะซ้ำเติมเหยื่อนะ แต่ความจริงคือถ้าคุณใช้เวลาทำใจนาน ไม่ยอมเก็บหลักฐาน ก็ต้องยอมรับว่าจะเอาผิดคนร้ายได้ลำบากเหมือนกัน

2. การประจานไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา คนบางคนเชื่อว่าถ้าเอาผิดทางกฎหมายไม่ได้ก็ให้เอาผิดทางสังคม ผมแนะนำว่าอย่าเลย เพราะนอกจากจะต้องเสียเวลาขึ้นศาลหรือสู้คดีแล้ว ยังเสียค่าปรับอีก และก็ไม่ใช่ว่าคนที่มาอ่านทุกคนจะเชื่อนะ เผลอ ๆ จะเป็นการทำให้เรื่องบานปลายอีก

3. การโวยวายในชั้นศาลไม่ได้ทำให้เขาสงสาร แต่จะเป็นการรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่มากกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่