What’s For Dinner, Mom? : เมนูนี้ ยังคิดถึง
" อาหารอันอบอุ่นจากฝีมือแม่ ใครดูก็ต้องย้อนคิดถึงตัวเอง... "
เคยได้ยินว่า
" ถ้าหนังเรื่องไหนดี นึกถึงเรื่องนั้นกี่ครั้ง เราจะไม่มีวันเบื่อ เพราะ ทันทีที่เรานึกมันจะมีเรื่องให้เราประทับใจเสมอ "
วันนี้ผมอยากจะมาแนะนำหนังเกี่ยวกับแม่บ้าง (จริงๆที่เพิ่งผ่านไปเป็นวันพ่อ - -) เท่าที่ผมนึกออกและประทับใจ มีอยู่ 2 เรื่อง เป็นหนังญี่ปุ่นทั้งคู่ เรื่องแรก
Tokyo Tower (2007) เรื่องนี้คิดว่าหลายคนอาจเคยได้ยินผ่านหูมา เป็นหนังเกี่ยวกับแม่เรื่องแรกที่ผมดูแล้วน้ำตาไหล ผมมีเขียนมินิรีวิวอยู่ข้างล่าง ใครสนใจก็อ่านได้นะครับ
ส่วนเรื่องที่สองหรือเรื่องหลักที่วันนี้ผมอยากจะมารีวิว ก็คือ
What’s For Dinner, Mom? (2016) หนังญี่ปุ่นที่ฉายเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ผมได้ดูก็คิดว่า หนังมีเรื่องให้ขบคิดและกระแทกใจเราได้ลึกซึ้งพอสมควร เลยอยากจะนำมาเล่าในวันนี้
What’s For Dinner, Mom? หรือ
Mama, gohan mada? กำกับโดย
Mitsuhito Shiraha โดยเนื้อเรื่องสร้างมาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของพี่น้องสองคนซึ่งเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น - ไต้หวัน
ทาเอะ (ฮารุกะ คินามิ) และ โย (อิซุมิ ฟุจิโมโตะ) เมื่อทั้งสองเดินทางกลับไปที่บ้านของตนที่เคยอยู่ในวัยเด็ก ก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตซึ่งเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับ
คุณแม่ (มิชิโกะ คาวาอิ) ผู้ซึ่งรักในการทำอาหารจีน (ไต้หวัน) วันเวลาทั้งหลายจึงย้อนกลับมาอีกครั้งทั้งในสมัยที่พวกเธออยู่ไต้หวันและตอนย้ายกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่น
What’s For Dinner, Mom? : อาหารอันอบอุ่นจากฝีมือแม่
What’s For Dinner, Mom? เป็นหนังญี่ปุ่นที่ดูแล้วอบอุ่นมาก หนังเล่าเรื่องราวชีวิตระหว่างแม่กับลูก ตั้งแต่ยังตัวเล็กๆจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ระหว่างทางชีวิตต่างๆผ่านเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะสมัยอยู่ไต้หวัน เรื่องเศร้าเมื่อพ่อของพวกเธอเสีย หรือยามที่ลูกๆเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่และห่างเหินกับแม่ ภาพความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวัน และวันสุดท้ายเมื่อแม่จากไป ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะมีสิ่งหนึ่งที่ยึดโยงเรื่องราวเอาไว้ คือ
"อาหารไต้หวัน"
ชีวิตของทาเอะและโยถูกหล่อหลอมผ่านอาหารไต้หวัน แม่ของเธอชอบทำให้พวกเธอกินอยู่สม่ำเสมอ ดังนั้นพวกเธอจึงผูกพันกับแม่ผ่านอาหารไต้หวันมาก ซึ่งพอเมื่อแม่จากไปแล้ว ก็หาโอกาสได้ยากที่จะได้กลับมาลิ้มรสฝีมือ กลิ่นอายเดิมๆเหมือนครั้งที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เคยสัมผัสและมีประสบการณ์ร่วม เรามักจะจดจำถึงรสชาติฝีมือแม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม
หนังทำให้เราย้อนนึกถึงตัวเอง และเห็นภาพความรักความผูกพันของพ่อแม่ที่มีต่อเรา เวลาทั้งหลายไม่เคยหยุดหมุน เราอาจจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกท่าน แต่จริงๆแล้วท่านกำลังแก่ลงเรื่อยๆ และถึงวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป เหลือไว้แต่ความทรงจำให้นึกถึง
มุมมองหนัง - โทนหนังสไตล์หนังญี่ปุ่นสายรางวัล
ถ้าพูดถึงสไตล์หนัง
What’s For Dinner, Mom? ต้องบอกว่ามันจะออกโทนกึ่งสารคดีหน่อย คือเน้นเรียลและนิ่ง เหมือนกับชีวิตของคนจริงๆ นี่เป็นอีกเอกลักษณ์การสไตล์หนังแบบญี่ปุ่นที่นิยมมากหากเป็นสายหนังรางวัล มันจะเรียลโคตรๆ จนเหมือนว่าเราดูชีวิตคนจริงๆเลยแหละ แม้กระทั่งเสียงดนตรีประกอบก็จะถูกใช้ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงคนและเสียงบรรยากาศในขณะนั้นมากกว่า
การดำเนินเรื่องของหนังก็เนิบๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง แต่ดูความละเมียดละไม ดูได้แบบเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าคนที่ไม่เคยดูสายหนังรางวัลญี่ปุ่นหรือหนังดราม่าญี่ปุ่นมาก่อน ก็ต้องระวังหน่อยเพราะ อาจจะรู้สึกว่าหนังมันอืดอาด ไม่ฉับไวและเบื่อได้ ไม่เหมาะกับคนที่ชอบอะไรไวๆ
ในส่วนนักแสดง สำหรับผมว่าแสดงดีทุกคนเลย เป็นธรรมชาติมาก ไม่มีติดขัดใดๆทั้งสิ้น ในหนังก็มีฉากประทับใจอยู่หลายฉากและช็อตที่ทำให้น้ำตาคลอได้ (เช่น ฉากขวดไหตอนใกล้จบ) ตัวหนังมีการใส่ความดราม่าเข้ามา แต่ก็ไม่ได้บีบเค้นอย่างจงใจ หนังค่อยๆปล่อยให้เรื่องราวต่างๆซึมเข้ามาในตัวเรา เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของหนัง อินกับด้วยหนังด้วยความเป็นธรรมชาติ
สรุป
สำหรับผม
What’s For Dinner, Mom? (2016) ผมให้คะแนน
8.4/10 (หนังที่เป็นธรรมชาติและอบอุ่นมาก) เป็นหนังที่อบอุ่นและให้ความรู้สึกดีๆกับเรา รวมถึงภาพชีวิตคนหนึ่งตั้งแต่เล็กจนโต แม่ตั้งแต่แต่งงานจนถึงบั้นปลายชีวิต การดูหนังเรื่องนี้ จะทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของคนรอบข้างโดยเฉพาะพ่อกับแม่มากขึ้น พยายามเก็บเรื่องดีๆไว้ เพื่อที่วันที่พวกท่านไม่อยู่แล้ว เราจะได้มีเรื่องดีๆนึกถึง
จริงๆ หลังจากที่ผมดูจบ ผมก็รู้สึกดูคล้ายๆกับเรื่อง Boyhood (2014) นะ เป็นเรื่องราวชีวิตที่สามารถจบได้ในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ถือว่าหนังทำได้ดีเลยแหละและควรค่าแก่การดู ยิ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงสุดท้ายของปีแล้ว ถือเป็นอีกบรรยากาศที่เหมาะกับการดูหนังครอบครัวดีๆ เพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆในชีวิต
" เวลาไม่เคยหยุดเดิน อย่าลืมดูแลคนที่เรารัก และเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้ "
8.4/10
----------------------------------------------------------------------
[CR] (Review) What’s For Dinner, Mom? (2016) - อาหารอันอบอุ่นจากฝีมือแม่ & Tokyo Tower (2007)
เคยได้ยินว่า " ถ้าหนังเรื่องไหนดี นึกถึงเรื่องนั้นกี่ครั้ง เราจะไม่มีวันเบื่อ เพราะ ทันทีที่เรานึกมันจะมีเรื่องให้เราประทับใจเสมอ "
วันนี้ผมอยากจะมาแนะนำหนังเกี่ยวกับแม่บ้าง (จริงๆที่เพิ่งผ่านไปเป็นวันพ่อ - -) เท่าที่ผมนึกออกและประทับใจ มีอยู่ 2 เรื่อง เป็นหนังญี่ปุ่นทั้งคู่ เรื่องแรก Tokyo Tower (2007) เรื่องนี้คิดว่าหลายคนอาจเคยได้ยินผ่านหูมา เป็นหนังเกี่ยวกับแม่เรื่องแรกที่ผมดูแล้วน้ำตาไหล ผมมีเขียนมินิรีวิวอยู่ข้างล่าง ใครสนใจก็อ่านได้นะครับ
ส่วนเรื่องที่สองหรือเรื่องหลักที่วันนี้ผมอยากจะมารีวิว ก็คือ What’s For Dinner, Mom? (2016) หนังญี่ปุ่นที่ฉายเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ผมได้ดูก็คิดว่า หนังมีเรื่องให้ขบคิดและกระแทกใจเราได้ลึกซึ้งพอสมควร เลยอยากจะนำมาเล่าในวันนี้
What’s For Dinner, Mom? หรือ Mama, gohan mada? กำกับโดย Mitsuhito Shiraha โดยเนื้อเรื่องสร้างมาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของพี่น้องสองคนซึ่งเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น - ไต้หวัน ทาเอะ (ฮารุกะ คินามิ) และ โย (อิซุมิ ฟุจิโมโตะ) เมื่อทั้งสองเดินทางกลับไปที่บ้านของตนที่เคยอยู่ในวัยเด็ก ก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตซึ่งเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับ คุณแม่ (มิชิโกะ คาวาอิ) ผู้ซึ่งรักในการทำอาหารจีน (ไต้หวัน) วันเวลาทั้งหลายจึงย้อนกลับมาอีกครั้งทั้งในสมัยที่พวกเธออยู่ไต้หวันและตอนย้ายกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่น
What’s For Dinner, Mom? : อาหารอันอบอุ่นจากฝีมือแม่
What’s For Dinner, Mom? เป็นหนังญี่ปุ่นที่ดูแล้วอบอุ่นมาก หนังเล่าเรื่องราวชีวิตระหว่างแม่กับลูก ตั้งแต่ยังตัวเล็กๆจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ระหว่างทางชีวิตต่างๆผ่านเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะสมัยอยู่ไต้หวัน เรื่องเศร้าเมื่อพ่อของพวกเธอเสีย หรือยามที่ลูกๆเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่และห่างเหินกับแม่ ภาพความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวัน และวันสุดท้ายเมื่อแม่จากไป ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะมีสิ่งหนึ่งที่ยึดโยงเรื่องราวเอาไว้ คือ "อาหารไต้หวัน"
ชีวิตของทาเอะและโยถูกหล่อหลอมผ่านอาหารไต้หวัน แม่ของเธอชอบทำให้พวกเธอกินอยู่สม่ำเสมอ ดังนั้นพวกเธอจึงผูกพันกับแม่ผ่านอาหารไต้หวันมาก ซึ่งพอเมื่อแม่จากไปแล้ว ก็หาโอกาสได้ยากที่จะได้กลับมาลิ้มรสฝีมือ กลิ่นอายเดิมๆเหมือนครั้งที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เคยสัมผัสและมีประสบการณ์ร่วม เรามักจะจดจำถึงรสชาติฝีมือแม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม
หนังทำให้เราย้อนนึกถึงตัวเอง และเห็นภาพความรักความผูกพันของพ่อแม่ที่มีต่อเรา เวลาทั้งหลายไม่เคยหยุดหมุน เราอาจจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกท่าน แต่จริงๆแล้วท่านกำลังแก่ลงเรื่อยๆ และถึงวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป เหลือไว้แต่ความทรงจำให้นึกถึง
มุมมองหนัง - โทนหนังสไตล์หนังญี่ปุ่นสายรางวัล
ถ้าพูดถึงสไตล์หนัง What’s For Dinner, Mom? ต้องบอกว่ามันจะออกโทนกึ่งสารคดีหน่อย คือเน้นเรียลและนิ่ง เหมือนกับชีวิตของคนจริงๆ นี่เป็นอีกเอกลักษณ์การสไตล์หนังแบบญี่ปุ่นที่นิยมมากหากเป็นสายหนังรางวัล มันจะเรียลโคตรๆ จนเหมือนว่าเราดูชีวิตคนจริงๆเลยแหละ แม้กระทั่งเสียงดนตรีประกอบก็จะถูกใช้ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงคนและเสียงบรรยากาศในขณะนั้นมากกว่า
การดำเนินเรื่องของหนังก็เนิบๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง แต่ดูความละเมียดละไม ดูได้แบบเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าคนที่ไม่เคยดูสายหนังรางวัลญี่ปุ่นหรือหนังดราม่าญี่ปุ่นมาก่อน ก็ต้องระวังหน่อยเพราะ อาจจะรู้สึกว่าหนังมันอืดอาด ไม่ฉับไวและเบื่อได้ ไม่เหมาะกับคนที่ชอบอะไรไวๆ
ในส่วนนักแสดง สำหรับผมว่าแสดงดีทุกคนเลย เป็นธรรมชาติมาก ไม่มีติดขัดใดๆทั้งสิ้น ในหนังก็มีฉากประทับใจอยู่หลายฉากและช็อตที่ทำให้น้ำตาคลอได้ (เช่น ฉากขวดไหตอนใกล้จบ) ตัวหนังมีการใส่ความดราม่าเข้ามา แต่ก็ไม่ได้บีบเค้นอย่างจงใจ หนังค่อยๆปล่อยให้เรื่องราวต่างๆซึมเข้ามาในตัวเรา เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของหนัง อินกับด้วยหนังด้วยความเป็นธรรมชาติ
สรุป
สำหรับผม What’s For Dinner, Mom? (2016) ผมให้คะแนน 8.4/10 (หนังที่เป็นธรรมชาติและอบอุ่นมาก) เป็นหนังที่อบอุ่นและให้ความรู้สึกดีๆกับเรา รวมถึงภาพชีวิตคนหนึ่งตั้งแต่เล็กจนโต แม่ตั้งแต่แต่งงานจนถึงบั้นปลายชีวิต การดูหนังเรื่องนี้ จะทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของคนรอบข้างโดยเฉพาะพ่อกับแม่มากขึ้น พยายามเก็บเรื่องดีๆไว้ เพื่อที่วันที่พวกท่านไม่อยู่แล้ว เราจะได้มีเรื่องดีๆนึกถึง
จริงๆ หลังจากที่ผมดูจบ ผมก็รู้สึกดูคล้ายๆกับเรื่อง Boyhood (2014) นะ เป็นเรื่องราวชีวิตที่สามารถจบได้ในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ถือว่าหนังทำได้ดีเลยแหละและควรค่าแก่การดู ยิ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงสุดท้ายของปีแล้ว ถือเป็นอีกบรรยากาศที่เหมาะกับการดูหนังครอบครัวดีๆ เพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆในชีวิต