รถประจำทาง มุมมองที่ 1
“มีพลเมืองดีแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพบกระเป๋าเป้สีน้ำตาลน่าสงสัยถูกวางไว้บริเวณป้ายรถเมล์ใจกลางกรุง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิดกำลังตรวจสอบวัตถุในกระเป๋าด้วยความระมัดระวังมากว่าสามสิบนาทีแล้ว
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป็นแผงวงจรที่ถูกติดตั้งไว้กับโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่พบว่ามีดินปืนหรือสารจุดระเบิดแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์จากผู้ไม่ประสงค์ดี ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อเร่งติดตามผู้ต้องสงสัยต่อไป”
“ขณะนี้รถนำขบวนประท้วงพร้อมด้วยผู้เข้าร่วมการชุมนุมซึ่งคาดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่าหมื่นคนกำลังเคลื่อนที่ออกจากที่มั่นและเดินไปตามเส้นทางที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
ตลอดเส้นทางมีชาวบ้านตามรายทางแห่ออกมาต้อนรับ ส่งเสียงเชียร์ และมอบข้าวของให้กับขบวนประท้วงอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง สถานการณ์โดยรวมตอนนี้ นอกจากเสียงบ่นเรื่องรถราติดขัดของผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น”
“สำหรับคดีฆาตรกรรมต่อเนื่องที่กำลังเป็นที่หวาดหวั่นของคนทั่วไปอยู่ตอนนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งระดมกำลังสืบหาตัวอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยอมรับว่ายังคงมืดแปดด้าน รู้เพียงว่าเหยื่อที่ถูกสังหารทั้งหมดน่าจะเป็นฝีมือของฆาตกรรายเดียวกัน เนื่องจากมีวิธีการสังหารเหยื่อคล้ายกัน
อย่างไรก็ตาม ทางผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความมั่นใจว่าจะเร่งปิดคดีสะเทือนขวัญนี้ให้เร็วที่สุด และจะไม่มีการจับแพะอย่างแน่นอน”
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์หลังจากเปลี่ยนช่องไปมาอยู่หลายรอบ สายตาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังที่ฝาห้อง ตอนนี้เกือบหกโมงเย็นแล้ว ตัดสินใจดีดตัวลุกจากที่นอน บิดตัวไปมาไล่ความเกียจคร้าน จัดแจงแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่คิดว่าสบายและคล่องตัวที่สุด ไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจพาดบ่าพร้อมกับสอดกระเป๋าสตางค์ไว้ในกระเป๋ากางเกง
หลังตรวจตราจนแน่ใจว่าไม่ลืมหรือไม่มีอะไรตกหล่นแล้วจึงลงกลอนประตูห้องพักและเดินออกจากซอยมายังป้ายรอรถประจำทางป้ายเดิม นั่งรับลมเย็นๆ ที่ป้ายเพียงครู่เดียวรถเมล์สายประจำก็เข้าจอดเทียบป้าย
มีผู้โดยสารเจ็ดถึงแปดคนรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่ต้องการเดินทางไปกับรถคันนี้ เมื่อทยอยกันขึ้นจนครบแล้ว ต่างคนจึงต่างจับจองที่นั่งตามแต่ความพอใจ ผมเดินผ่านที่นั่งเดี่ยวและคู่ที่ยังว่างอยู่ทั้งสองฝั่งไปจนสุดด้านหลังตัวรถ ที่นั่งยาวด้านหลังนี่ล่ะที่ผมโปรดปรานมากที่สุด
นี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกของผม
วันหยุดที่การดำเนินชีวิตของผู้คนดูเหมือนจะเชื่องช้าลงกว่าปกติ บางคนเลือกขลุกตัวเองอยู่ในบ้าน กดรีโมทเลือกดูรายการโทรทัศน์ที่ถูกใจ บางคนตัดขาดจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งจินตนาการไปกับเกมคอมพิวเตอร์ หลายคนเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า และอีกไม่น้อยใช้วิธีการหาภาพยนตร์ที่ถูกใจสักเรื่องในโรงภาพยนตร์ดูเพื่อฆ่าเวลา
ทั้งหมดนั้นก็เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และความอ่อนล้าหลังจากที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนมาตลอดทั้งสัปดาห์ ตัวผมเองที่เป็นคนทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง อยู่ที่ไหนได้ไม่นานก็ต้องย้าย รายได้ที่ไหลเข้ามาในกระเป๋าจึงไม่เคยพ้นค่าแรงขั้นต่ำเสียที แน่นอนว่าการพักผ่อนหย่อนใจแบบที่กล่าวไปทั้งหมดจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ดังนั้น ผมจึงเลือกวิธีที่ประหยัดและง่ายกว่านั้นมาก
ในช่วงที่ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า อากาศร้อนอบอ้าวเริ่มคลายลงไป ผมชอบที่จะนั่งรับลมเย็นๆ บนรถเมล์ คอยสังเกตสีหน้า ท่าทาง ของผู้คนที่ผ่านตา คาดเดาว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ มีความรู้สึกอย่างไร หรือกำลังจะทำอะไรต่อไป
สายลมที่พากันเบียดแทรกช่องหน้าต่างเข้ามาปะทะกับใบหน้า นอกจากจะนำพาความสดชื่นมาให้แล้ว มันยังช่วยปลุกพลังในการช่างสังเกตในตัวผมอีกด้วย
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมชอบที่นั่งยาวด้านหลัง เพราะมันทำให้สังเกตพฤติกรรมของคนอื่นได้ง่ายขึ้น ทั้งคนที่กำลังเดินอยู่บนฟุตบาท ที่กำลังรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรอรถประจำทาง ที่กำลังขับรถอยู่ตามท้องถนน และคนที่กำลังนั่งอยู่บนรถโดยสารคันเดียวกับผม
ผมคิดว่าการที่คนๆ หนึ่งทำท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาเพราะในใจของเขากำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ และความคิดนั้นก็ส่งผลให้เขาแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาโดยที่เจ้าตัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัว
จากประสบการณ์ ผมพบว่าพฤติกรรมที่แสดงออกของคนเราแบ่งกว้างๆ ได้สองแบบ ผมเรียกมันว่าทฤษฎีพฤติกรรมสากลและพฤติกรรมเฉพาะ
พฤติกรรมที่ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังเป็นแบบนั้นก็จะทำท่าทางเหมือนกันหรือคล้ายกันนั่นคือพฤติกรรมสากล ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น ไม่ว่าใครปวดหัวรุนแรงก็มักจะบีบขมับ คนคิดอะไรไม่ตกมักจะถอนหายใจบ่อยๆ
ส่วนพฤติกรรมเฉพาะนั้นก็ตรงตัวว่ามันคือสิ่งที่คนๆ หนึ่งจะแสดงออกมาเท่านั้น ถึงแม้จะคิดเหมือนกันแต่ก็อาจไม่แสดงพฤติกรรมแบบเดียวกันออกมา เช่น เมื่อเห็นคนลูบผม บางคนอาจจะมั่นใจในความงามของเส้นผมตัวเอง แต่ในขณะที่บางคนอาจจะเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองก็ได้
พฤติกรรมเฉพาะนี่ล่ะที่น่าสนใจ เพราะการแสดงออกในชั่วขณะนั้นของใครต่อใครมันทำให้ผมสามารถจินตนาการไปได้ไกลต่างๆ นานา บางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตลกจนแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ บางครั้งมันก็ทำให้ผมอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ และบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิดหรือไม่
อันที่จริงผมเพิ่งเริ่มและหลงใหลในงานอดิเรกชนิดนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
ผมยังจำได้ดี
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์เหมือนกับวันนี้ ผมพาแฟนไปเดินเที่ยวกันที่ห้างสรรพสินค้า เราคบหากันมาปีกว่า เธอเป็นหญิงสาวจากต่างจังหวัดที่เดินทางมาหาเลี้ยงชีพในเมืองหลวง ไร้เครื่องประทินผิวแต่งเติม ใบหน้างดงามตามแบบสาวชาวบ้าน เธอมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่แรกพบ
แต่ทว่าในวันนั้น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยหายไป มันผิดปกติไปจากเดิมจนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก เธอดูเงียบ เอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมสบตาเวลาอยู่ด้วยกัน เราเดินเล่นอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมนั่งรถเมล์เพื่อส่งเธอกลับห้องเช่า ดวงตะวันนอกกรอบหน้าต่างคล้อยต่ำทอแสงสีส้มสุดท้าย ช่างเป็นวันหยุดและการพบกันที่ไร้ค่าในความคิด
“เราเลิกกันเถอะ”
ไม่ทันได้ตั้งตัว คำพูดจากปากของเธอทำให้ผมแทบสิ้นสติ มันยังคงก้องกังกานติดหูมาจนทุกวันนี้ หลังสิ้นเสียง ตลอดทางมีเพียงความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
ผมเหม่อมองออกไป บรรยากาศเศร้าหมองกว่าวันไหนๆ รู้สึกเหมือนคนหูอื้อตาลาย ไม่อยากได้ยินและไม่อยากเห็นอะไรอีกต่อจากนี้ เมื่อรถเมล์มาถึงป้ายที่หมาย ผมเดินตามเธอลงไปติดๆ ชั่วแล่นของความคิด ผมฉุดมือ พยายามถามหาเหตุผล อธิบาย ขอร้อง อ้อนวอน ทำทุกอย่างที่คิดออกเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจ
แต่เธอไม่แม้แต่จะฟัง เธอเกรี้ยวกราด ด่าทอ สะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม และตบหน้าผม
ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง นั่นกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ผมนั่งรถเมล์สายเดิมเที่ยวสุดท้ายกลับห้องพักด้วยสมองที่กลวงโบ๋ สายตาที่จ้องมองกลับว่างเปล่า ผมเผ้า หน้าตา เสื้อผ้า อยู่ในสภาพที่ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าโทรมสุดขีด
ใจเต้นแรง ความคิดหลุดลอยไปไกล น้ำตาเรื้ออยู่ที่ขอบตา สมองเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผมตัดสินใจย้ายที่อยู่เพื่อหนีความจริงและหวังที่จะลบภาพอดีตให้หมดไปจากชีวิต
หลังจากนั้นผมมักเหม่อมองออกนอกหน้าต่างเวลานั่งอยู่บนรถเมล์ วันแล้ววันเล่า มันทำให้ผมเริ่มสังเกตสิ่งที่ผมมอง
ลึกลงไป ดำดิ่งลงไป ในแววตา ท่าทาง อากัปกิริยา ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกมามีความนัยซ่อนอยู่เสมอ ราวกับกำลังแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ ผมรู้สึกได้ถึงความคิดของคนๆ นั้น
ดูนั่นสิ ชายศีรษะล้านที่กำลังเดินจ้ำอ้าวอยู่บนทางเท้า ช่วงก้าวยาว จังหวะก้าวถี่ ใบหน้าและศีรษะเป็นมันเงาด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจนไหลย้อยเป็นทางไปตามแก้ม เขาสวมใส่ชุดสูท ปมเนคไทถูกดึงจนสุด รองเท้าหนังดำขลับ ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสารสีน้ำตาลเข้ม
เขาคงกำลังนัดใครไว้ น่าจะเป็นนัดเรื่องงานที่มีความสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ใส่สูทและยอมเสียวันหยุดเพื่อคุยงานเป็นแน่ รถอาจจะเสีย หรือไม่ก็น่าจะลงรถผิดที่ เพราะดูท่าน่าจะเดินเท้ามาไกลพอสมควร และตอนนี้เขาก็กำลังจะไปสายแล้ว
นึกแล้วก็แปลกดี เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่เรากลับรับวัฒนธรรมใส่สูทผูกเนคไทจากต่างประเทศมาใช้
รถเมล์ชะลอเข้าเทียบป้าย ผู้โดยสารบางส่วนทยอยขึ้นและลงจากทั้งสองประตู
ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ที่ป้ายรอรถประจำทาง เธอยกนาฬิกาข้อมือสีหวานขึ้นดู หน้าตาบูดบึ้งจนไม่ต้องสังเกต ดูจากการแต่งตัวแล้วคงมาเที่ยว ท่าทางเกรี้ยวกราดขนาดนั้นคนที่นัดด้วยคงจะเป็นแฟน รับรองได้ว่าถ้าฝ่ายชายมาถึงเมื่อไหร่คงเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน
ผมดึงสายตาจากภายนอกกลับมาในตัวรถ ที่นั่งเดี่ยวด้านขวามือห่างจากที่ผมนั่งไปด้านหน้าสองตัว เด็กหนุ่มสวมแว่นหนาเตอะท่าทางคงแก่เรียนนั่งอยู่ที่นั่น กระเป๋าเป้ใบใหญ่และหนังสือเล่มโตวางอยู่บนหน้าตัก มองผ่านๆ เหมือนเด็กหนุ่มกำลังตั้งใจอ่านตำราเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ถ้าลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเขาขยับแว่นตาบ่อยจนเกินปกติ สายตาใต้กรอบแว่นแอบลองมองไปยังหญิงสาวที่นั่งหลับอยู่ที่เบาะคู่ด้านซ้ายเป็นระยะ บางทีหนุ่มน้อยอาจอยากจะตั้งใจอ่าน แต่เธอที่นั่งอยู่ด้านข้างกันอาจจะมีอะไรที่ทำให้เสียสมาธิ
ส่วนเด็กสาวที่นั่งหลังเด็กหนุ่มก็ชอบเอามือลูบผมตัวเองบ่อยๆ มันบ่อยเสียจนน่ารำคาญจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่หากิ๊บมาติดผม เธอคงเป็นคนรักสวยรักงาม รักเส้นผมของตัวเองมากจนกังวลว่าหากติดกิ๊บแล้วจะทำให้เส้นผมหยักงอ และน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่
รถประจำทางจอดเทียบป้ายอีกครั้ง คู่ชายหญิงก้าวขึ้นมาและเลือกที่นั่งเบาะแรกถัดจากประตูรถ ดูจากหน้าตา ทรงผม และการแต่งตัวแล้ว ทั้งคู่จัดเป็นหนุ่มสาวสมัยใหม่ที่หน้าตาดีทีเดียว
ประตูรถปิดและเริ่มเคลื่อนตัว ไม่นานหลังจากนั้นเสียงดังของคนจากตอนหน้าของรถก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ มันดังเสียจนทำให้ผมต้องชะโงกตัวขึ้นไปดูด้วยความแปลกใจ
เป็นเสียงของหนุ่มสาวคู่ที่เพิ่งขึ้นรถมาเมื่อสักครู่นี่เอง
คงเป็นแฟนกัน และคงกำลังมีเรื่องงอนกันอยู่ ที่ตั้งมากมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาทะเลาะกันบนรถให้คนอื่นได้รู้ได้เห็นด้วยก็ไม่รู้ จะว่าไปก็คล้ายกับเอาตัวเองมาประจานนั่นล่ะ
เริ่มมีการเคลื่อนไหวบนรถคันนี้ แต่เสียงที่แต่เดิมดังอยู่แล้วกลับยิ่งทวีความดังขึ้นอย่างหาได้ใส่ใจใคร จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นเสียงตะโกน ความอดทนคงมาถึงขีดสุดแล้ว ทั้งคู่ลุกขึ้นและชี้หน้าด่ากันอย่างไม่อายใคร
ในสถานการณ์คาดไม่ถึงเช่นนี้ คนอื่นๆ บนรถกำลังทำอะไรกันอยู่
คนที่นั่งอยู่ห่างออกไปหน่อยจะหันไปมองยังต้นเสียงและตั้งตาดูว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะพวกเขายังรู้สึกว่าตนเองอยู่ในระยะที่ปลอดภัย คนที่นั่งใกล้ๆ จะทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าสายตาของเขาเหล่านั้นจะคอยชำเลืองมองเป็นระยะด้วยความระแวดระวัง ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าของคู่กรณีทั้งสองจะหันกลับมามองและหันกลับไปอยู่ในท่าเดิมอย่างรวดเร็ว อาจเพราะกลัวลูกหลง
รถประจำทาง มุมมองที่ 1
“มีพลเมืองดีแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพบกระเป๋าเป้สีน้ำตาลน่าสงสัยถูกวางไว้บริเวณป้ายรถเมล์ใจกลางกรุง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิดกำลังตรวจสอบวัตถุในกระเป๋าด้วยความระมัดระวังมากว่าสามสิบนาทีแล้ว
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป็นแผงวงจรที่ถูกติดตั้งไว้กับโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่พบว่ามีดินปืนหรือสารจุดระเบิดแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์จากผู้ไม่ประสงค์ดี ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อเร่งติดตามผู้ต้องสงสัยต่อไป”
“ขณะนี้รถนำขบวนประท้วงพร้อมด้วยผู้เข้าร่วมการชุมนุมซึ่งคาดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่าหมื่นคนกำลังเคลื่อนที่ออกจากที่มั่นและเดินไปตามเส้นทางที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
ตลอดเส้นทางมีชาวบ้านตามรายทางแห่ออกมาต้อนรับ ส่งเสียงเชียร์ และมอบข้าวของให้กับขบวนประท้วงอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง สถานการณ์โดยรวมตอนนี้ นอกจากเสียงบ่นเรื่องรถราติดขัดของผู้ใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น”
“สำหรับคดีฆาตรกรรมต่อเนื่องที่กำลังเป็นที่หวาดหวั่นของคนทั่วไปอยู่ตอนนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งระดมกำลังสืบหาตัวอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยอมรับว่ายังคงมืดแปดด้าน รู้เพียงว่าเหยื่อที่ถูกสังหารทั้งหมดน่าจะเป็นฝีมือของฆาตกรรายเดียวกัน เนื่องจากมีวิธีการสังหารเหยื่อคล้ายกัน
อย่างไรก็ตาม ทางผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความมั่นใจว่าจะเร่งปิดคดีสะเทือนขวัญนี้ให้เร็วที่สุด และจะไม่มีการจับแพะอย่างแน่นอน”
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์หลังจากเปลี่ยนช่องไปมาอยู่หลายรอบ สายตาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังที่ฝาห้อง ตอนนี้เกือบหกโมงเย็นแล้ว ตัดสินใจดีดตัวลุกจากที่นอน บิดตัวไปมาไล่ความเกียจคร้าน จัดแจงแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่คิดว่าสบายและคล่องตัวที่สุด ไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจพาดบ่าพร้อมกับสอดกระเป๋าสตางค์ไว้ในกระเป๋ากางเกง
หลังตรวจตราจนแน่ใจว่าไม่ลืมหรือไม่มีอะไรตกหล่นแล้วจึงลงกลอนประตูห้องพักและเดินออกจากซอยมายังป้ายรอรถประจำทางป้ายเดิม นั่งรับลมเย็นๆ ที่ป้ายเพียงครู่เดียวรถเมล์สายประจำก็เข้าจอดเทียบป้าย
มีผู้โดยสารเจ็ดถึงแปดคนรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่ต้องการเดินทางไปกับรถคันนี้ เมื่อทยอยกันขึ้นจนครบแล้ว ต่างคนจึงต่างจับจองที่นั่งตามแต่ความพอใจ ผมเดินผ่านที่นั่งเดี่ยวและคู่ที่ยังว่างอยู่ทั้งสองฝั่งไปจนสุดด้านหลังตัวรถ ที่นั่งยาวด้านหลังนี่ล่ะที่ผมโปรดปรานมากที่สุด
นี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกของผม
วันหยุดที่การดำเนินชีวิตของผู้คนดูเหมือนจะเชื่องช้าลงกว่าปกติ บางคนเลือกขลุกตัวเองอยู่ในบ้าน กดรีโมทเลือกดูรายการโทรทัศน์ที่ถูกใจ บางคนตัดขาดจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งจินตนาการไปกับเกมคอมพิวเตอร์ หลายคนเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า และอีกไม่น้อยใช้วิธีการหาภาพยนตร์ที่ถูกใจสักเรื่องในโรงภาพยนตร์ดูเพื่อฆ่าเวลา
ทั้งหมดนั้นก็เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และความอ่อนล้าหลังจากที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนมาตลอดทั้งสัปดาห์ ตัวผมเองที่เป็นคนทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง อยู่ที่ไหนได้ไม่นานก็ต้องย้าย รายได้ที่ไหลเข้ามาในกระเป๋าจึงไม่เคยพ้นค่าแรงขั้นต่ำเสียที แน่นอนว่าการพักผ่อนหย่อนใจแบบที่กล่าวไปทั้งหมดจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ดังนั้น ผมจึงเลือกวิธีที่ประหยัดและง่ายกว่านั้นมาก
ในช่วงที่ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า อากาศร้อนอบอ้าวเริ่มคลายลงไป ผมชอบที่จะนั่งรับลมเย็นๆ บนรถเมล์ คอยสังเกตสีหน้า ท่าทาง ของผู้คนที่ผ่านตา คาดเดาว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ มีความรู้สึกอย่างไร หรือกำลังจะทำอะไรต่อไป
สายลมที่พากันเบียดแทรกช่องหน้าต่างเข้ามาปะทะกับใบหน้า นอกจากจะนำพาความสดชื่นมาให้แล้ว มันยังช่วยปลุกพลังในการช่างสังเกตในตัวผมอีกด้วย
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมชอบที่นั่งยาวด้านหลัง เพราะมันทำให้สังเกตพฤติกรรมของคนอื่นได้ง่ายขึ้น ทั้งคนที่กำลังเดินอยู่บนฟุตบาท ที่กำลังรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรอรถประจำทาง ที่กำลังขับรถอยู่ตามท้องถนน และคนที่กำลังนั่งอยู่บนรถโดยสารคันเดียวกับผม
ผมคิดว่าการที่คนๆ หนึ่งทำท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาเพราะในใจของเขากำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ และความคิดนั้นก็ส่งผลให้เขาแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาโดยที่เจ้าตัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัว
จากประสบการณ์ ผมพบว่าพฤติกรรมที่แสดงออกของคนเราแบ่งกว้างๆ ได้สองแบบ ผมเรียกมันว่าทฤษฎีพฤติกรรมสากลและพฤติกรรมเฉพาะ
พฤติกรรมที่ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังเป็นแบบนั้นก็จะทำท่าทางเหมือนกันหรือคล้ายกันนั่นคือพฤติกรรมสากล ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น ไม่ว่าใครปวดหัวรุนแรงก็มักจะบีบขมับ คนคิดอะไรไม่ตกมักจะถอนหายใจบ่อยๆ
ส่วนพฤติกรรมเฉพาะนั้นก็ตรงตัวว่ามันคือสิ่งที่คนๆ หนึ่งจะแสดงออกมาเท่านั้น ถึงแม้จะคิดเหมือนกันแต่ก็อาจไม่แสดงพฤติกรรมแบบเดียวกันออกมา เช่น เมื่อเห็นคนลูบผม บางคนอาจจะมั่นใจในความงามของเส้นผมตัวเอง แต่ในขณะที่บางคนอาจจะเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองก็ได้
พฤติกรรมเฉพาะนี่ล่ะที่น่าสนใจ เพราะการแสดงออกในชั่วขณะนั้นของใครต่อใครมันทำให้ผมสามารถจินตนาการไปได้ไกลต่างๆ นานา บางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตลกจนแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ บางครั้งมันก็ทำให้ผมอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ และบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิดหรือไม่
อันที่จริงผมเพิ่งเริ่มและหลงใหลในงานอดิเรกชนิดนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
ผมยังจำได้ดี
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์เหมือนกับวันนี้ ผมพาแฟนไปเดินเที่ยวกันที่ห้างสรรพสินค้า เราคบหากันมาปีกว่า เธอเป็นหญิงสาวจากต่างจังหวัดที่เดินทางมาหาเลี้ยงชีพในเมืองหลวง ไร้เครื่องประทินผิวแต่งเติม ใบหน้างดงามตามแบบสาวชาวบ้าน เธอมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมประทับใจได้ตั้งแต่แรกพบ
แต่ทว่าในวันนั้น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยหายไป มันผิดปกติไปจากเดิมจนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก เธอดูเงียบ เอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมสบตาเวลาอยู่ด้วยกัน เราเดินเล่นอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมนั่งรถเมล์เพื่อส่งเธอกลับห้องเช่า ดวงตะวันนอกกรอบหน้าต่างคล้อยต่ำทอแสงสีส้มสุดท้าย ช่างเป็นวันหยุดและการพบกันที่ไร้ค่าในความคิด
“เราเลิกกันเถอะ”
ไม่ทันได้ตั้งตัว คำพูดจากปากของเธอทำให้ผมแทบสิ้นสติ มันยังคงก้องกังกานติดหูมาจนทุกวันนี้ หลังสิ้นเสียง ตลอดทางมีเพียงความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
ผมเหม่อมองออกไป บรรยากาศเศร้าหมองกว่าวันไหนๆ รู้สึกเหมือนคนหูอื้อตาลาย ไม่อยากได้ยินและไม่อยากเห็นอะไรอีกต่อจากนี้ เมื่อรถเมล์มาถึงป้ายที่หมาย ผมเดินตามเธอลงไปติดๆ ชั่วแล่นของความคิด ผมฉุดมือ พยายามถามหาเหตุผล อธิบาย ขอร้อง อ้อนวอน ทำทุกอย่างที่คิดออกเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจ
แต่เธอไม่แม้แต่จะฟัง เธอเกรี้ยวกราด ด่าทอ สะบัดแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม และตบหน้าผม
ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง นั่นกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ผมนั่งรถเมล์สายเดิมเที่ยวสุดท้ายกลับห้องพักด้วยสมองที่กลวงโบ๋ สายตาที่จ้องมองกลับว่างเปล่า ผมเผ้า หน้าตา เสื้อผ้า อยู่ในสภาพที่ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าโทรมสุดขีด
ใจเต้นแรง ความคิดหลุดลอยไปไกล น้ำตาเรื้ออยู่ที่ขอบตา สมองเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผมตัดสินใจย้ายที่อยู่เพื่อหนีความจริงและหวังที่จะลบภาพอดีตให้หมดไปจากชีวิต
หลังจากนั้นผมมักเหม่อมองออกนอกหน้าต่างเวลานั่งอยู่บนรถเมล์ วันแล้ววันเล่า มันทำให้ผมเริ่มสังเกตสิ่งที่ผมมอง
ลึกลงไป ดำดิ่งลงไป ในแววตา ท่าทาง อากัปกิริยา ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกมามีความนัยซ่อนอยู่เสมอ ราวกับกำลังแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ ผมรู้สึกได้ถึงความคิดของคนๆ นั้น
ดูนั่นสิ ชายศีรษะล้านที่กำลังเดินจ้ำอ้าวอยู่บนทางเท้า ช่วงก้าวยาว จังหวะก้าวถี่ ใบหน้าและศีรษะเป็นมันเงาด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจนไหลย้อยเป็นทางไปตามแก้ม เขาสวมใส่ชุดสูท ปมเนคไทถูกดึงจนสุด รองเท้าหนังดำขลับ ในมือหิ้วกระเป๋าเอกสารสีน้ำตาลเข้ม
เขาคงกำลังนัดใครไว้ น่าจะเป็นนัดเรื่องงานที่มีความสำคัญมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ใส่สูทและยอมเสียวันหยุดเพื่อคุยงานเป็นแน่ รถอาจจะเสีย หรือไม่ก็น่าจะลงรถผิดที่ เพราะดูท่าน่าจะเดินเท้ามาไกลพอสมควร และตอนนี้เขาก็กำลังจะไปสายแล้ว
นึกแล้วก็แปลกดี เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่เรากลับรับวัฒนธรรมใส่สูทผูกเนคไทจากต่างประเทศมาใช้
รถเมล์ชะลอเข้าเทียบป้าย ผู้โดยสารบางส่วนทยอยขึ้นและลงจากทั้งสองประตู
ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ที่ป้ายรอรถประจำทาง เธอยกนาฬิกาข้อมือสีหวานขึ้นดู หน้าตาบูดบึ้งจนไม่ต้องสังเกต ดูจากการแต่งตัวแล้วคงมาเที่ยว ท่าทางเกรี้ยวกราดขนาดนั้นคนที่นัดด้วยคงจะเป็นแฟน รับรองได้ว่าถ้าฝ่ายชายมาถึงเมื่อไหร่คงเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน
ผมดึงสายตาจากภายนอกกลับมาในตัวรถ ที่นั่งเดี่ยวด้านขวามือห่างจากที่ผมนั่งไปด้านหน้าสองตัว เด็กหนุ่มสวมแว่นหนาเตอะท่าทางคงแก่เรียนนั่งอยู่ที่นั่น กระเป๋าเป้ใบใหญ่และหนังสือเล่มโตวางอยู่บนหน้าตัก มองผ่านๆ เหมือนเด็กหนุ่มกำลังตั้งใจอ่านตำราเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ถ้าลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเขาขยับแว่นตาบ่อยจนเกินปกติ สายตาใต้กรอบแว่นแอบลองมองไปยังหญิงสาวที่นั่งหลับอยู่ที่เบาะคู่ด้านซ้ายเป็นระยะ บางทีหนุ่มน้อยอาจอยากจะตั้งใจอ่าน แต่เธอที่นั่งอยู่ด้านข้างกันอาจจะมีอะไรที่ทำให้เสียสมาธิ
ส่วนเด็กสาวที่นั่งหลังเด็กหนุ่มก็ชอบเอามือลูบผมตัวเองบ่อยๆ มันบ่อยเสียจนน่ารำคาญจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่หากิ๊บมาติดผม เธอคงเป็นคนรักสวยรักงาม รักเส้นผมของตัวเองมากจนกังวลว่าหากติดกิ๊บแล้วจะทำให้เส้นผมหยักงอ และน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่
รถประจำทางจอดเทียบป้ายอีกครั้ง คู่ชายหญิงก้าวขึ้นมาและเลือกที่นั่งเบาะแรกถัดจากประตูรถ ดูจากหน้าตา ทรงผม และการแต่งตัวแล้ว ทั้งคู่จัดเป็นหนุ่มสาวสมัยใหม่ที่หน้าตาดีทีเดียว
ประตูรถปิดและเริ่มเคลื่อนตัว ไม่นานหลังจากนั้นเสียงดังของคนจากตอนหน้าของรถก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ มันดังเสียจนทำให้ผมต้องชะโงกตัวขึ้นไปดูด้วยความแปลกใจ
เป็นเสียงของหนุ่มสาวคู่ที่เพิ่งขึ้นรถมาเมื่อสักครู่นี่เอง
คงเป็นแฟนกัน และคงกำลังมีเรื่องงอนกันอยู่ ที่ตั้งมากมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาทะเลาะกันบนรถให้คนอื่นได้รู้ได้เห็นด้วยก็ไม่รู้ จะว่าไปก็คล้ายกับเอาตัวเองมาประจานนั่นล่ะ
เริ่มมีการเคลื่อนไหวบนรถคันนี้ แต่เสียงที่แต่เดิมดังอยู่แล้วกลับยิ่งทวีความดังขึ้นอย่างหาได้ใส่ใจใคร จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นเสียงตะโกน ความอดทนคงมาถึงขีดสุดแล้ว ทั้งคู่ลุกขึ้นและชี้หน้าด่ากันอย่างไม่อายใคร
ในสถานการณ์คาดไม่ถึงเช่นนี้ คนอื่นๆ บนรถกำลังทำอะไรกันอยู่
คนที่นั่งอยู่ห่างออกไปหน่อยจะหันไปมองยังต้นเสียงและตั้งตาดูว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะพวกเขายังรู้สึกว่าตนเองอยู่ในระยะที่ปลอดภัย คนที่นั่งใกล้ๆ จะทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าสายตาของเขาเหล่านั้นจะคอยชำเลืองมองเป็นระยะด้วยความระแวดระวัง ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าของคู่กรณีทั้งสองจะหันกลับมามองและหันกลับไปอยู่ในท่าเดิมอย่างรวดเร็ว อาจเพราะกลัวลูกหลง