เคยเรียบเรียงไว้ในเพจ สามก๊ก & เซ็นโกคุ แต่ค่อนข้างลงแบบกระจัดกระจาย เลยคิดว่าเอามารวบรวมลงไว้ที่เดียวสักหน่อย เกี่ยวกับ ปัญหาเรื่องแผนการบุกปราบภาคเหนือทั้ง 6 ครั้งของขงเบ้ง
จริงๆแล้ว ที่มักพูดกันว่า ขงเบ้งบุกที่เขากิสาน 6 ครั้ง ที่จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจผิด ขงเบ้งไม่ได้เดินทัพไปที่กิสานทุกครั้ง แต่มันมีรายละเอียดเบื้องลึกมากกว่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ มีบันทึกไว้ตรงกันทั้งในประวัติศาสตร์และวรรณกรรมด้วย เพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะมีแตกต่างกันบ้าง แต่เป้าหมายหลักและเส้นทางการเดินทัพ วรรณกรรมสามก๊กได้อ้างอิงเนื้อหาในประวัติศาสตร์แล้วมาร้อยเรียงเรื่องราวให้เข้าใจง่ายอย่างชนิดที่เรียกว่าต้องคารวะหลอก้วนจง และสองพ่อลูกเหมาหลุนเหมาจงกังที่ประพันธ์ออกมาได้ขนาดนี้เลย
ก่อนอื่น มาดูฎีกาออกศึกของขงเบ้งฉบับเกือบเต็มกันหน่อย ที่เรียกว่าฉบับเกือบเต็ม เพราะเนื้อหาอาจบางส่วนไม่รู้ว่าควรจะแปลยังไง เนื่องจากอ้างอิงคำโบราณมา ตรงนี้จึงต้องขอขอบคุณเนื้อหาคำแปลในสามก๊กฉบับคุณวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์ ที่ได้แปลฎีกานี้ไว้ ซึ่งในสามก๊กฉบับพระยาพระคลังจะใช้วิธีการบอกเล่าแบบกระชับแทน เพราะเนื้อหามันแปลให้เข้าใจสำหรับคนไทยสมัยก่อนได้ยากจริงๆ
อ้างอิงส่วนนี้จาก จดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติจูกัดเหลียง ขงเบ้ง
ปีค.ศ.225 (ตรงกับปีเจี้ยนซิ่งที่ 3) ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ขงเบ้งนำทัพใหญ่เดินทางบุกปราบภาคใต้ แล้วสามารถสยบทัพกบฏทั้งหมดได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถัดมา กำลังทหารที่ปราบกบฏนั้นไม่ได้เสียไปมากนัก ซ้ำการปราบกบฏยังทำให้ขงเบ้งสามารถเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มจากดินแดนภาคใต้ได้อีกเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั้นแสนยานุภาพของกองทัพจึงเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้น ขงเบ้งจึงเริ่มตระเตรียมความพร้อมด้วยการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อเตรียมทำศึกครั้งใหญ่ในการบุกภาคเหนือตามที่วางแผนไว้
ปีค.ศ.227 (ตรงกับปีเจี้ยนซิ่งที่ 5) ขงเบ้งนำเหล่าขุนพลสู่ภาคเหนือ ตั้งมั่นที่เมืองฮั่นจง ก่อนจะเคลื่อนทัพออกศึกก็ส่งฎีกาถึงฮ่องเต้เล่าเสี้ยน ความว่า
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อน (เล่าปี่) บุกเบิกบ้านเมืองมาอย่างแสนสาหัสกว่าจะสามารถสร้างอาณาจักรขึ้นได้ แต่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน มาวันนี้ แผ่นดินแบ่งขั้วอำนาจออกเป็นสามก๊ก ดินแดนเอ๊กจิ๋ว (จ๊กก๊ก) ของเราเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติ ผ่านการศึกมาอย่างหนักหน่วง หากเกิดศึกขึ้นอีกก็ยากจะป้องกันได้ แต่เหล่าขุนนางทั้งปวงก็มิได้เกียจคร้าน พยายามรักษาบ้านเมืองให้เข้มแข็งทั้งในและนอก ด้วยว่าสำนึกในพระกรุณาธิคุณของอดีตฮ่องเต้และหมายที่จะตอบแทนพระองค์ ฝ่าบาทจึงควรคบหาคนดี หลีกหนีจากคนชั่ว บ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง ทรงอย่าได้สนพระทัยกับเรื่องไร้สาระทำให้คุณธรรมเสื่อมเสียให้เป็นที่ติฉินนินทาได้”
“ในราชสำนักยังมีกฎมณเฑียรบาลและระเบียบสำหรับควบคุมความประพฤติของผู้นำและเชื้อพระวงศ์ฉันใด บ้านเมืองก็ต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินฉันนั้นเช่นกัน หากผู้ใดทำดี ก็ประทานรางวัลปูนบำเหน็จ ผู้ใดทำผิดก็ลงโทษตามพระอาญา กฎหมายมีไว้เพื่อควบคุมมิให้เหล่าคนชั่วได้ทำผิด และมีเจ้าพนักงานผู้ควบคุมดูแลกฎหมาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมและคุณธรรมของบ้านเมือง การเลือกที่รักมักที่ชังจึงเป็นสิ่งมิชอบ เช่นเดียวกับการมีกฎหมายบ้านเมืองไว้เพื่อใช้ในพระราชสำนักและในหัวเมือง”
“เหล่าขุนนาง กอปรด้วย ตังอุ๋น บิฮุย กุยฮิวจี่ บุคคลทั้งสามนี้ล้วนเป็นตงฉินผู้มีความสัตย์ซื่อเทียงตรงและมีความภักดีอย่างที่สุด ครั้งนั้นอดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) ทรงไว้วางใจให้พวกเขาเป็นขุนนางใกล้ชิด ข้าพเจ้าเห็นว่าฝ่าบาทสมควรปรึกษาราชการแผ่นดินกับขุนนางทั้งสาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้อยหรือใหญ่ หากแม้นมีพระราชโองการใดลงไป ก็จะสามารถแก้ไขสิ่งผิดพลาดให้กลับกลายเป็นถูกต้องได้แน่”
“เหล่าขุนพล เฮียงทง เป็นผู้มีความสุขุมรอบคอบ รอบรู้พิชัยสงครามการทหาร อดีตฮ่องเต้ได้ทดสอบความสามารถของเขามาแล้วจึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ ในความเห็นของข้าพเจ้านั้น ในการทำศึกและการทหารควรปรึกษากับคนผู้นี้”
“พระองค์ควรหาผู้มีความสามารถเข้ามาให้มาก หลีกเลี่ยงและขับไล่คนชั่วช้าออกไป ราชวงศ์ฮั่นเมื่อครั้งก่อตั้งอาณาจักรนั้นยิ่งใหญ่รุ่งเรืองได้เพราะผู้นำมีจิตใจเที่ยงธรรม คบหานักปราชญ์และตงฉินที่ซื่อตรงสุจริต ไม่คิดแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งหลีกห่างจากกังฉินขี้ประจบสอพลอ แต่ในยุคหลัง การณ์กลับเป็นตรงข้าม ราชวงศ์ฮั่นจึงเสื่อมถอยลงและเป็นเหตุให้ล่มสลายในที่สุด เมื่ออดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ทรงปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมืองกับพวกเราขุนนางอยู่เสมอ เพราะทรงตระหนักดีถึงบทเรียนจากความล้มเหลวของพระเจ้าฮั่นฮวนเต้และพระเจ้าฮั่นเลนเต้ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้”
“นายอาลักษณ์ ตันจี๋ และ ราชเลขาธิการ เจียวอ้วน ล้วนเป็นผู้มีความสามารถ พวกเขาไม่เคยมีประวัติเสียหายและจะถวายความภักดีตราบจนสิ้นวาย ข้าพเจ้าหวังว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อถือและอยู่ใกล้ชิดคนเหล่านี้ จะมีแต่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นอยู่ยั้งยืนยาวสืบไป”
“แต่เดิมแล้วข้าพเจ้าเป็นเพียงสามัญชนที่อาศัยอยู่ในหนานหยาง ข้าพเจ้าเพียงหวังใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและหลีกหนีจากไฟสงครามและกลียุคอันแสนวุ่นวายเท่านั้น และข้าพเจ้าก็มิได้เป็นที่รู้จักของเหล่าขุนศึกใดๆ จนกระทั่งอดีตองค์ฮ่องเต้มิได้ทรงรังเกียจในชาติกำเนิดต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่กลับทรงดั้นด้นเสด็จด้วยพระองค์เองไปเยือนที่กระท่อมถึง 3 ครั้ง ด้วยทรงต้องการปรึกษาหารือเรื่องอนาคตของบ้านเมือง ความถ่อมพระองค์และจิตใจกว้างขวางเช่นนี้เป็นที่ซาบซึ้งแก่ใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ยอมถวายตัวเพื่อเข้ารับใช้พระองค์นับแต่นั้นมา”
“หลังจากพ่ายแพ้ในการออกศึก (ศึกเตียงปัน) และข้าพเจ้าก็ได้รับภาระหน้าที่อันแสนยากและชีวิตต้องเผชิญภยันตรายทั้งหลายนั้น ก็ได้ผ่านล่วงมา 21 ปีแล้ว อดีตองค์ฮ่องเต้ทรงเชื่อถือไว้วางใจแก่ข้าพเจ้าจนกระทั่งแม้ว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ก็ยังได้มอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่ข้าพเจ้าสืบต่อมา นับแต่นั้นข้าพเจ้าก็มิอาจข่มตานอนหลับได้สนิทใจ ด้วยเกรงว่าจะมิสามารถทำการใหญ่ได้สมดั่งหมายแล้วเป็นการเสื่อมเสียถึงพระเกียรติยศ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้นำกองทัพข้ามลำน้ำลกซุยเพื่อบุกตีดินแดนทางใต้อันป่าเถื่อน มาบัดนี้แดนใต้สงบราบคาบและแสนยานุภาพของทัพเราก็พรั่งพร้อมแล้ว พวกเราจึงควรนำทัพใหญ่บุกโจมตีภาคเหนือและภาคกลาง ปราบปรามเหล่าคนชั่วช้า ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น แล้วอัญเชิญเสด็จฝ่าบาทให้กลับคืนราชธานีเก่า นี่นับเป็นภารกิจที่ข้าพเจ้ามีต่ออดีตฮ่องเต้และเป็นการถวายความภักดีต่อฝ่าบาท”
“ขอฝ่าบาททรงปรึกษาหารือกับ กุยฮิวจี่ บิฮุย และ ตังอุ๋น พวกเขาทั้งสามเป็นขุนนางที่มีหน้าที่ช่วยเหลือพระองค์ในราชการงานเมืองและตัดสินคดีความทั้งปวง ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้ปฏิบัติภารกิจปราบเหล่าโจรร้ายทั้งปวงแล้วฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นกลับมา หากแม้นข้าพเจ้าทำการไม่สัมฤทธิ์ผลแล้วไซร้ ขอพระองค์ทรงลงโทษข้าพเจ้า แล้วกราบทูลต่อดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ให้ทรงทราบ แล้วหากแม้นขุนนางใหญ่ทั้งสามกับขุนนางคนอื่นมิสามารถช่วยเหลือพระองค์ได้แล้ว ก้ขอทรงกล่าวโทษพวกเขาต่อไพร่ฟ้าให้ทราบกันด้วย”
“พระองค์ควรหมั่นฝึกฝนและพัฒนาองค์เอง เพื่อให้มีความกล้าหาญและพระปรีชาได้เฉกเช่นอดีตฮ่องเต้ เหล่านี้คือสิ่งที่จอมคนผู้ทรงธรรมพึงยึดปฏิบัติเป็นเป้าหมาย มาบัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะนำทัพจากไปไกลแล้ว ข้าพเจ้าได้เขียนคำกราบทูลด้วยน้ำตานองหน้าก่อนที่จะได้กล่าวถึงความในใจทั้งปวงนี้ให้ทรงทราบได้ทั้งหมดสิ้น” เมื่อถวายฎีกาแล้ว จากนั้นขงเบ้งก็นำกองทัพไปตั้งมั่นที่เมียนหยางเพื่อตระเตรียมบุกพิชิตภาคเหนือตามที่ตั้งใจไว้ต่อไป
--------------------------------------
ฎีกาออกศึกภาคเหนือของขงเบ้งข้างต้นนี้ เป็นหนึ่งในเอกสารที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนและยุคสามก๊ก ทั้งในแง่ของความสละสลวยเชิงวรรณศิลป์ และแสดงความภักดีของขุนนางต่อเจ้าเหนือหัว และทำให้เราได้โอกาสเห็นประวัติศาสตร์ภายในของจ๊กก๊กช่วงหลังจากขงเบ้งครองอำนาจได้ชัดเจนขึ้นด้วย
ส่วนสามขุนนางใหญ่ที่ขงเบ้งกล่าวถึงในฎีกาหลายครั้งคือ บิฮุย ตังอุ๋น กุยฮิวจี่ เป็นกลุ่มขุนนางที่ขงเบ้งไว้ใจให้ดูแลราชสำนักในระหว่างที่ตนออกศึกปราบภาคเหนือ เนื่องจากขงเบ้งเดินทัพไปครั้งนี้ แทบจะไม่ได้กลับไปที่นครเฉิงตู แต่ประจำการอยู่ที่เมืองฮั่นจงนานนับปี กระทั่งต้องถอยทัพเพราะขาดแคลนเสบียงในภายหลัง ดังนั้นผู้ที่ช่วยเล่าเสี้ยนบริหารบ้านเมืองในจ๊กก๊กและมีอิทธิพลในราชสำนักจึงเป็นสามคนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า ผู้ที่สามารถสร้างผลงานและมีชื่อเสียงในทางบวกมากที่สุดเห็นจะเป็นบิฮุย ซึ่งหลังจากขงเบ้งสิ้นชีพแล้ว เจียวอ้วนรับตำแหน่งเฉิงเซี่ยงต่อมา หลังจากเจียวอ้วนสิ้นแล้ว บิฮุยจึงรับอำนาจบริหารราชการภายในของจ๊กก๊กต่อมา
เอาละ ทีนี้มาดูรายละเอียดการทำศึกบ้างครับ
จริงอยู่ว่า ขงเบ้งสั่งเคลื่อนทัพไปทางเขากิสานเป็นหลัก แต่ที่บุกไปจริงๆคือ ครั้งแรก ครั้งที่ 5 และครั้งสุดท้าย ซึ่งครั้งสุดท้ายเขาตั้งมั่นทัพใหญ่ไว้เตรียมทำศึกระยะยาวที่หวู่จ้าง ยังไปไม่ถึงกิสานด้วยซ้ำ
ส่วนรายละเอียดศึกแรก อ้างอิงจากในจดหมายเหตุจากประวัติของขงเบ้งก็คือ
ปีค.ศ.228 (ตรงกับปีเจี้ยนซิ่งที่ 6) ขงเบ้งประกาศศึกหมายจะพิชิตหัวเมืองเหมย จึงส่งจูล่งและเตงจี๋ไปเป็นทัพล่อหลอกโจหยินซึ่งเป็นขุนพลสำคัญของฝ่ายวุยก๊กที่ด่านจี้ ส่วนขงเบ้งก็บัญชาทัพด้วยตนเองไปตั้งมั่นอยู่ที่เขากิสาน แล้วด้วยแผนของขงเบ้ง หัวเมืองทั้งสามของวุยก๊กเวลานั้นคือเมืองหนานอัน เทียนสุย และอั้นติง ทั้งหมดจึงได้ก่อกบฏต่อวุยก๊ก สถานการณ์นี้ทำให้ทางวุยก๊กต้องคับขันมาก ฮ่องเต้โจยอยจำต้องเดินทัพด้วยตนเองมาประจำการที่เมืองเตียงอันเพื่อปลุกขวัญกำลังใจและบัญชาให้ขุนพลใหญ่เตียวคับนำทัพออกศึกปราบขงเบ้งให้ได้
ขงเบ้งส่งขุนพลและที่ปรึกษาคนสนิทคือม้าเจ๊กให้รับผิดชอบเป็นทัพหน้าเพื่อรับมือกับเตียวคับที่เกเต๋ง (เจียถิง) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แต่ม้าเจ๊กกลับฝ่าฝืนแผนกลยุทธ์หลัก แล้วปรับแผนการใหม่ซึ่งไม่เหมาะกับสถานการณ์ ทำให้ม้าเจ๊กต้องพ่ายศึกเตียวคับอย่างยับเยิน ผลจากความพ่ายแพ้ ทำให้กองทัพใหญ่ต้องถอยทัพทั้งหมดกลับสู่ฮั่นจง ขงเบ้งจึงกวาดต้อนราษฎรกว่าพันครัวเรือนในแถบซีเสียนแล้วถอยทัพกลับไปที่เมืองฮั่นจงด้วย
จากนั้นขงเบ้งก็มีคำสั่งประหารชีวิตม้าเจ๊กเพื่อขออภัยต่อเหล่าขุนพลทั้งปวง เวลานั้นเจียวอ้วนเดินทางจากนครเฉิงตูมาเพื่อจะขอละเว้นชีวิตม้าเจ๊ก แต่นายทหารได้นำศีรษะของม้าเจ๊กมาให้ขงเบ้งแล้ว เมื่อขงเบ้งเห็นก็ร่ำไห้ เจียวอ้วนถามว่า “ม้าเจ๊กทำผิดกฎกองทัพ ในเมื่อท่านกล่าวเองว่าสมควรประหาร เหตุใดจึงร่ำไห้เสียใจด้วย” ขงเบ้งตอบว่า “ข้าร่ำไห้เพราะนึกถึงคำของอดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) เมื่อยามที่พระองค์ใกล้สิ้นพระชนม์ชีพ ทรงตรัสเตือนข้าว่าม้าเจ๊กเจรจาโอ้อวดเกินจริง อย่าใช้ทำการใหญ่ ข้ามิได้นึกถึงคำเตือนของพระองค์ บัดนี้ก็เป็นจริงดั่งว่า จึงเจ็บใจความโง่เขลาของตนเอง เมื่อนึกถึงคำของอดีตฮ่องเต้ จึงได้แต่ร่ำไห้เช่นนี้”
ขงเบ้งเขียนคำอาลัยให้ครอบครัวของม้าเจ๊ก มอบเบี้ยหวัดเพื่อปลอบใจ แล้วถวายฎีกาถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “ข้าพเจ้าช่างโง่เขลา มิสมควรดำรงตำแหน่งสมุหนายกต่อไปอีก ข้าพเจ้านำทัพออกศึกดูแลกองทัพ แต่กลับกระทำการโดยไร้ความรอบคอบ เป็นเหตุให้เสียเกเต๋งและด่านจี้ ทุกประการล้วนเป็นความรับผิดชอบของข้าพเจ้าที่เลือกใช้บุคลากรไม่เหมาะสม นับตั้งแต่สมัยชุนชิวจ้านกว๋อเป็นต้นมา ผู้นำย่อมต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงขอให้ลดยศตำแหน่งของตนเองลงสามขั้น ข้าพเจ้ามีความละอายใจยิ่งนัก จึงขอหมอบคารวะแล้วรอบัญชาจากฝ่าบาท”
เล่าเสี้ยนมีราชโองการตอบกลับ ลดตำแหน่งขงเบ้งลงเป็นแม่ทัพฝ่ายขวา แต่ยังคงอำนาจหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองและจัดการกองทัพเสมือนเป็นสมุหนายกตามเดิมต่อไป
ที่จริงศึกแรกมีรายละเอียดมากกว่านี้ ยกมาเฉพาะส่วนขงเบ้ง แต่ในศึกแรกก็สรุปได้ว่า เป้าหมายหลักคือบุกทางเขากิสาน ให้ม้าเจ๊กตั้งค่ายไว้ที่เกเต๋ง โดนเตียวคับตีจนแตก แผนเลยพังหมด
วิเคราะห์แผนทำศึกวุยก๊กทางภาคเหนือทั้ง 6 ครั้งของขงเบ้ง ที่จริงแล้วคำว่าเอาแต่บุกที่กิสานทางเดิมคือความเข้าใจผิด
จริงๆแล้ว ที่มักพูดกันว่า ขงเบ้งบุกที่เขากิสาน 6 ครั้ง ที่จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจผิด ขงเบ้งไม่ได้เดินทัพไปที่กิสานทุกครั้ง แต่มันมีรายละเอียดเบื้องลึกมากกว่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ มีบันทึกไว้ตรงกันทั้งในประวัติศาสตร์และวรรณกรรมด้วย เพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะมีแตกต่างกันบ้าง แต่เป้าหมายหลักและเส้นทางการเดินทัพ วรรณกรรมสามก๊กได้อ้างอิงเนื้อหาในประวัติศาสตร์แล้วมาร้อยเรียงเรื่องราวให้เข้าใจง่ายอย่างชนิดที่เรียกว่าต้องคารวะหลอก้วนจง และสองพ่อลูกเหมาหลุนเหมาจงกังที่ประพันธ์ออกมาได้ขนาดนี้เลย
ก่อนอื่น มาดูฎีกาออกศึกของขงเบ้งฉบับเกือบเต็มกันหน่อย ที่เรียกว่าฉบับเกือบเต็ม เพราะเนื้อหาอาจบางส่วนไม่รู้ว่าควรจะแปลยังไง เนื่องจากอ้างอิงคำโบราณมา ตรงนี้จึงต้องขอขอบคุณเนื้อหาคำแปลในสามก๊กฉบับคุณวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์ ที่ได้แปลฎีกานี้ไว้ ซึ่งในสามก๊กฉบับพระยาพระคลังจะใช้วิธีการบอกเล่าแบบกระชับแทน เพราะเนื้อหามันแปลให้เข้าใจสำหรับคนไทยสมัยก่อนได้ยากจริงๆ
อ้างอิงส่วนนี้จาก จดหมายเหตุสามก๊ก บทชีวประวัติจูกัดเหลียง ขงเบ้ง
ปีค.ศ.225 (ตรงกับปีเจี้ยนซิ่งที่ 3) ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ขงเบ้งนำทัพใหญ่เดินทางบุกปราบภาคใต้ แล้วสามารถสยบทัพกบฏทั้งหมดได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถัดมา กำลังทหารที่ปราบกบฏนั้นไม่ได้เสียไปมากนัก ซ้ำการปราบกบฏยังทำให้ขงเบ้งสามารถเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มจากดินแดนภาคใต้ได้อีกเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั้นแสนยานุภาพของกองทัพจึงเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้น ขงเบ้งจึงเริ่มตระเตรียมความพร้อมด้วยการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อเตรียมทำศึกครั้งใหญ่ในการบุกภาคเหนือตามที่วางแผนไว้
ปีค.ศ.227 (ตรงกับปีเจี้ยนซิ่งที่ 5) ขงเบ้งนำเหล่าขุนพลสู่ภาคเหนือ ตั้งมั่นที่เมืองฮั่นจง ก่อนจะเคลื่อนทัพออกศึกก็ส่งฎีกาถึงฮ่องเต้เล่าเสี้ยน ความว่า
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อน (เล่าปี่) บุกเบิกบ้านเมืองมาอย่างแสนสาหัสกว่าจะสามารถสร้างอาณาจักรขึ้นได้ แต่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน มาวันนี้ แผ่นดินแบ่งขั้วอำนาจออกเป็นสามก๊ก ดินแดนเอ๊กจิ๋ว (จ๊กก๊ก) ของเราเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติ ผ่านการศึกมาอย่างหนักหน่วง หากเกิดศึกขึ้นอีกก็ยากจะป้องกันได้ แต่เหล่าขุนนางทั้งปวงก็มิได้เกียจคร้าน พยายามรักษาบ้านเมืองให้เข้มแข็งทั้งในและนอก ด้วยว่าสำนึกในพระกรุณาธิคุณของอดีตฮ่องเต้และหมายที่จะตอบแทนพระองค์ ฝ่าบาทจึงควรคบหาคนดี หลีกหนีจากคนชั่ว บ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง ทรงอย่าได้สนพระทัยกับเรื่องไร้สาระทำให้คุณธรรมเสื่อมเสียให้เป็นที่ติฉินนินทาได้”
“ในราชสำนักยังมีกฎมณเฑียรบาลและระเบียบสำหรับควบคุมความประพฤติของผู้นำและเชื้อพระวงศ์ฉันใด บ้านเมืองก็ต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินฉันนั้นเช่นกัน หากผู้ใดทำดี ก็ประทานรางวัลปูนบำเหน็จ ผู้ใดทำผิดก็ลงโทษตามพระอาญา กฎหมายมีไว้เพื่อควบคุมมิให้เหล่าคนชั่วได้ทำผิด และมีเจ้าพนักงานผู้ควบคุมดูแลกฎหมาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมและคุณธรรมของบ้านเมือง การเลือกที่รักมักที่ชังจึงเป็นสิ่งมิชอบ เช่นเดียวกับการมีกฎหมายบ้านเมืองไว้เพื่อใช้ในพระราชสำนักและในหัวเมือง”
“เหล่าขุนนาง กอปรด้วย ตังอุ๋น บิฮุย กุยฮิวจี่ บุคคลทั้งสามนี้ล้วนเป็นตงฉินผู้มีความสัตย์ซื่อเทียงตรงและมีความภักดีอย่างที่สุด ครั้งนั้นอดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) ทรงไว้วางใจให้พวกเขาเป็นขุนนางใกล้ชิด ข้าพเจ้าเห็นว่าฝ่าบาทสมควรปรึกษาราชการแผ่นดินกับขุนนางทั้งสาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้อยหรือใหญ่ หากแม้นมีพระราชโองการใดลงไป ก็จะสามารถแก้ไขสิ่งผิดพลาดให้กลับกลายเป็นถูกต้องได้แน่”
“เหล่าขุนพล เฮียงทง เป็นผู้มีความสุขุมรอบคอบ รอบรู้พิชัยสงครามการทหาร อดีตฮ่องเต้ได้ทดสอบความสามารถของเขามาแล้วจึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ ในความเห็นของข้าพเจ้านั้น ในการทำศึกและการทหารควรปรึกษากับคนผู้นี้”
“พระองค์ควรหาผู้มีความสามารถเข้ามาให้มาก หลีกเลี่ยงและขับไล่คนชั่วช้าออกไป ราชวงศ์ฮั่นเมื่อครั้งก่อตั้งอาณาจักรนั้นยิ่งใหญ่รุ่งเรืองได้เพราะผู้นำมีจิตใจเที่ยงธรรม คบหานักปราชญ์และตงฉินที่ซื่อตรงสุจริต ไม่คิดแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งหลีกห่างจากกังฉินขี้ประจบสอพลอ แต่ในยุคหลัง การณ์กลับเป็นตรงข้าม ราชวงศ์ฮั่นจึงเสื่อมถอยลงและเป็นเหตุให้ล่มสลายในที่สุด เมื่ออดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ทรงปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมืองกับพวกเราขุนนางอยู่เสมอ เพราะทรงตระหนักดีถึงบทเรียนจากความล้มเหลวของพระเจ้าฮั่นฮวนเต้และพระเจ้าฮั่นเลนเต้ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้”
“นายอาลักษณ์ ตันจี๋ และ ราชเลขาธิการ เจียวอ้วน ล้วนเป็นผู้มีความสามารถ พวกเขาไม่เคยมีประวัติเสียหายและจะถวายความภักดีตราบจนสิ้นวาย ข้าพเจ้าหวังว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อถือและอยู่ใกล้ชิดคนเหล่านี้ จะมีแต่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นอยู่ยั้งยืนยาวสืบไป”
“แต่เดิมแล้วข้าพเจ้าเป็นเพียงสามัญชนที่อาศัยอยู่ในหนานหยาง ข้าพเจ้าเพียงหวังใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและหลีกหนีจากไฟสงครามและกลียุคอันแสนวุ่นวายเท่านั้น และข้าพเจ้าก็มิได้เป็นที่รู้จักของเหล่าขุนศึกใดๆ จนกระทั่งอดีตองค์ฮ่องเต้มิได้ทรงรังเกียจในชาติกำเนิดต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่กลับทรงดั้นด้นเสด็จด้วยพระองค์เองไปเยือนที่กระท่อมถึง 3 ครั้ง ด้วยทรงต้องการปรึกษาหารือเรื่องอนาคตของบ้านเมือง ความถ่อมพระองค์และจิตใจกว้างขวางเช่นนี้เป็นที่ซาบซึ้งแก่ใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ยอมถวายตัวเพื่อเข้ารับใช้พระองค์นับแต่นั้นมา”
“หลังจากพ่ายแพ้ในการออกศึก (ศึกเตียงปัน) และข้าพเจ้าก็ได้รับภาระหน้าที่อันแสนยากและชีวิตต้องเผชิญภยันตรายทั้งหลายนั้น ก็ได้ผ่านล่วงมา 21 ปีแล้ว อดีตองค์ฮ่องเต้ทรงเชื่อถือไว้วางใจแก่ข้าพเจ้าจนกระทั่งแม้ว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ก็ยังได้มอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่ข้าพเจ้าสืบต่อมา นับแต่นั้นข้าพเจ้าก็มิอาจข่มตานอนหลับได้สนิทใจ ด้วยเกรงว่าจะมิสามารถทำการใหญ่ได้สมดั่งหมายแล้วเป็นการเสื่อมเสียถึงพระเกียรติยศ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้นำกองทัพข้ามลำน้ำลกซุยเพื่อบุกตีดินแดนทางใต้อันป่าเถื่อน มาบัดนี้แดนใต้สงบราบคาบและแสนยานุภาพของทัพเราก็พรั่งพร้อมแล้ว พวกเราจึงควรนำทัพใหญ่บุกโจมตีภาคเหนือและภาคกลาง ปราบปรามเหล่าคนชั่วช้า ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น แล้วอัญเชิญเสด็จฝ่าบาทให้กลับคืนราชธานีเก่า นี่นับเป็นภารกิจที่ข้าพเจ้ามีต่ออดีตฮ่องเต้และเป็นการถวายความภักดีต่อฝ่าบาท”
“ขอฝ่าบาททรงปรึกษาหารือกับ กุยฮิวจี่ บิฮุย และ ตังอุ๋น พวกเขาทั้งสามเป็นขุนนางที่มีหน้าที่ช่วยเหลือพระองค์ในราชการงานเมืองและตัดสินคดีความทั้งปวง ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้ปฏิบัติภารกิจปราบเหล่าโจรร้ายทั้งปวงแล้วฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นกลับมา หากแม้นข้าพเจ้าทำการไม่สัมฤทธิ์ผลแล้วไซร้ ขอพระองค์ทรงลงโทษข้าพเจ้า แล้วกราบทูลต่อดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ให้ทรงทราบ แล้วหากแม้นขุนนางใหญ่ทั้งสามกับขุนนางคนอื่นมิสามารถช่วยเหลือพระองค์ได้แล้ว ก้ขอทรงกล่าวโทษพวกเขาต่อไพร่ฟ้าให้ทราบกันด้วย”
“พระองค์ควรหมั่นฝึกฝนและพัฒนาองค์เอง เพื่อให้มีความกล้าหาญและพระปรีชาได้เฉกเช่นอดีตฮ่องเต้ เหล่านี้คือสิ่งที่จอมคนผู้ทรงธรรมพึงยึดปฏิบัติเป็นเป้าหมาย มาบัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะนำทัพจากไปไกลแล้ว ข้าพเจ้าได้เขียนคำกราบทูลด้วยน้ำตานองหน้าก่อนที่จะได้กล่าวถึงความในใจทั้งปวงนี้ให้ทรงทราบได้ทั้งหมดสิ้น” เมื่อถวายฎีกาแล้ว จากนั้นขงเบ้งก็นำกองทัพไปตั้งมั่นที่เมียนหยางเพื่อตระเตรียมบุกพิชิตภาคเหนือตามที่ตั้งใจไว้ต่อไป
--------------------------------------
ฎีกาออกศึกภาคเหนือของขงเบ้งข้างต้นนี้ เป็นหนึ่งในเอกสารที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนและยุคสามก๊ก ทั้งในแง่ของความสละสลวยเชิงวรรณศิลป์ และแสดงความภักดีของขุนนางต่อเจ้าเหนือหัว และทำให้เราได้โอกาสเห็นประวัติศาสตร์ภายในของจ๊กก๊กช่วงหลังจากขงเบ้งครองอำนาจได้ชัดเจนขึ้นด้วย
ส่วนสามขุนนางใหญ่ที่ขงเบ้งกล่าวถึงในฎีกาหลายครั้งคือ บิฮุย ตังอุ๋น กุยฮิวจี่ เป็นกลุ่มขุนนางที่ขงเบ้งไว้ใจให้ดูแลราชสำนักในระหว่างที่ตนออกศึกปราบภาคเหนือ เนื่องจากขงเบ้งเดินทัพไปครั้งนี้ แทบจะไม่ได้กลับไปที่นครเฉิงตู แต่ประจำการอยู่ที่เมืองฮั่นจงนานนับปี กระทั่งต้องถอยทัพเพราะขาดแคลนเสบียงในภายหลัง ดังนั้นผู้ที่ช่วยเล่าเสี้ยนบริหารบ้านเมืองในจ๊กก๊กและมีอิทธิพลในราชสำนักจึงเป็นสามคนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า ผู้ที่สามารถสร้างผลงานและมีชื่อเสียงในทางบวกมากที่สุดเห็นจะเป็นบิฮุย ซึ่งหลังจากขงเบ้งสิ้นชีพแล้ว เจียวอ้วนรับตำแหน่งเฉิงเซี่ยงต่อมา หลังจากเจียวอ้วนสิ้นแล้ว บิฮุยจึงรับอำนาจบริหารราชการภายในของจ๊กก๊กต่อมา
เอาละ ทีนี้มาดูรายละเอียดการทำศึกบ้างครับ
จริงอยู่ว่า ขงเบ้งสั่งเคลื่อนทัพไปทางเขากิสานเป็นหลัก แต่ที่บุกไปจริงๆคือ ครั้งแรก ครั้งที่ 5 และครั้งสุดท้าย ซึ่งครั้งสุดท้ายเขาตั้งมั่นทัพใหญ่ไว้เตรียมทำศึกระยะยาวที่หวู่จ้าง ยังไปไม่ถึงกิสานด้วยซ้ำ
ส่วนรายละเอียดศึกแรก อ้างอิงจากในจดหมายเหตุจากประวัติของขงเบ้งก็คือ
ปีค.ศ.228 (ตรงกับปีเจี้ยนซิ่งที่ 6) ขงเบ้งประกาศศึกหมายจะพิชิตหัวเมืองเหมย จึงส่งจูล่งและเตงจี๋ไปเป็นทัพล่อหลอกโจหยินซึ่งเป็นขุนพลสำคัญของฝ่ายวุยก๊กที่ด่านจี้ ส่วนขงเบ้งก็บัญชาทัพด้วยตนเองไปตั้งมั่นอยู่ที่เขากิสาน แล้วด้วยแผนของขงเบ้ง หัวเมืองทั้งสามของวุยก๊กเวลานั้นคือเมืองหนานอัน เทียนสุย และอั้นติง ทั้งหมดจึงได้ก่อกบฏต่อวุยก๊ก สถานการณ์นี้ทำให้ทางวุยก๊กต้องคับขันมาก ฮ่องเต้โจยอยจำต้องเดินทัพด้วยตนเองมาประจำการที่เมืองเตียงอันเพื่อปลุกขวัญกำลังใจและบัญชาให้ขุนพลใหญ่เตียวคับนำทัพออกศึกปราบขงเบ้งให้ได้
ขงเบ้งส่งขุนพลและที่ปรึกษาคนสนิทคือม้าเจ๊กให้รับผิดชอบเป็นทัพหน้าเพื่อรับมือกับเตียวคับที่เกเต๋ง (เจียถิง) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แต่ม้าเจ๊กกลับฝ่าฝืนแผนกลยุทธ์หลัก แล้วปรับแผนการใหม่ซึ่งไม่เหมาะกับสถานการณ์ ทำให้ม้าเจ๊กต้องพ่ายศึกเตียวคับอย่างยับเยิน ผลจากความพ่ายแพ้ ทำให้กองทัพใหญ่ต้องถอยทัพทั้งหมดกลับสู่ฮั่นจง ขงเบ้งจึงกวาดต้อนราษฎรกว่าพันครัวเรือนในแถบซีเสียนแล้วถอยทัพกลับไปที่เมืองฮั่นจงด้วย
จากนั้นขงเบ้งก็มีคำสั่งประหารชีวิตม้าเจ๊กเพื่อขออภัยต่อเหล่าขุนพลทั้งปวง เวลานั้นเจียวอ้วนเดินทางจากนครเฉิงตูมาเพื่อจะขอละเว้นชีวิตม้าเจ๊ก แต่นายทหารได้นำศีรษะของม้าเจ๊กมาให้ขงเบ้งแล้ว เมื่อขงเบ้งเห็นก็ร่ำไห้ เจียวอ้วนถามว่า “ม้าเจ๊กทำผิดกฎกองทัพ ในเมื่อท่านกล่าวเองว่าสมควรประหาร เหตุใดจึงร่ำไห้เสียใจด้วย” ขงเบ้งตอบว่า “ข้าร่ำไห้เพราะนึกถึงคำของอดีตฮ่องเต้ (เล่าปี่) เมื่อยามที่พระองค์ใกล้สิ้นพระชนม์ชีพ ทรงตรัสเตือนข้าว่าม้าเจ๊กเจรจาโอ้อวดเกินจริง อย่าใช้ทำการใหญ่ ข้ามิได้นึกถึงคำเตือนของพระองค์ บัดนี้ก็เป็นจริงดั่งว่า จึงเจ็บใจความโง่เขลาของตนเอง เมื่อนึกถึงคำของอดีตฮ่องเต้ จึงได้แต่ร่ำไห้เช่นนี้”
ขงเบ้งเขียนคำอาลัยให้ครอบครัวของม้าเจ๊ก มอบเบี้ยหวัดเพื่อปลอบใจ แล้วถวายฎีกาถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “ข้าพเจ้าช่างโง่เขลา มิสมควรดำรงตำแหน่งสมุหนายกต่อไปอีก ข้าพเจ้านำทัพออกศึกดูแลกองทัพ แต่กลับกระทำการโดยไร้ความรอบคอบ เป็นเหตุให้เสียเกเต๋งและด่านจี้ ทุกประการล้วนเป็นความรับผิดชอบของข้าพเจ้าที่เลือกใช้บุคลากรไม่เหมาะสม นับตั้งแต่สมัยชุนชิวจ้านกว๋อเป็นต้นมา ผู้นำย่อมต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงขอให้ลดยศตำแหน่งของตนเองลงสามขั้น ข้าพเจ้ามีความละอายใจยิ่งนัก จึงขอหมอบคารวะแล้วรอบัญชาจากฝ่าบาท”
เล่าเสี้ยนมีราชโองการตอบกลับ ลดตำแหน่งขงเบ้งลงเป็นแม่ทัพฝ่ายขวา แต่ยังคงอำนาจหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองและจัดการกองทัพเสมือนเป็นสมุหนายกตามเดิมต่อไป
ที่จริงศึกแรกมีรายละเอียดมากกว่านี้ ยกมาเฉพาะส่วนขงเบ้ง แต่ในศึกแรกก็สรุปได้ว่า เป้าหมายหลักคือบุกทางเขากิสาน ให้ม้าเจ๊กตั้งค่ายไว้ที่เกเต๋ง โดนเตียวคับตีจนแตก แผนเลยพังหมด