สวัสดีค่ะชาวพันทิป ป้าเป็นตุ๊ดนะคะ และจริงๆ แล้วป้าก็เป็นตุ๊ดเมียฝรั่งที่ย้ายตามสามีไปโน่นนั่นนี่แล้วแต่บริษัทสามีจะสั่งให้ย้ายไปไหน สามีป้าทำงานในบริษัทอินเตอร์แห่งหนึ่งมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ จนถึงวันนี้อายุการทำงาน 25 ปีแล้วก็ได้รับการโปรโมตไปตามอายุงาน เงินเดือนของสามีลำพังก็พอกินพอใช้กันสองคนไม่ขัดสน ที่อยู่อาศัยมาตรฐานชีวิตต่าง ๆ บริษัทสามีก็จัดให้ตามสมควร แต่การย้ายไปย้ายมาของสามีบางทีก็มีปัญหาในชีวิตของป้าเรื่องของสังคม เรื่องของการทำงานของป้า ป้าเองก็พยายามหาอะไรที่แบบว่าง่าย ๆ สั้น ๆ แบบจบในตอน เพื่อฆ่าเวลาไปในแต่ละประเทศที่ย้ายไป และเป็นที่มาของกะทู้นี้ คือการทำงานในคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองจีนของป้าเองจ้า
ขอเกริ่นก่อน ว่าในสมัยย้ายมาเซี่ยงไฮ้ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน ป้าไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้จะหางานหรือร่ำเรียนอะไร แต่พอเห็นว่าคนจีนเขาพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลยก็ขอเรียนภาษาจีนไปก่อนแล้วกัน ป้าก็ไปเรียนภาษาจีนจนพอจะพูดภาษาจีนได้บ้างก็มีร้านอาหารไทยมาจ้างเป็นผู้จัดการร้าน(ซึ่งไม่ใช่งานที่ถนัดนัก) จนพอมีเพื่อนฝูงบ้าง ถึงได้ทราบว่ามีงานคอลเซ็นเตอร์ที่รับสายจากประเทศไทยอยู่ที่เซี่ยงไฮ้นี่ ก็กล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เลย เข้าใจว่าเป็นการขายของผ่านโทรศัพท์ หรือไม่ก็เป็นพวกแก๊งต้มตุ๋นที่หลอกให้คนโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มไปโน่น แต่จนวันหนึ่ง เพื่อนที่รู้จักเขาไปทำแล้วโอเคมาก ก็เลยชวนป้ามาทำด้วย ป้าถึงได้รู้ว่า
คอลเซ็นเตอร์เป็นบริษัทอิสระ โดยบริษัทข้ามชาติระดับทวีปจะจ้างให้คอลเซ็นเตอร์มารับสายให้ พนักงานคอลเซ็นเตอร์จะได้รับการอบรม(ด้วยภาษาอังกฤษ)ให้มีความรู้เทียบเท่ากับการเป็นพนักงานของสินค้านั้น ๆ แล้วพนักงานคอลเซ็นเตอร์ก็จะรับสายจากประเทศของตน เพื่อนร่วมงานของป้าเลยจะมีทั้งคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลยเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ฯลฯ คนไทยก็เยอะมาก นั่งรับสายกันวุ่นวายเป็นคอก ๆ แต่ละคนก็รับสายจากประเทศตัวเองกันไป ใครภาษาดีจะรับสายภาษาอังกฤษหรือรับสายของอีกภาษาที่ตัวเองถนัดก็ได้
ตอนนั้นป้ารับสายให้เช็คเดินทางยี่ห้อหนึ่ง ก็รับสายจากเมืองไทยอย่างเดียว เค้าเทรนป้าอยู่ 2 เดือนให้มีความรู้เกี่ยวกับเช็คเดินทางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิต วิธีการใช้งาน การอายัดเช็ค การอนุมัติเช็ค การออกเช็คใหม่ การรับเช็คที่เค้าน์เตอร์ธนาคาร คนที่โทรมาส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ถามว่าเช็คที่มาขึ้นเงินมีปัญหาอะไรไหม ถูกอายัตหรือไม่ หรือลูกค้าทำเช็คหาย ทายาทจะเอาเช็คไปขึ้นเงินกรณีเจ้าของเช็คเสียชีวิต ต่าง ๆ นานา เสียดายที่หลังจากที่ป้าทำได้แค่ปีเดียว บรษัทสามีก็ย้ายสามีไปทำงานประเทศอื่น ป้าเลยต้องลาออกย้ายตามสามีไปยุโรปจ้ะ
4 ปีในยุโรปผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป้าก็ทำโน่นนั่นนี่ไปหลายอย่าง ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังวันหลัง แต่วันหนึ่ง บริษัทสามีก็มีคำสั่งย้ายนางกลับมาทำงานที่เซี่ยงไฮ้นี่อีกครั้ง
ป้ากลับมาเซี่ยงไฮ้ในวัย 40 ขวบ ถามหาเพื่อน ๆ ร่วมงานสมัยก่อนที่เคยทำงานคอลเซ็นเตอร์ด้วยกัน ก็พบว่าส่วนใหญ่ย้ายประเทศไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว จริง ๆ แล้วงานคอลเซ็นเตอร์นี่ต้องบอกว่ามันเป็นงานชั่วคราวที่เค้าจะไม่ทำกันนาน ๆ เนื่องจากรายได้ไม่เยอะ ไม่มีสวัสดิการ ส่วนใหญ่จะเป็นงานของเด็กจบใหม่ที่ต้องการหาประสบการณ์การทำงานในต่างแดน เป็นงานของสาวโสดที่มีความฝันในการตามหารักแท้ เป็นงานของลูกคุณหนูที่อยากจะไปอยู่ที่ไหนที่พ้นหูพ้นตาพ่อแม่และตามหารักแท้ เป็นงานของชายโสดรักสันโดษและตามหารักแท้ พอแล้ว ตึ่งโป๊ะ 555555 อย่างไรก็ตาม ยังมีเพื่อนเก่า ๆ เหลืออยู่บ้าง เค้าก็ช่วยฝากฝังให้ป้ากลับมาทำงานที่บริษัทเดิมที่ป้าเคยทำ
ป้าได้เริ่มทำงานทันทีที่ย้ายกลับมาเซี่ยงไฮ้ กลับมาคราวนี้บริษัทคอลเซ็นเตอร์แห่งนี้ไม่ได้ทำให้สินค้าตัวเดิมแล้ว ป้าก็ต้องไปทำงานให้กับสินค้าตัวใหม่ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุ ในส่วนที่ดูแลคราวนี้เป็นการรับสายผู้ใช้เว็บไซต์และแอ็พที่ลูกค้าโหลดไปใช้งาน ปัญหาที่มีก็เช่น เซอร์ฟเว่อร์ล่ม ลืมพาสเวิร์ด กรอกข้อมูลในเว็บไซต์ยังไง โหลดยังไง ติดตั้งยังไง ฯลฯ งานคราวนี้ออกจะน่าเบื่อ เพราะสายจากประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย และบุคคลิกของแผนกนั้นก็ค่อนข้างจะจีน ๆ และประหยัดมาก ๆ ตัวอย่างของการประหยัดก็เช่น
- ไม่มีการอบรม อันนี้เรื่องจริง เค้าให้ป้านั่งฟังเทปการรับสายเก่า ๆ และส่งคู่มืออบรมมาให้ป้ามาศึกษาด้วยตัวเอง ป้าก็ถามเอาจากเพื่อนร่วมงานบ้าง แต่ไม่มีตำแหน่งเทรนเนอร์ที่จะมาสอนงานเราเป็นเรื่องเป็นราวแบบสินค้าตัวที่แล้ว โดยที่ตัวสินค้าก็ไม่ทราบว่าไม่มีการเทรน วันดีคืนดีบริษัทลูกค้าโทรมาทดสอบแล้วตอบคำถามไม่ได้ก็โป๊ะแตกกันไป มีขอโทษขอโพยลูกค้า บอกจะปรับปรุงอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ก็ยังไม่มีเทรนเนอร์อยู่ดี ให้ตายเหอะโรบิ้น
- กิจกรรมบันเทิงของพนักงานหายเกลี้ยง ไม่มีการพาไปเอ้าติ้งต่างจังหวัด ไม่มีงานเลี้ยงปีใหม่แบบเดิม ไม่มีการเลี้ยงมื้อเย็นพนักงานที่ทำโอที จริง ๆ คือไม่มีแม้แต่โอทีด้วยซ้ำ แต่งานไม่เสร็จก็ห้ามกลับบ้าน ฯลฯ
- พนักงานทำงานแย่แค่ไหนก็จะไม่ไล่ออก เพราะการไล่ออกจะต้องเสียเงินชดเชย ต่อให้พนักงานทำงานได้ไม่ดีก็ยังเก็บไว้ ขอสารภาพว่าป้าเองก็ทำงานได้แย่มากเพราะไม่มีการเทรน เมื่อไม่มีเทรนเนอร์มาบังคับจ้ำจี้จ้ำไช คู่มือการเทรนก็มีแต่ตัวหนังสืออ่านแล้วตาลายเป็นบ้า ทำให้ป้าจำข้อมูลสินค้าได้ผิด ๆ ถูก ๆ บ้าง มีลูกค้าโทรมาคอมเพลนอะไรสารพัด แต่เค้าก็ยังปล่อยให้ป้ารับสายไปแกน ๆ อย่างนั้น
เรื่องของการประหยัดนี่มีเหตุผลจ้ะ เนื่องจากค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แข็งค่าขึ้นมว้ากกกกก (ในขณะที่เงินบาทไทยผูกติดอยู่กับเงินหยวนเราเลยไม่เห็นความแตกต่าง) จนทำให้สินค้าต่าง ๆ ย้ายไปจ้างประเทศอื่น ๆ รับสายกันหมด ที่เหลืออยู่ได้ก็พวกเงินหนาจริงหรือไม่ก็ต้องตัดงบโน่นนั่นนี่สารพัดตามที่เล่า
แต่อย่างไรก็ตาม ป้าก็ยังมีความสุขกับการทำงานที่บริษัทนี้ เพราะการออกมาทำงานประจำทำให้ป้ารู้ว่าแต่ละวันป้าจะต้องทำอะไร มีสังคม มีเพื่อนร่วมงานมากมาย ทั้งคนจีน คนต่างชาติและคนไทย โดยเฉพาะคนไทย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ๆ จบใหม่อายุอานามรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่ตุ๊ดสูงวัยอย่างป้าจะชอบที่จะทำขนมไทย ๆ ไปเที่ยวไล่แจก ใครคิดถึงขนมอะไรป้าจัดให้ได้ก็จัด (กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็เททิ้ง 5555 ) บุคคลิกป้าก็คล้าย ๆ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ด้วยไง เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้หลาน ๆ ฟัง ได้รู้ได้เห็นความเป็นไปของหลาน ๆ แต่ละคน ป้าก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าตามวัยวารของตัวเองมาได้ปีครึ่งแล้วจ้ะ
-----------------------------------------------
ข้างล่างนี้ไปจะเป็นเรื่องราวในส่วนของการลาออกของป้าแล้วนะจ๊ะ อยากอ่านก็อ่านต่อ ไม่อยากอ่านแต่เผลอไปอ่านก็อย่ามาด่า ด่ามาป้าด่ากลับ 5555555
คือเมื่อไม่นานมานี้ ป้าโดนย้ายมาทำงานให้สินค้าตัวใหม่เพราะมีพนักงานไทยออกไปแบบด่วน ๆ สินค้าตัวนี้เป็นสินค้าไอทีที่ป้าเองก็ไม่ค่อยถนัด แต่แผนกใหม่นี้มีเทรนเนอร์อบรมป้าเป็นเรื่องเป็นราว เทรนเนอร์บอกว่าป้าเรียนรู้สินค้าใหม่ได้ช้าาาามาก สอบไม่ผ่านซ้ำซากไม่จบไม่สิ้น แต่ผู้จัดการที่คุ้นเคยกันก็เมตตาให้ป้ารับสายสำรองไป
จนเมื่อเดือนก่อน สินค้าที่ป้ารับสายให้ซื้ออีกสินค้าหนึ่งเข้ามาอยู่ในเครือ แล้วสินค้านั้นเค้าก็มีคอลเซ็นเตอร์ของตัวเอง(อยู่ที่เมืองที่ค่าครองชีพถูกกว่า) ซึ่งทางฝั่งนั้นเค้าคิดค่าบริการถูกกว่าบริษัทของเราที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้มาก
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าขอทำทำสังคายนาครั้งใหญ่ว่าอะไรทำให้ค่าใช้จ่ายฝั่งนี้แพงจัง พบจุดบอดหลายอย่าง งานนี้ทำให้มีคนออกไปหลายคน ส่วนป้าที่โป๊ะแตกเรื่องการทำงานเป็นสายสำรองมาแสนนาน ก็โดนสอบเข้ม ป้าโดนใบเตือนซึ่งคล้าย ๆ ให้ป้ากลับไปอยู่ในระยะทดลองงานอีกครั้ง ซึ่งระยะเฝ้าระวังนี้มีระยะเวลา 1 เดือน เป็นสัญญาที่ป้าต้องอ่านและเซ็นรับทราบ
ป้าอ่านสัญญาแล้วก็พบว่ามันคือเดือนธันวาคมทั้งเดือน ป้าขอเลื่อนช่วงโปรนี้ไปเป็นหลังปีใหม่ได้ไหมเพราะป้าได้ทำเรื่องขอลาไปเที่ยว 2 สัปดาห์(ลาไปญี่ปุ่นกับ/เกาหลี) ผู้จัดการบอกว่าป้าใช้วันลาหมดไปแล้ว แล้วแผนกเราจะโดนยุบอยู่แล้วยังมีหน้ามาลาไปเที่ยวอีกเหรอป้า ถ้าจะไปเที่ยวป้าก็ไปเที่ยวหลังปีใหม่โน่น
ระหว่างนั้นป้างุนงง คิดคิดสระตะ ประเด็นคือสามีป้าเค้ามีวันหยุดเหลือเยอะแยะรอวันหมดอายุสิ้นปีนี้(จริง ๆ คือเหลือ 3 สัปดาห์ แต่ยอมเสียไป 1 สัปดาห์เพราะที่ทำงานป้าไม่ยอมให้ลาเกิน 2 สัปดาห์) จะเก็บไว้หรือขายคืนก็ไม่ได้ แถมสามีก็ไปจองตั๋วจองโรงแรม ป้าเองก็ไปต่ออายุพาสปอร์ตสำหรับเดินทางอะไรวุ่นวายไปเรียบร้อย สงสารสามีที่ทำงานหนัก เดินทางบ่อย มีวันลาหยุดป้าก็ไม่มีเวลาไปเที่ยวกับเขาสักที
สุดท้ายเลยบอกผู้จัดการไปว่างั้นป้าขอลาออกค่ะ
ดังนั้น สิ่งที่พวกคุณ ๆ อ่านกัน มันคือบันทึกความทรงจำของป้าที่มีต่อที่ทำงานแห่งนี้ ที่ป้าใช้เวลาในบ่ายวันสุดท้ายของการทำงานคอลเซ็นเตอร์นี้เขียนมันขึ้นมา ป้าเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงนะ ยังไม่รู้ว่าจะหางานทำใหม่ หรือออกไปเรียนภาษาจีนเพิ่ม ระหว่างเขียน ๆ นี่สามีที่เดินทางอยู่ต่างประเทศก็โทรมาบอกว่าบางทีอาจจะได้ย้ายประเทศเร็ว ๆ นี้ อะไรกันนักกันหนา
แต่อย่างไรป้าก็ขอแชร์เรื่องราวการทำงานของป้า ในงานนี้ซึ่งไม่ค่อยมีการรับรู้ให้ได้รับทราบกัน ขอให้ทุกท่านรับชมเอากันขำ ๆ และนี่ก็ไม่ใช่เอกสารทางวิชาการ มีความเห็นส่วนตัวของป้าอยู่ด้วย ใครจะเอาไปอ้างอิงที่ไหนก็โปรดใช้วิจารณญาณ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานหรือชีวิตที่เลือก ขอบคุณค่ะ
ป้าตุ๊ดขอแชร์ประสบการณ์ทำงานการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในเมืองจีนค่ะ
ขอเกริ่นก่อน ว่าในสมัยย้ายมาเซี่ยงไฮ้ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อน ป้าไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้จะหางานหรือร่ำเรียนอะไร แต่พอเห็นว่าคนจีนเขาพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลยก็ขอเรียนภาษาจีนไปก่อนแล้วกัน ป้าก็ไปเรียนภาษาจีนจนพอจะพูดภาษาจีนได้บ้างก็มีร้านอาหารไทยมาจ้างเป็นผู้จัดการร้าน(ซึ่งไม่ใช่งานที่ถนัดนัก) จนพอมีเพื่อนฝูงบ้าง ถึงได้ทราบว่ามีงานคอลเซ็นเตอร์ที่รับสายจากประเทศไทยอยู่ที่เซี่ยงไฮ้นี่ ก็กล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เลย เข้าใจว่าเป็นการขายของผ่านโทรศัพท์ หรือไม่ก็เป็นพวกแก๊งต้มตุ๋นที่หลอกให้คนโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มไปโน่น แต่จนวันหนึ่ง เพื่อนที่รู้จักเขาไปทำแล้วโอเคมาก ก็เลยชวนป้ามาทำด้วย ป้าถึงได้รู้ว่า
คอลเซ็นเตอร์เป็นบริษัทอิสระ โดยบริษัทข้ามชาติระดับทวีปจะจ้างให้คอลเซ็นเตอร์มารับสายให้ พนักงานคอลเซ็นเตอร์จะได้รับการอบรม(ด้วยภาษาอังกฤษ)ให้มีความรู้เทียบเท่ากับการเป็นพนักงานของสินค้านั้น ๆ แล้วพนักงานคอลเซ็นเตอร์ก็จะรับสายจากประเทศของตน เพื่อนร่วมงานของป้าเลยจะมีทั้งคนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลยเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ฯลฯ คนไทยก็เยอะมาก นั่งรับสายกันวุ่นวายเป็นคอก ๆ แต่ละคนก็รับสายจากประเทศตัวเองกันไป ใครภาษาดีจะรับสายภาษาอังกฤษหรือรับสายของอีกภาษาที่ตัวเองถนัดก็ได้
ตอนนั้นป้ารับสายให้เช็คเดินทางยี่ห้อหนึ่ง ก็รับสายจากเมืองไทยอย่างเดียว เค้าเทรนป้าอยู่ 2 เดือนให้มีความรู้เกี่ยวกับเช็คเดินทางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิต วิธีการใช้งาน การอายัดเช็ค การอนุมัติเช็ค การออกเช็คใหม่ การรับเช็คที่เค้าน์เตอร์ธนาคาร คนที่โทรมาส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ถามว่าเช็คที่มาขึ้นเงินมีปัญหาอะไรไหม ถูกอายัตหรือไม่ หรือลูกค้าทำเช็คหาย ทายาทจะเอาเช็คไปขึ้นเงินกรณีเจ้าของเช็คเสียชีวิต ต่าง ๆ นานา เสียดายที่หลังจากที่ป้าทำได้แค่ปีเดียว บรษัทสามีก็ย้ายสามีไปทำงานประเทศอื่น ป้าเลยต้องลาออกย้ายตามสามีไปยุโรปจ้ะ
4 ปีในยุโรปผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป้าก็ทำโน่นนั่นนี่ไปหลายอย่าง ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังวันหลัง แต่วันหนึ่ง บริษัทสามีก็มีคำสั่งย้ายนางกลับมาทำงานที่เซี่ยงไฮ้นี่อีกครั้ง
ป้ากลับมาเซี่ยงไฮ้ในวัย 40 ขวบ ถามหาเพื่อน ๆ ร่วมงานสมัยก่อนที่เคยทำงานคอลเซ็นเตอร์ด้วยกัน ก็พบว่าส่วนใหญ่ย้ายประเทศไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว จริง ๆ แล้วงานคอลเซ็นเตอร์นี่ต้องบอกว่ามันเป็นงานชั่วคราวที่เค้าจะไม่ทำกันนาน ๆ เนื่องจากรายได้ไม่เยอะ ไม่มีสวัสดิการ ส่วนใหญ่จะเป็นงานของเด็กจบใหม่ที่ต้องการหาประสบการณ์การทำงานในต่างแดน เป็นงานของสาวโสดที่มีความฝันในการตามหารักแท้ เป็นงานของลูกคุณหนูที่อยากจะไปอยู่ที่ไหนที่พ้นหูพ้นตาพ่อแม่และตามหารักแท้ เป็นงานของชายโสดรักสันโดษและตามหารักแท้ พอแล้ว ตึ่งโป๊ะ 555555 อย่างไรก็ตาม ยังมีเพื่อนเก่า ๆ เหลืออยู่บ้าง เค้าก็ช่วยฝากฝังให้ป้ากลับมาทำงานที่บริษัทเดิมที่ป้าเคยทำ
ป้าได้เริ่มทำงานทันทีที่ย้ายกลับมาเซี่ยงไฮ้ กลับมาคราวนี้บริษัทคอลเซ็นเตอร์แห่งนี้ไม่ได้ทำให้สินค้าตัวเดิมแล้ว ป้าก็ต้องไปทำงานให้กับสินค้าตัวใหม่ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุ ในส่วนที่ดูแลคราวนี้เป็นการรับสายผู้ใช้เว็บไซต์และแอ็พที่ลูกค้าโหลดไปใช้งาน ปัญหาที่มีก็เช่น เซอร์ฟเว่อร์ล่ม ลืมพาสเวิร์ด กรอกข้อมูลในเว็บไซต์ยังไง โหลดยังไง ติดตั้งยังไง ฯลฯ งานคราวนี้ออกจะน่าเบื่อ เพราะสายจากประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย และบุคคลิกของแผนกนั้นก็ค่อนข้างจะจีน ๆ และประหยัดมาก ๆ ตัวอย่างของการประหยัดก็เช่น
- ไม่มีการอบรม อันนี้เรื่องจริง เค้าให้ป้านั่งฟังเทปการรับสายเก่า ๆ และส่งคู่มืออบรมมาให้ป้ามาศึกษาด้วยตัวเอง ป้าก็ถามเอาจากเพื่อนร่วมงานบ้าง แต่ไม่มีตำแหน่งเทรนเนอร์ที่จะมาสอนงานเราเป็นเรื่องเป็นราวแบบสินค้าตัวที่แล้ว โดยที่ตัวสินค้าก็ไม่ทราบว่าไม่มีการเทรน วันดีคืนดีบริษัทลูกค้าโทรมาทดสอบแล้วตอบคำถามไม่ได้ก็โป๊ะแตกกันไป มีขอโทษขอโพยลูกค้า บอกจะปรับปรุงอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ก็ยังไม่มีเทรนเนอร์อยู่ดี ให้ตายเหอะโรบิ้น
- กิจกรรมบันเทิงของพนักงานหายเกลี้ยง ไม่มีการพาไปเอ้าติ้งต่างจังหวัด ไม่มีงานเลี้ยงปีใหม่แบบเดิม ไม่มีการเลี้ยงมื้อเย็นพนักงานที่ทำโอที จริง ๆ คือไม่มีแม้แต่โอทีด้วยซ้ำ แต่งานไม่เสร็จก็ห้ามกลับบ้าน ฯลฯ
- พนักงานทำงานแย่แค่ไหนก็จะไม่ไล่ออก เพราะการไล่ออกจะต้องเสียเงินชดเชย ต่อให้พนักงานทำงานได้ไม่ดีก็ยังเก็บไว้ ขอสารภาพว่าป้าเองก็ทำงานได้แย่มากเพราะไม่มีการเทรน เมื่อไม่มีเทรนเนอร์มาบังคับจ้ำจี้จ้ำไช คู่มือการเทรนก็มีแต่ตัวหนังสืออ่านแล้วตาลายเป็นบ้า ทำให้ป้าจำข้อมูลสินค้าได้ผิด ๆ ถูก ๆ บ้าง มีลูกค้าโทรมาคอมเพลนอะไรสารพัด แต่เค้าก็ยังปล่อยให้ป้ารับสายไปแกน ๆ อย่างนั้น
เรื่องของการประหยัดนี่มีเหตุผลจ้ะ เนื่องจากค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แข็งค่าขึ้นมว้ากกกกก (ในขณะที่เงินบาทไทยผูกติดอยู่กับเงินหยวนเราเลยไม่เห็นความแตกต่าง) จนทำให้สินค้าต่าง ๆ ย้ายไปจ้างประเทศอื่น ๆ รับสายกันหมด ที่เหลืออยู่ได้ก็พวกเงินหนาจริงหรือไม่ก็ต้องตัดงบโน่นนั่นนี่สารพัดตามที่เล่า
แต่อย่างไรก็ตาม ป้าก็ยังมีความสุขกับการทำงานที่บริษัทนี้ เพราะการออกมาทำงานประจำทำให้ป้ารู้ว่าแต่ละวันป้าจะต้องทำอะไร มีสังคม มีเพื่อนร่วมงานมากมาย ทั้งคนจีน คนต่างชาติและคนไทย โดยเฉพาะคนไทย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ๆ จบใหม่อายุอานามรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่ตุ๊ดสูงวัยอย่างป้าจะชอบที่จะทำขนมไทย ๆ ไปเที่ยวไล่แจก ใครคิดถึงขนมอะไรป้าจัดให้ได้ก็จัด (กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็เททิ้ง 5555 ) บุคคลิกป้าก็คล้าย ๆ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ด้วยไง เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้หลาน ๆ ฟัง ได้รู้ได้เห็นความเป็นไปของหลาน ๆ แต่ละคน ป้าก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าตามวัยวารของตัวเองมาได้ปีครึ่งแล้วจ้ะ
-----------------------------------------------
ข้างล่างนี้ไปจะเป็นเรื่องราวในส่วนของการลาออกของป้าแล้วนะจ๊ะ อยากอ่านก็อ่านต่อ ไม่อยากอ่านแต่เผลอไปอ่านก็อย่ามาด่า ด่ามาป้าด่ากลับ 5555555
คือเมื่อไม่นานมานี้ ป้าโดนย้ายมาทำงานให้สินค้าตัวใหม่เพราะมีพนักงานไทยออกไปแบบด่วน ๆ สินค้าตัวนี้เป็นสินค้าไอทีที่ป้าเองก็ไม่ค่อยถนัด แต่แผนกใหม่นี้มีเทรนเนอร์อบรมป้าเป็นเรื่องเป็นราว เทรนเนอร์บอกว่าป้าเรียนรู้สินค้าใหม่ได้ช้าาาามาก สอบไม่ผ่านซ้ำซากไม่จบไม่สิ้น แต่ผู้จัดการที่คุ้นเคยกันก็เมตตาให้ป้ารับสายสำรองไป
จนเมื่อเดือนก่อน สินค้าที่ป้ารับสายให้ซื้ออีกสินค้าหนึ่งเข้ามาอยู่ในเครือ แล้วสินค้านั้นเค้าก็มีคอลเซ็นเตอร์ของตัวเอง(อยู่ที่เมืองที่ค่าครองชีพถูกกว่า) ซึ่งทางฝั่งนั้นเค้าคิดค่าบริการถูกกว่าบริษัทของเราที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้มาก
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าขอทำทำสังคายนาครั้งใหญ่ว่าอะไรทำให้ค่าใช้จ่ายฝั่งนี้แพงจัง พบจุดบอดหลายอย่าง งานนี้ทำให้มีคนออกไปหลายคน ส่วนป้าที่โป๊ะแตกเรื่องการทำงานเป็นสายสำรองมาแสนนาน ก็โดนสอบเข้ม ป้าโดนใบเตือนซึ่งคล้าย ๆ ให้ป้ากลับไปอยู่ในระยะทดลองงานอีกครั้ง ซึ่งระยะเฝ้าระวังนี้มีระยะเวลา 1 เดือน เป็นสัญญาที่ป้าต้องอ่านและเซ็นรับทราบ
ป้าอ่านสัญญาแล้วก็พบว่ามันคือเดือนธันวาคมทั้งเดือน ป้าขอเลื่อนช่วงโปรนี้ไปเป็นหลังปีใหม่ได้ไหมเพราะป้าได้ทำเรื่องขอลาไปเที่ยว 2 สัปดาห์(ลาไปญี่ปุ่นกับ/เกาหลี) ผู้จัดการบอกว่าป้าใช้วันลาหมดไปแล้ว แล้วแผนกเราจะโดนยุบอยู่แล้วยังมีหน้ามาลาไปเที่ยวอีกเหรอป้า ถ้าจะไปเที่ยวป้าก็ไปเที่ยวหลังปีใหม่โน่น
ระหว่างนั้นป้างุนงง คิดคิดสระตะ ประเด็นคือสามีป้าเค้ามีวันหยุดเหลือเยอะแยะรอวันหมดอายุสิ้นปีนี้(จริง ๆ คือเหลือ 3 สัปดาห์ แต่ยอมเสียไป 1 สัปดาห์เพราะที่ทำงานป้าไม่ยอมให้ลาเกิน 2 สัปดาห์) จะเก็บไว้หรือขายคืนก็ไม่ได้ แถมสามีก็ไปจองตั๋วจองโรงแรม ป้าเองก็ไปต่ออายุพาสปอร์ตสำหรับเดินทางอะไรวุ่นวายไปเรียบร้อย สงสารสามีที่ทำงานหนัก เดินทางบ่อย มีวันลาหยุดป้าก็ไม่มีเวลาไปเที่ยวกับเขาสักที
สุดท้ายเลยบอกผู้จัดการไปว่างั้นป้าขอลาออกค่ะ
ดังนั้น สิ่งที่พวกคุณ ๆ อ่านกัน มันคือบันทึกความทรงจำของป้าที่มีต่อที่ทำงานแห่งนี้ ที่ป้าใช้เวลาในบ่ายวันสุดท้ายของการทำงานคอลเซ็นเตอร์นี้เขียนมันขึ้นมา ป้าเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงนะ ยังไม่รู้ว่าจะหางานทำใหม่ หรือออกไปเรียนภาษาจีนเพิ่ม ระหว่างเขียน ๆ นี่สามีที่เดินทางอยู่ต่างประเทศก็โทรมาบอกว่าบางทีอาจจะได้ย้ายประเทศเร็ว ๆ นี้ อะไรกันนักกันหนา
แต่อย่างไรป้าก็ขอแชร์เรื่องราวการทำงานของป้า ในงานนี้ซึ่งไม่ค่อยมีการรับรู้ให้ได้รับทราบกัน ขอให้ทุกท่านรับชมเอากันขำ ๆ และนี่ก็ไม่ใช่เอกสารทางวิชาการ มีความเห็นส่วนตัวของป้าอยู่ด้วย ใครจะเอาไปอ้างอิงที่ไหนก็โปรดใช้วิจารณญาณ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานหรือชีวิตที่เลือก ขอบคุณค่ะ