คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
เรื่องจริงประมาณที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ค่ะ ........ส่วนที่จขกท.ถามนั้นตอบไว้ตรงท้ายความเห็นค่ะ
1-คนที่จะไปขอสเปิร์ม นั้นจะต้องเป็นคู่สามี-ภรรยาที่พิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถมีลูกได้จริงๆ ทั้งสองต้องไปขอใบจากหมอมาก่อนค่ะ
ทางธนาคารสเปิร์ม ส่งตรวจอีกครั้งกับรพ.ที่วางใจได้
2-คนที่ให้สเปิร์มนั้นต้องตรวจสุขภาพอะไรมากมายกว่าจะได้ รับเลือกเพราะคือเขาขายเชื้อให้ธนาคารสเปิร์ม กฎเกณฑ์เยอะมาก
3-ผู้หญิงไม่แต่งงานไปขอสเปิร์มไม่ได้ ต้องสามี-ภรรยา กฎเขามีค่ะ
4-การขอไม่ได้ทำง่ายๆค่ะ เมืองไทยยังไงก็ไม่มีกฎหมายตรงนี้รองรับ ที่ยุโรบประเทศหนึ่ง เขามีกฎหมายห้ามทราบชื่อคนบริจาค
อย่างเด็ดขาด. เพราะว่าจะไปสะเทือนความเป็นอยู่ครอบครัวผู้ชายที่บริจาคซึ่งตอนนั้นอาจเป็นแค่นักศึกษา คนทำงาน แล้วต่อมา
หลายปีอาจมีแต่งงานไป มีลูกครอบครัว เขาจึงมีกฎหมายตรงนี้ไว้ แต่ตัวธนาคารสเปิร์มนี่เขารู้เรื่องทั้งหมด เป็นความลับค่ะ
แต่เชื่อว่าผู้ที่เคยบริจาคนั้นคงจะเล่าให้ภรรยาฟังว่าตัวเองเคยบริจาค เพื่อกันปัญหาที่ตามมาในอนาคตคงคุยกันก่อนแต่ง
5-แต่.....แต่โอกาสมันมีค่ะ คนที่ขอรับสเปิร์มมา เมื่อท้องมีลูกออกมาความลับไม่มีในโลก จะด้วยอะไรก็แล้วแต่(อาจโดนถามบ่อย)
ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องบอกลูกไปว่า เออ...คือแม่ไปขอรับสเปิร์มมา เรื่องมีอยู่ว่า.............เล่าไปต้นจนจบ
6-เด็กสันชาตญาน โอ้...ฉันอยากเห็นหน้าพ่อจริง เรื่องจริงเขาปิดเป็นความลับ เขามีกฎห้าม
เอ..แต่ใครจะรู้ว่ามีเด็กที่บรรลุนิติภาวะบางคน เอาเรื่องนี้ไปยื่นร้องต่อศาลเพราะเขามีสิทธิ์ที่จะเห็นหน้าพ่อ
คนที่รู้เรื่องนี้ดีคือธนาคารสเปิร์ม ศาลท่านสั่งให้ธนาคารสเปิร์ม บอกชื่อพ่อค่ะ เมื่อมีใบศาลมายื่น
ความลับก็ไม่เป็นความลับ (แต่ไม่ได้ทำแบบนี้ทุกคน คือบางคนเขาคาดเดาสถานะกาลไม่ถูก ว่าจะเกิดอะไร ยังไง เขาไม่ร้องต่อศาล)
ที่นี้ก็เกิดการตามหาพ่อค่ะ ไปตามที่อยู่ ส่วนมากทางธณาคารสเปิร์มจะแจ้งให้ผู้ชายทราบล่วงหน้าว่ามีคำสั่งศาลมา ให้เขาเตรียมตัว
7-มาค่ะถึงจุดพีคแล้วค่ะ พอเด็กมากดกริ่ง ผู้ชายเขารู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไร ครั้งแรกถ้าเจอจะยังไม่ให้เข้าบ้าน
ปรกติถ้ามีสนามหญ้านอกบ้าน หรือเดินไปหาร้านอาหารใกล้บ้านคุย เพราะการให้เข้าบ้านคือเขาต้องคิดถึง
ลูกและเมียและถ้าเด็กทุกคนทำแบบนี้ ครอบครัวจะไม่สงบแน่
ผู้ชายเขามีวิธีพูดให้เด็กไม่เกิดความผูกพันธุ์ เพราะเด็กที่มาก็บรรลุนิติภาวะแล้ว คุยไม่ยาก
เช่นผมทำหน้าที่บริจาคสเปิร์มให้กับธนาคารสเปิร์มตรงนั้น ส่วนใครจะได้ไปไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องรับรู้
มันเป็นเหมือนรายได้ส่วนหนึ่งของผมตอนนั้น ถ้าเชื้อผ่านการตรวจ ผ่านการคัดกรองก็คือผ่าน
ผมไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไร แล้วเชื้อไปอยู่ที่ใครบ้าง คือเขาจะพยายามพูดไม่ให้เกิดความผูกพัน
ในตัวเด็กเองเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น ก็เริ่มแบ่งรับแบ่งสู้ส่วนมากก็จะพูดว่า ผม/ดิฉันก็อยากแค่มาเห็นหน้าพ่อจริงในสายเลือดแค่นั้น
แล้วก็จะประมาณ ขอทราบข่าวคราวบ้างได้ไหม? ผู้ชายที่บริจาคเชื้อก็จะตอบว่า นานๆทีก็ได้
ใครได้ยินแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้ามาหรอกค่ะ คือต้องมีวิธีพูดแบบ"บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น"ถ้าเขาขอกอดก็ให้กอดได้
เพราะถ้าให้ความสนิทเกิน คนที่เป็นพ่อ-แม่ที่เลี้ยงมาจะเสียใจนะถ้าลูกดันมาตามหาพ่อ แต่ฝรั่งส่วนมากจะเข้าใจแต่ไงก็ไม่ค่อยจะดี
ตัวคนบริจาคเองก็รับทุกเรื่องไม่ได้ เขามีครอบครัว สามี-ภรรยาต้องเข้าใจ ไม่กีดกั้น เข้าใจด้านจิตวิทยา
แต่การตามหาคนที่เป็นพ่อนั้นมีค่ะ แต่ไม่มาก
8-ข้อสุดท้ายการขอรับเชื้อบริจาคนั้นใช้เงินสูงมากเกือบเหยียบหลักล้าน ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ เขาลงทุนคัดกรอง เก็บ ส่งตรวจ
เขาคิดเงินหลายเท่าตัว เพราะมีค่าใช้จ่ายมาก
ตอบที่จขกระทู้ถามบรรทัดสุดท้าย
สามี-ภรรยาที่ไปขอรับสเปิร์มนั้นทั้งคู่ปรึกษากันและต้องไปด้วยกันทุกครั้งค่ะแล้วค่ะ. เป็นทางเลือกที่เห็นตรงกัน คืออยากมีลูก
ข้อ7ของเราคงตอบโจทย์ที่คุณถามมาว่า ...จะรู้สึกอย่างไรถ้าเด็กคนนั้นคือลูกของเรา! คือคนที่จะทำตรงนี้ได้
เสียเวลามากนะคะ ต้องถูกส่งไปตรวจสารพัด ห้ามมีโรคที่เป็นกรรมพันธุ์ และตรวจเลือดทุกๆเดือน เหล้า บุหรี่ก็ไม่ได้
เขารู้อยู่แล้วว่าเขาทำอะไรลงไป. ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน
สรุปคือเฉยๆแต่ลึกๆ เขาก็คงดีใจที่ได้ผลิตคนดีๆ ออกมาดูโลก
Editเข้า แก้คำผิดมาอ่านทวนแล้วผิดหลายตัว
1-คนที่จะไปขอสเปิร์ม นั้นจะต้องเป็นคู่สามี-ภรรยาที่พิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถมีลูกได้จริงๆ ทั้งสองต้องไปขอใบจากหมอมาก่อนค่ะ
ทางธนาคารสเปิร์ม ส่งตรวจอีกครั้งกับรพ.ที่วางใจได้
2-คนที่ให้สเปิร์มนั้นต้องตรวจสุขภาพอะไรมากมายกว่าจะได้ รับเลือกเพราะคือเขาขายเชื้อให้ธนาคารสเปิร์ม กฎเกณฑ์เยอะมาก
3-ผู้หญิงไม่แต่งงานไปขอสเปิร์มไม่ได้ ต้องสามี-ภรรยา กฎเขามีค่ะ
4-การขอไม่ได้ทำง่ายๆค่ะ เมืองไทยยังไงก็ไม่มีกฎหมายตรงนี้รองรับ ที่ยุโรบประเทศหนึ่ง เขามีกฎหมายห้ามทราบชื่อคนบริจาค
อย่างเด็ดขาด. เพราะว่าจะไปสะเทือนความเป็นอยู่ครอบครัวผู้ชายที่บริจาคซึ่งตอนนั้นอาจเป็นแค่นักศึกษา คนทำงาน แล้วต่อมา
หลายปีอาจมีแต่งงานไป มีลูกครอบครัว เขาจึงมีกฎหมายตรงนี้ไว้ แต่ตัวธนาคารสเปิร์มนี่เขารู้เรื่องทั้งหมด เป็นความลับค่ะ
แต่เชื่อว่าผู้ที่เคยบริจาคนั้นคงจะเล่าให้ภรรยาฟังว่าตัวเองเคยบริจาค เพื่อกันปัญหาที่ตามมาในอนาคตคงคุยกันก่อนแต่ง
5-แต่.....แต่โอกาสมันมีค่ะ คนที่ขอรับสเปิร์มมา เมื่อท้องมีลูกออกมาความลับไม่มีในโลก จะด้วยอะไรก็แล้วแต่(อาจโดนถามบ่อย)
ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องบอกลูกไปว่า เออ...คือแม่ไปขอรับสเปิร์มมา เรื่องมีอยู่ว่า.............เล่าไปต้นจนจบ
6-เด็กสันชาตญาน โอ้...ฉันอยากเห็นหน้าพ่อจริง เรื่องจริงเขาปิดเป็นความลับ เขามีกฎห้าม
เอ..แต่ใครจะรู้ว่ามีเด็กที่บรรลุนิติภาวะบางคน เอาเรื่องนี้ไปยื่นร้องต่อศาลเพราะเขามีสิทธิ์ที่จะเห็นหน้าพ่อ
คนที่รู้เรื่องนี้ดีคือธนาคารสเปิร์ม ศาลท่านสั่งให้ธนาคารสเปิร์ม บอกชื่อพ่อค่ะ เมื่อมีใบศาลมายื่น
ความลับก็ไม่เป็นความลับ (แต่ไม่ได้ทำแบบนี้ทุกคน คือบางคนเขาคาดเดาสถานะกาลไม่ถูก ว่าจะเกิดอะไร ยังไง เขาไม่ร้องต่อศาล)
ที่นี้ก็เกิดการตามหาพ่อค่ะ ไปตามที่อยู่ ส่วนมากทางธณาคารสเปิร์มจะแจ้งให้ผู้ชายทราบล่วงหน้าว่ามีคำสั่งศาลมา ให้เขาเตรียมตัว
7-มาค่ะถึงจุดพีคแล้วค่ะ พอเด็กมากดกริ่ง ผู้ชายเขารู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไร ครั้งแรกถ้าเจอจะยังไม่ให้เข้าบ้าน
ปรกติถ้ามีสนามหญ้านอกบ้าน หรือเดินไปหาร้านอาหารใกล้บ้านคุย เพราะการให้เข้าบ้านคือเขาต้องคิดถึง
ลูกและเมียและถ้าเด็กทุกคนทำแบบนี้ ครอบครัวจะไม่สงบแน่
ผู้ชายเขามีวิธีพูดให้เด็กไม่เกิดความผูกพันธุ์ เพราะเด็กที่มาก็บรรลุนิติภาวะแล้ว คุยไม่ยาก
เช่นผมทำหน้าที่บริจาคสเปิร์มให้กับธนาคารสเปิร์มตรงนั้น ส่วนใครจะได้ไปไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องรับรู้
มันเป็นเหมือนรายได้ส่วนหนึ่งของผมตอนนั้น ถ้าเชื้อผ่านการตรวจ ผ่านการคัดกรองก็คือผ่าน
ผมไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไร แล้วเชื้อไปอยู่ที่ใครบ้าง คือเขาจะพยายามพูดไม่ให้เกิดความผูกพัน
ในตัวเด็กเองเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น ก็เริ่มแบ่งรับแบ่งสู้ส่วนมากก็จะพูดว่า ผม/ดิฉันก็อยากแค่มาเห็นหน้าพ่อจริงในสายเลือดแค่นั้น
แล้วก็จะประมาณ ขอทราบข่าวคราวบ้างได้ไหม? ผู้ชายที่บริจาคเชื้อก็จะตอบว่า นานๆทีก็ได้
ใครได้ยินแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้ามาหรอกค่ะ คือต้องมีวิธีพูดแบบ"บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น"ถ้าเขาขอกอดก็ให้กอดได้
เพราะถ้าให้ความสนิทเกิน คนที่เป็นพ่อ-แม่ที่เลี้ยงมาจะเสียใจนะถ้าลูกดันมาตามหาพ่อ แต่ฝรั่งส่วนมากจะเข้าใจแต่ไงก็ไม่ค่อยจะดี
ตัวคนบริจาคเองก็รับทุกเรื่องไม่ได้ เขามีครอบครัว สามี-ภรรยาต้องเข้าใจ ไม่กีดกั้น เข้าใจด้านจิตวิทยา
แต่การตามหาคนที่เป็นพ่อนั้นมีค่ะ แต่ไม่มาก
8-ข้อสุดท้ายการขอรับเชื้อบริจาคนั้นใช้เงินสูงมากเกือบเหยียบหลักล้าน ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ เขาลงทุนคัดกรอง เก็บ ส่งตรวจ
เขาคิดเงินหลายเท่าตัว เพราะมีค่าใช้จ่ายมาก
ตอบที่จขกระทู้ถามบรรทัดสุดท้าย
สามี-ภรรยาที่ไปขอรับสเปิร์มนั้นทั้งคู่ปรึกษากันและต้องไปด้วยกันทุกครั้งค่ะแล้วค่ะ. เป็นทางเลือกที่เห็นตรงกัน คืออยากมีลูก
ข้อ7ของเราคงตอบโจทย์ที่คุณถามมาว่า ...จะรู้สึกอย่างไรถ้าเด็กคนนั้นคือลูกของเรา! คือคนที่จะทำตรงนี้ได้
เสียเวลามากนะคะ ต้องถูกส่งไปตรวจสารพัด ห้ามมีโรคที่เป็นกรรมพันธุ์ และตรวจเลือดทุกๆเดือน เหล้า บุหรี่ก็ไม่ได้
เขารู้อยู่แล้วว่าเขาทำอะไรลงไป. ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน
สรุปคือเฉยๆแต่ลึกๆ เขาก็คงดีใจที่ได้ผลิตคนดีๆ ออกมาดูโลก
Editเข้า แก้คำผิดมาอ่านทวนแล้วผิดหลายตัว
แสดงความคิดเห็น
อยากรู้ครับ ถ้าเกิดว่า ขอสเปิร์ม จากธนคารสเปิร์ม แล้วกลับมารู้ว่า คนนี้มาจากสเปิร์มเรา จะรู้สึกยังไง
หรือ อีกกรณีหนึ่งคือ ถ้าสามีคุณผู้หญิงที่ไปขอสเปิร์มมา เขาจะรู้สึกยังไงครับ ในกรณีที่เขาไม่สามารถมีลูกได้อยู่แล้ว จะรู้สึกแปลกๆ ไหมครับ