The Vampire Powers. [บทที่ 30] 100%



ณ ใจกลางป่าแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนนึงกำลังเดินทอดน่องโดยเพียงลำพัง เขามีใบหน้าที่ขาวซีคไร้ผู้ใดที่จะมาติดตามเพราะเขามีท่าทางคล้ายหนุ่มเจ้าสำราญที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากพระราชวังที่ไหนสักแห่งแต่สิ่งที่ตัดภาพลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิงก็คือ ชุดผ้าคลุมสีดำที่โบกสบัดทุกครั้งเวลาก้าวเดิน

เอ็ดเลือกจะไม่สุงสิงกับแวมไพร์หรือพวกหมาป่าที่เขาไม่สามารถไว้ใจได้อีกแล้ว อยู่นานไปก็อาจจะถูกลอบกัดก็เป็นได้ในที่นี้ก็คือการถูกหักหลัง แต่การกระทำที่แปรพักไปอยู่กับลูเซียสก็เป็นการหักหลังไม่ใช่หรือ เอ็ดฉุกใจคิดอยู่ครู่ก่อนจะเดินหน้าต่ออย่างไม่ลังเล

เขามาไกลเกินไปแล้ว ยังไงซะก็ควรยุติเรื่องบ้าบอที่ดูเหมือนจะมีศัตรูรอบด้านไปซะหมด เอ็ดทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลังไม่ได้

ตุบ เสียงกระแทกลงพื้นอย่างแรงให้ความสนใจแก่เขา บรรยากาศเย็นยะเยือกปกคลุม ทันทีที่เขาหันไปก็ถูกใครบางคนใช้สมุนไพรพิษโปรยเข้าใส่หน้าซึ่งทำให้เขาสูญเสียการทรงตัวพลางทรุดตัวลงพยายามปัดเจ้าสิ่งนั้นออกไปให้พ้นหน้า ใบหน้าเริ่มพองออกมาสีเขียวคล้ำ เขารู้สึกได้ถึงมันที่กำลังแทรกซึมลงไปภายในตัวของเขา

มีมือปริศนากระชากตัวเขาขึ้นแต่เขาใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดใช้ธาตุลมกระแทกตัวเองให้ลอยขึ้น โดยพยายามลืมตามองให้เห็นคนที่ลอยติดเขามาแต่ภาพดังกล่าวมันพร่าเบลอ  แต่เขาใช้พลังลมดันอีกฝ่ายให้ตกลงไปขณะที่ตนเองลอยขึ้นถึงหน้าผาบางแห่งเมื่อเขาขึ้นมายังจุดสูงสุดได้พื้นดินได้ทรุดลงตามแรงกระแทกที่เขาลงพื้นพลางพยายามเดินโซซัดโซเซก่อนจะนอนระนาบลงกับพื้นพร้อมดึงทุกส่วนร่างกายของเขาฟื้นฟูพลัง

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ ใช้พลังธาตุดินให้ผุดขึ้นมาเพื่อปกคลุมตัวเองไว้ทั้งร่างกายและอำพรางกลิ่นตัวเองไว้ทันท่วงทีกับใครบางคนที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้  ซึ่งบุคคลปริศนาตามขึ้นมาพร้อมกับใช้อุปกรณ์สุดไฮเทคชื้นหนึ่งสแกนไปรอบบริเวณเพื่อหาร่องรอย

เอ็ดหลับตาแน่นขึง ดินที่กลบเข้าไว้ยังคงแนบเนียนพอที่จะหนีคนพวกนี้ได้ เป็นไปได้หรืออเปล่าว่านี่อาจจะเป็นคนของมาร์คัสแต่ที่แน่ๆดูเหมือนคลินท์ไม่ได้บอกใครว่าพวกเขาทั้งสองมาโผล่ทำภารกิจอยู่ที่นี่

ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่คนเดียวที่ออกตามล่าเขา  พวกนี้มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ค่อนข้างจะสัมผัสได้  ทำไมเขาได้กลิ่นเลือดสัตว์ตลบอบอวลในตัวพวกนี้  บางทีพวกนี้อาจจะถือศีลเลือกการดื่มเลือดสัตว์หลีกเลี่ยงการดื่มเลือดมนุษย์  แสดงว่าพวกแวมไพร์ไม่ได้มีอยู่แค่สามพวกสินะ

เขาพ่นลมหายใจเพื่อตั้งสติเมื่อบาดแผลของเขากลับมารักษาตัวเองได้อีกครั้ง เขาหลับตาลงพลางใช้พื้นดินเป็นที่ยึดพลังเขาไว้ ดินเริ่มก่อตัวเป็นรูปเกลียวเลื้อยขึ้นมาจากพื้นพันธนาการพวกนั้นไว้ ทันทีที่เขาโผล่พ้นขึ้นมาทางข้างหลังของพวกมันอย่างไม่ได้ตั้งตัว

เขาอัดกระแทกพลังเข้าใส่พวกมันดินเหล่านั่นยังคงทำงานของมันได้ดีโดยการห่อหุ้มตัวพวกมันไว้ราวกับรังดักแด้จำเป็น ดวงตาเขากลายเป็นสีแดงเพลิงโดยที่เขาไม่รู้ตัว

“บอกฉันว่า ว่าใครส่งแกมา” เขาถามพร้อมกับยิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัย ลุกไฟขนาดเล็กปรากฏขึ้นอยู่บนฝ่ามือเขา

“แวมไพร์ไม่มีทางทำอย่างนั้นได้” หนึ่งในพวกนั้นพูดออกมาผ่านอาการสำลักเล็กน้อย

“เห็นๆกันอยู่นี่”  คนเหล่านี้แต่งตัวราวกับพวกอนุรักษ์ธรรมชาติยังไงยังงั้น ชุดสูทสีขาวสะอาด แถมกลิ่นของเลือดสัตว์อยู่ภายในตัวพวกมัน

“ลูคัสจะสร้างคนอย่างนายขึ้นมาอีกมาก ถ้านายมากับเรา”

“จะชวนกันเข้าร่วมกลุ่ม เขาทำการชักชวนโดยการพ่นไอ้สิ่งนั่นใส่หน้าฉันเนี่ยนะ” เขาว่าพลางหักข้อมือเล็กน้อยเสียงกระดูกคอหักดังขึ้นพร้อมกัน  ใช้ธาตุดินเป็นพลังรูปร่างทำให้หมดสติไปสักพัก

“บ้าเอ้ย”  เอ็ดสบถเล็กน้อยขณะสะบัดมือพลางรีบค้นตัวสองคนนั้นเผื่อมีอะไรช่วยบอกเขาก่อนจะพบบัตรประจำตัวและของแปลกๆอย่างพวกแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วพวกมันมาคนหนึ่งก่อนจะรีบออกตัววิ่งเพื่อกลับไปในสิ่งที่เขาต้องทำ คือการตามหาเพื่อนรักของเขา

โรงเรียนมัธยมจอห์นพีท

“เรเนส อาการเป็นไงบ้าง” โรสถามขณะที่เห็นหนุ่มๆสองคนเพิ่งเดินออกมาจากห้องเรียน ขณะที่สองสาวกำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนนักเรียนที่ต่างพากันไปพักเที่ยง บ้างก็จับกลุ่มคุยเมาท์สัพเพเหระตรงแถวล็อกเกอร์

“อยู่ในห้องนอนและไม่ได้สติอีกตามเคยตอนที่ฉันออกมาเมื่อเช้า ฉันคิดว่าข้ออ้างของฉันที่บอกกับพ่อแม่คงใช้ได้ไม่นาน” นิโคลตอบพลางถอนหายใจ โรสอดเป็นห่วงไม่ได้พลางแตะไหล่เป็นการปลอบใจเบาๆ

ดูเหมือนชีวิตที่กำลังสนุกของพวกเธอได้จบลงไปตั้งแต่ที่ได้หันหน้าเข้าหาสิ่งเหนือธรรมชาติ  สองหนุ่มเเวมไพร์เห็นสองสาวกำลังนั่งเสียใจกับเรื่องที่เกิดกับเพื่อนรักของตน ไรอันมองเเอลด้วยความสงสัย

"มีอะไรงั้นเหรอ สาวๆพวกนั้นต้องการเรานะ" ไรอันมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังใช้สายตาครุ่นคิด เขาโบกมือไปมา "เฮ้ ฉันยังอยู่ในโลกของนายอยู่หรือเปล่า เรามีเรื่องที่ต้องสะสางนะ"

"เดี๋ยวสิ" ไรอันยกไหล่พลางทำหน้าว่ามีอะไรกับอาการเเปลกๆของเเอล ขณะที่เเอลดูเหมือนมีบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับเขา

"ฉันว่าเราไม่ควรให้มนุษย์มาเกี่ยวข้อง" ไรอันทำหน้าเเตกตื่นขณะมองมาที่เเอลอย่างสับสน "นายรักเธอไม่ใช่เหรอ"  คำถามนั้นทำให้แอลละสายตาไปมองที่ผู้หญิงคนที่ทำให้เขาได้รู้จักความรักคนนั้น

ที่กำลังนั่งปลอบให้กำลังใจโรส เพื่อนสาวที่เเทบจะเเบกรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ไหว

"ยังไงซะ มันต้องเกิดขึ้นสักวัน ฉันไม่อยากให้พวกเธอมาเสี่ยงกับเรา" แอลว่าขณะยืนพิงล็อคเกอร์ "เเล้วเเม่สาวเเบนชีนั่นล่ะ นายจะทำยังไงกับเธอ ถึงเเม้เราจะกั้นพวกเธอออกยังไงซะเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็จะต้อง

เกิดขึ้น" ไรอันว่า เขารู้ล่วงหน้าเเล้วมันจะต้องเกิดขึ้นสักวัน แอลเเละเอ็ด ยากที่จะควบคุมตั้งเเต่ลูคัสส่งพวกเขามา

"เราจะต้องทำให้พวกเธอลืม"

"ว่าไงนะ" ไรอันโผงผางขึ้นมาโดยทันที

“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ” ไรอันผลักแอลชนล็อคเกอร์ดังโครมพลางเดินหนีออกไปยังที่ที่นิโคลกำลังให้กำลังใจโรสอยู่

จู่ๆไรอันก็ถูกกระชากออกไปด้วยความเร็วสูงไปโผล่อีกสะท้านที่หนึ่ง ลมระแทกเข้ากับใบหน้าอย่างแรง เขาพบว่ากำลังยืนอยู่บนพื้นที่ชั้นบนดาดฟ้าของสถานที่หนึ่งเขาหันไปอีกด้านก็พบเห็นโรงเรียนที่ไกลออกไปหลายช่วงตึก

“เราต้องรีบออกไปจากที่นี่” แอลพูดขึ้น ไรอันหันหลังมาพบเขาที่กำลังนั่งแกว่งขาตรงขอบตึก สายตาจ้องลงไปด้านล่างที่พบเห็นทุกสิ่งทุกอย่างย่อส่วนเล็กจนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าถึงแม้พวกเขาจะอมตะก็ไม่อาจรู้ได้ว่าถ้าตกลงไปจะยังรอดหรือเปล่า

“นี่นายเพิ่งเทเลพอร์ตเรามาถึงตรงนี้เลยเหรอ เจ๋ง!” ไรอันดูตื่นเต้นมากกว่าปกติเมื่อเห็นพลังของแอลที่เริ่มจะปรากฏอย่างไม่มีขีดจำกัด

หลายชั่วโมงต่อมา…..

สายลมที่โหมกระหน่ำพัดนั้นไม่ได้ส่งผลให้สองหนุ่มแวมไพร์สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ไรอันจากหนุ่มที่ร่าเริงได้กลายเป็นคนเคร่งขรึมไปทันทีทันใด นัยน์ตาของเขาเริ่มเปลี่ยนสี สีเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้นชวนงงงวยแอลเหลือบมองเขา

“นับวันพลังของต่างก็เพิ่มขึ้น เราถูกโปรแกรมใส่สมอง ยัดภารกิจงี่เง่า แต่อยู่มาเพียงไม่นานฉันก็รู้ได้ว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของเราอีกต่อไป”

มือไรอันค่อยๆกลายสภาพเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ เกร็ดสีแดงค่อยๆผุดขึ้นตามผิวของเขาโดยเริ่มจากปลายนิ้วของเขา ไรอันหน้าตาแตกตื่นพลางจับตรงที่ข้อศอกตัวเองที่มันเริ่มแปรสภาพไปเรื่อยเพื่อหยุดยั้งมัน

“พลังของนาย ฉันสัมผัสถึงมันได้ นายเป็นนักแปลงกาย ไม่แปลกที่เบียงก้าเคยบอกว่านายกลมกลืนกับธรรมชาติ ร่างกายต้องถูกปรับเพื่อเตรียมพร้อมในการแปรสภาพ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพลังของนายถึงปรากฏขึ้นช้านัก”

ไรอันได้ยินอย่างนั้นผิวของเขาเริ่มแปรสภาพกลับไปเป็นเหมือนอย่างเคย นัยน์ตาของเขายังคงสลับสีกันไปมาก่อนที่จะเพ่งสมาธิให้คงความเป็นตัวเองไว้

“นายรู้อะไรอีก” ไรอันเอ่ยปากถามขณะเดินไปทรุดตัวนั่งลงอยู่ข้างๆแอล “ฉันรู้มากเกินไป ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันดึงดูดพลังของคนอื่นได้แบบไม่น่าเชื่อ ซูซานที่หายตัวไป เธอเป็นตัวแหล่งพลังงานทำให้ฉันมองเห็นนิมิตได้”

“งั้นนายก็สามารถดูดพลังฉันได้ยังงั้นสิ” ไรอันว่าพลางจับแขนแอล รอยยิ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้าของเขาเมื่อแอลเริ่มแปรสภาพเป็นมือผู้หญิงเรียวเล็ก “หยุดน่า” แอลโวยขณะสะบัดแขนของเขาออกด้วยท่าทีแปลกๆ ไรอันหัวเราะ

“พลังของฉันมันเพิ่มมากขึ้น แสดงว่าไม่ได้มีแค่เราเท่านั้น เพราะฉันสามารถทำให้นายเทเลพอร์ตมาถึงที่นี่ งั้นก็แปลว่ายังพวกนักแฝงตัวที่ยังแฝงตัวอยู่ในหมู่ของพวกเรา นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกใจไม่ดีที่ต้องเอาพวกนิโคลเข้ามาเกี่ยว” แอลอธิบายเหตุผลของความคิดที่อยากจะกั้นพวกเธอเหล่านั้นออกไปเพราะเรื่องมันชักจะซับซ้อนขึ้นมากเกินไป

“ฉันเข้าใจนายเพื่อน” ไรอันว่าขณะแตะบ่าเขาเบาๆ “แล้วเอ็ด นายสามารถสัมผัสถึงหมอนั่นหรือเปล่า” แอลส่ายหน้าช้าๆขณะทอดสายตามองไปยังเมืองขนาดกลางที่เรื่องต่างๆเริ่มปรากฏสาเหตุของเมืองที่เต็มไปด้วยพวกเหนือธรรมชาติซะแล้ว

สภาพร่างกายของหญิงสาวนั้นซูบลงทันตา เหล่าสาวๆต่างมานั่งเฝ้ามองอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง โรสจับมือเรเนสพลางบีบมันเบาๆ

“เธอทำได้ยังไง” โรสเอ่ยปากถามนิโคล

“ทำอะไรเหรอ” นิโคลเห็นโรสส่ายหน้า แววตายังมีบางอย่างข้องใจเธออยู่

“แฟนเธอและเพื่อนของเขา เป็นแวมไพร์ ไหนจะไซม่อนที่ฉันเข้าใจว่าเขาคือเพื่อนของเรามาโดยตลอด”

“เราจะบอกใครเรื่องนี้ไม่ได้นะ พวกเขาได้ช่วยเราไว้ ”

“คือฉัน ฉันแค่ทึ่ง ที่เธอเก็บความลับพวกนี้ไว้” ใบหน้าของโรสเจื่อนลงทันตา ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพลางเลื่อนดูภาพของผองเพื่อนที่ปรากฏอยู่หน้าจอไปเรื่อยๆ

“พวกเขาเป็นพวกเรา เพื่อนของเราก็อยู่ในช่วง…ลำบาก” คิ้วรูปสวยขมวดทันที หลังจากเริ่มเห็นเพื่อนของเธอจิตใจไม่อยู่กับตัว

นิโคลหันไปเห็นสองหนุ่มที่จู่ๆก็โผล่มาจากหลังโรงเรียนที่ข้างหลังจะเป็นป่าสนรกร้าง “อยู่นี่นะ ฉันจะไปตกลงกับพวกเขา”

‘นี่’ นิโคลเดินเข้าไปทักพวกเขาทั้งสอง “โรส กำลังจะประสาทเสียอยู่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป พวกนายได้เผนอะไรบ้าง” แววตาที่ซื่อตรงของหญิงสาว ทำให้แอลรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาทันตา ผู้หญิงตัวเล็กๆพร้อมกับภาระที่หนักอึ้งที่เธอไม่สมควรที่จะแบกรับมันไว้ ทำให้แผนการที่กำลังจะทำต่อไปแทบจะพังครืนลงทันที

“พวกเราจะออกนอกเมืองไปสักพัก” ไรอันตอบแทนแอล ขณะที่เห็นแอลหลบสายตาหญิงสาวตรงหน้า

“นี่มันอะไรกัน เรเนส โรส และทุกคนอยู่ในเมืองนี้กำลังตกเป็นอันตรายอยู่นะ” เธอขึ้นเสียง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนชวนหลงไหลหันมาสบตาเขา

“เราต้องไปตามคนที่เหลือ รวบรวมกำลังเตรียมพร้อม และยังมีคนที่เหมือนพวกเราปะปนอยู่ที่นี่ พวกฉันต้องตามหาคนเหล่านั้น” แอลกล่าว “ให้ฉันช่วยไหม ถ้าเกิด…”ประโยคถูกตัดออกไปเมื่อจู่ๆเขาพูดขัดขึ้นมา “เธอต้องดูแลเพื่อนของเธอ ส่วนพวกฉันก็จะจัดการเรื่องของพวกฉันเอง” แม้เป็นเพียงคำพูด ร่างบางก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ได้รับจากเขา

หญิงสาวพยักหน้าพยายามที่จะเข้าใจ ก่อนจะละเดินจากไปให้พ้นจากจุดนี้ ในใจเธอรู้ว่าพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความลับยากที่จะคาดเดา รวบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เลวร้าย เธอคิดขณะที่เดินออกมาไปพาโรสที่มีหน้าตาสลึมสะลือ

“นายแน่ใจหรอ ที่จะทำแบบนี้”

“ยิ่งพวกเธอไม่รู้อะไร ยิ่งจะทำให้เธอปลอดภัยจากเรื่องพวกนี้….จากฉันด้วย” แอลว่า ขณะที่เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างโดยรอบ

“มีอะไร” ไรอันถามขณะมองตามสายตาของแอลที่สอดส่องพื้นที่โดยรอบ “เราถูกจับตามอง” แอลตอบขณะพยักเพยิดให้ไรอันโดยนัยว่าควรออกไปจากตรงจุดนี้

รองเท้าบู้ทสีดำกับการแต่งตัวที่แลดูดิบเถื่อนสำหรับชาวพังก์ สีผมที่ได้ย้อมเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับไฮไลท์สีดำเป็นปอยๆ แววตาที่ถูกทาทับด้วยอายแชโดว์สีดำสนิท มือบางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ขณะที่สายตามองไปยังชายหนุ่มสองคนที่แยกตัวออกจากหญิงสาวที่ดูเหมือนวัยรุ่นก๋ากั๋นทั่วไป ริมฝีปากที่ถูกทาทาบด้วยลิปสติกสีน้ำตาลเข้มพ่นควันออกมาอย่างสบายใจเฉิบ

“ฮึ” เธอแสยะยิ้มที่มุมปากก่อนที่ตัวของเธอจะค่อยๆหายไป ราวกับไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่