The First Touch of RUSSIA :: ฟังเขาเล่าหรือจะเท่าไปเอง (ซักครั้ง)


มีใครบางคนบอกว่า "ไม่ว่าจะเตรียมตัวดีอย่างไร หากโชคชะตาไม่อนุญาตให้ได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ ก็ไม่มีทางสำเร็จ"

จริงๆ แล้วทริปนี้เราวางแผนจะไปดูแสงเหนือที่มูร์มังค์ (Murmansk) กับเพื่อนอีก 3 คนและมีเพื่อนคนหนึ่งจะบินตามไปสมทบที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รวมผู้ร่วมทริปนี้ทั้งหมด 5 คน โดยเรากับเพื่อนอีก 2 คนจะบินล่วงหน้าไปก่อนด้วยสายการบินกาตาร์ เพราะได้ตั๋วโปรโมชั่นแบบแพ็คสามมาในราคาคนละ 16,000 บาท แต่ว่าขาไปพวกเราจะต้องไปเริ่มที่ฮ่องกง เบ็ดเสร็จหลังจากรวมค่าตั๋วกรุงเทพฯ–ฮ่องกงแล้วพวกเราจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ–มอสโกคนละ 18,600 บาทที่แลกมากับการเดินทางขาไปเกือบ 18 ชั่วโมงแบบที่ยังไม่รวมเวลาเปลี่ยนเครื่องถึง 2 ครั้ง

จุดเปลี่ยนสำคัญของทริปนี้เกิดขึ้นประมาณหนึ่งเดือนก่อนวันเดินทาง หลังจากที่พวกเราได้พูดคุยเรื่องแผนการเดินทางกันมาซักพัก แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน เราก็เลยตัดสินใจบอกเพื่อนว่าจะขอแยกตัวเที่ยวคนเดียว เพราะไหนๆ ก็เสียเงินเสียวันลาไปเที่ยวแล้วเราก็อยากให้มันสนุก ไม่อยากไปลุ้นหน้างานว่ามันจะโอเคมั้ย อย่างหนึ่งที่เราคิดมาตลอดคือ เวลาไปเที่ยวเป็นกลุ่มทุกคนมีความชอบไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้คุยกันให้เรียบร้อยก่อนเดินทางน่าจะดีกว่า

พอตัดสินใจจะเที่ยวคนเดียวแน่นอนแล้วเราก็ปรับแผนการเดินทางใหม่เกือบทั้งหมด เพราะคงไม่ได้ไปมูร์มังค์แล้ว ตอนนั้นโรงแรมกับตั๋วรถไฟก็ยังไม่ได้จอง แต่หลังจากค่อยๆ เก็บรายละเอียด ค่อยๆ จองไปทีละอย่าง แผนการเดินทางของเราก็เป็นรูปเป็นร่างก่อนวันเดินทางจริงประมาณหนึ่งอาทิตย์ ทริปนี้เป็นทริปเที่ยวคนเดียวที่ไกลบ้านมากที่สุดและนานที่สุดของเรา

จากรีวิวที่เราอ่านเจอใครๆ ก็บอกว่ารัสเซียน่ากลัว มีมิจฉาชีพเยอะ เราเลยกังวลมากเป็นพิเศษ แล้วเพื่อนที่เคยเรียนที่รัสเซียยังมาเล่าให้ฟังอีกว่าเคยโดนล้วงกระเป๋าที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เราก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ก่อนวันเดินทางเราเลยจัดการส่งแผนเที่ยวและเอกสารทั้งหมดให้เพื่อนสนิทสำรองไว้อีกหนึ่งชุด เผื่อว่ามีอะไรฉุกเฉินเพื่อนจะได้ช่วยเหลือได้


บนไฟลท์ของแอร์เอเชียเราตื่นมาเจอเพื่อนอีกสองคนนั่งอยู่แถวตรงข้ามแบบงงๆ เพราะแยกกันเช็คอิน เราเลยไม่คิดว่าจะได้นั่งใกล้กันขนาดนี้ ตอนเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงเราก็เลยไม่ต้องลุ้นอะไรมาก นอกจากเดินตามเพื่อนไปเรื่อยๆ แต่หน้าตาเราคงจะอยู่ในข่ายเฝ้าระวังของตม. ฮ่องกงมากกว่าคนอื่น เพราะเดินออกจากเครื่องได้ไม่ถึง 5 เมตร เราก็โดนเรียกตรวจพาสปอร์ต แต่เราเตรียมตั๋วที่จะต่อไปโดฮาไว้แล้วก็เลยผ่านมาได้ไม่ยาก

วันนั้นไฟลท์แอร์เอเชียดีเลย์เกือบ 45 นาที แต่หลังจากผ่านตม. รับกระเป๋า จนกระทั่งเช็คอินและผ่านตม. อีกรอบ พวกเรายังมีเวลาเดินเล่นที่สนามบินฮ่องกงอีก 2 ชั่วโมงกว่า พวกเราเลยไปหาอะไรรองท้องก่อนขึ้นเครื่อง หลังจากที่เคยลองกินโจ๊กฮ่องกงแถวๆ ถนนนาธานแล้วมันไม่อร่อย เราก็บอกลาโจ๊กฮ่องกงไปเลย จนกระทั่งคืนนั้นที่อยากกินอะไรเบาๆ ก็เลยลองสั่งโจ๊กไข่เยี่ยวม้าที่สนามบินดู เฮ้ย! เพิ่งรู้ว่าความอร่อยเป็นแบบนี้นี่เอง เนื้อโจ๊กละเอียดและกลิ่นหอมมาก


เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินกาตาร์ที่สนามบินฮ่องกงจะอยู่ที่ Terminal 1 ตอนเช็คอินเราจะได้ Boarding Pass มา 2 ใบ สำหรับไฟลท์ฮ่องกง–โดฮา (HKG–DOH) และไฟลท์โดฮา–มอสโก (DOH–MOW) กระเป๋าเดินทางที่โหลดใต้เครื่องเราสามารถรับที่มอสโกได้เลย สำหรับผู้โดยสาร Economy Class สามารถโหลดกระเป๋าสัมภาระได้สูงสุดไม่เกิน 30 กิโลกรัม

จากฮ่องกงไปโดฮาใช้เวลาเดินทาง 9 ชั่วโมง 30 นาที ด้วยความที่เราชอบนั่งริมหน้าต่างเราก็เลยแยกไปนั่งคนละโซนกับเพื่อน ช่วงนี้ก็เลยเป็นความท้าทายเล็กๆ น้อยๆ เพราะต้องคอยลุ้นว่าแอร์โฮสเตสพูดอะไรบ้างตามประสาคนภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง เรายอมรับเลยว่าบางเมนูนี่ฟังไม่ออกจริงๆ เอาเป็นว่าบนเครื่องเราก็กินแค่ Beef, Chicken, Fish, Egg และ Sausage

พวกเราไปถึงสนามบินฮาหมัด (Hamad International Airport) ที่โดฮาช้ากว่ากำหนดเกือบ 40 นาที เวลาเปลี่ยนเครื่องจาก 1 ชั่วโมง 40 นาทีเลยเหลือแค่ชั่วโมงเดียว ก็ลุ้นกันพอสมควร แต่โชคดีที่ออกจากเครื่องแล้วเป็นอาคารผู้โดยสารเลย ไม่ต้องต่อรถบัสและไม่ต้อง Security Screening กันอีกรอบ พวกเราไปถึงหน้าเกทก่อนเจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่องประมาณ 15 นาที ยังพอมีเวลาเข้าห้องน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อย แถมเรายังต้องไปนั่งรอบนเครื่องอีกพักใหญ่ หลับไปหนึ่งตื่นเครื่องก็ยังไม่ออก ตอนตื่นมาเราได้ยินเสียงกัปตันประกาศด้วยว่ากำลังรอผู้โดยสารคนอื่นที่เปลี่ยนเครื่องอยู่


จากโดฮาไปมอสโกเราต้องอยู่บนเครื่องอีก 5 ชั่วโมง 20 นาที เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก แต่ขาไปยังไงก็ไหว ไฟลท์จากฮ่องกงถึงมอสโกมีอาหารเสิร์ฟทั้งหมด 3 มื้อ กินบ่อยจนวันแรกที่ถึงมอสโกเราไม่สามารถกินอะไรหนักๆ ได้อีก สำหรับการใช้บริการสายการบินกาตาร์ครั้งแรกเราประทับใจทั้งการบริการ อาหารและความสะดวกสบายบนเครื่อง ที่สำคัญคือไฟลท์จากฮ่องกงมีไวไฟให้ใช้ฟรี 15 นาทีด้วย ทำให้เราสามารถออนไลน์ได้จากระดับความสูง 37,999 ฟุต ถ้าใครมีหลายอีเมล์ก็ออนไลน์กันแบบยาวๆ ได้เลย


พวกเรามาถึงสนามบินดามาเดียดาวา (Domodedovo International Airport) หนึ่งในสนามบินหลักของมอสโกราวๆ เที่ยงวัน ถ้านับรวมเวลาเดินทางตั้งแต่สนามบินดอนเมืองก็น่าจะครบ 24 ชั่วโมงพอดี นานมากกกกก เรียกว่าทำลายสถิติการเดินทางโดยเครื่องบินของทุกทริปไปเลย ถ้าถามว่าราคาตั๋วที่ถูกลงไม่กี่พันบาทที่ต้องแลกมากับเวลาเดินทางนานขนาดนี้มันคุ้มมั้ย สำหรับเราเราโอเค เวลาไปเที่ยวเราชอบอะไรที่เพิ่มความลำบากให้กับชีวิตอยู่แล้ว


ความไม่ประทับใจแรกตั้งแต่เหยียบแผ่นดินรัสเซียของเราคือ เจอเจ้าหน้าที่สนามบินตวาดแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะเค้าจะให้พวกเราขึ้นไปชั้น 2 แต่ปกติพอออกเครื่องแล้วเราก็จะมองหาป้าย Passport Control ก่อน ซึ่งมันอยู่ที่ชั้น 1 แต่เค้าก็พยายามจะให้พวกเราขึ้นไปที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นป้าย Transfer โดยที่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียมาแบบรัวๆ พอพวกเราทำหน้าไม่เข้าใจ เค้าก็ตะโกนเสียงดังว่า Do you speak English?

ถ้าให้เราเดาเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ให้พวกเราขึ้นไปชั้น 2 น่าจะเป็นเพราะแถวข้างล่างค่อนข้างยาวก็เลยจะกระจายคนไปบ้าง แต่เรื่องแค่นี้พูดดีๆ ก็เข้าใจแล้ว ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเจ้าหน้าที่นี่เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์มาก ลองนึกสภาพคนเดินทางมาหนึ่งวันเต็มๆ ยังจูนสติกันได้ยังไม่เต็มร้อย นาทีแรกที่เดินเข้าอาคารผู้โดยสารก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ โหดสัสรัสเซียจริงๆ

รัสเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดของตม. มีหลายคนบอกว่าเจ้าหน้าที่ตม. รัสเซียหน้านิ่งมาก ตรวจดูพาสปอร์ตละเอียดทุกหน้า เปิดซ้ำไปซ้ำมา หน้าเปล่าก็นับแล้วนับอีก เราขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เท่าที่เราเห็นต่ำๆ ก็น่าจะ 4-5 รอบแล้ว แต่เจ้าหน้าที่คนที่เราเจอไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ เป็นชายหนุ่มที่พูดไปยิ้มไป เพียงแต่ภาษาอังกฤษเค้าออกจะฟังยากซักหน่อยทำให้สื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง

จนท.:  From Doha?
เรา:  Form? (ทำหน้างงๆ เพราะเราได้ยินแค่คำว่าฟอร์ม ส่วนโดฮาหายลงไปในลำคอ ในใจก็พยายามนึกว่า ฟอร์มอะไรวะ ไหนรีวิวบอกว่าไม่ต้องกรอก Immigration Card ไง แถมตอนที่รอคิวยังมีป้ายเตือนให้เราเอาเอกสารที่แนบมากับพาสปอร์ตออกให้หมดด้วย แล้วยังจะมีฟอร์มอะไรอีก)
จนท.:  Your flight from Doha? (พร้อมกับทำมือเป็นท่าเครื่องบินขึ้นประกอบไปด้วย)
เรา:  Yes. (เรานี่แทบจะหลุดขำออกมาตอนนั้นเลย)
จนท.:  Your first time? (ถามหลังจากนับหน้าพาสปอร์ตไป 4-5 รอบ พร้อมกับชูพาสปอร์ตไปด้วย)
เรา:  No, I have an old one. (ได้ยินว่า Your first stamp? เพราะเราเพิ่งไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่มาและทริปนี้เป็นทริปแรกก็เลยรีบยื่นพาสปอร์ตเล่มเก่าให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เปิดดูทุกหน้าอยู่ 2 รอบแล้วหาตราประทับของรัสเซียไม่เจอ)
จนท.:  Your first time in Russia?
เรา:  Yes. (รอบนี้เรากลั้นยิ้มไม่อยู่จริงๆ ขำตัวเองมาก เข้าใจคนละเรื่องตลอด)


ตอนแรกเราคิดว่าเรามีปัญหาอยู่คนเดียว แต่เพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษก็บอกว่าฟังไม่ค่อยออกเหมือนกัน แค่ศัพท์ง่ายๆ อย่าง Tourist ก็ต้องตั้งใจฟังถึงจะรู้ว่าเจ้าหน้าที่พูดว่าอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแถว Passport Control ข้างล่างถึงยาวจนทำให้พวกเราต้องระเห็จขึ้นมาชั้น 2 เพราะแต่ละคนน่าจะใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 5 นาที หลังจากซักถามจนหมดข้อสงสัยแล้วเจ้าหน้าที่จะพริ้นท์ใบ Immigration Card ออกมาให้เราตรวจสอบรายละเอียดและเซ็นชื่อ สำหรับบัตรขาออกเราจะต้องเก็บไว้กับตัวตลอดเวลาและต้องคืนให้เจ้าหน้าที่ตอนออกจากรัสเซียด้วย

ทริปนี้เราซื้อซิมการ์ดของรัสเซียแทนการใช้ pocket wifi จากไทย เพราะราคาถูกกว่าหลายเท่า แต่ก็เปิดโรมมิ่งไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินด้วย หลังจากเดินดูเครือข่ายต่างๆ ทั่วสนามบินพวกเราก็ตัดสินใจซื้อซิมการ์ดของ MTS ที่มีเคาน์เตอร์อยู่หลายจุด ซึ่งพนักงานยืนยันว่าสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัดและครอบคลุมทุกเมืองในรัสเซีย นอกจากนี้ยังสามารถโทรหาเครือข่ายเดียวกันฟรีไม่จำกัดนาทีอีกด้วย แพ็คเกจที่พวกเราเลือกราคา 600 รูเบิลหรือประมาณ 363 บาท ถูกกว่าราคา data roaming และ pocket wifi ต่อวันซะอีก

พวกเราเข้าเมืองโดยนั่ง Aeroexpress ไปที่ลงสถานีรถไฟ Paveletsky (Павелецкий вокзал) จากด้านในสนามบินถ้าเราหันหน้าออกไปทางประตู สถานีของ Aeroexpress จะอยู่ทางซ้ายมือ ให้เดินออกทางประตู 3 ที่อยู่ใกล้กับห้องขายตั๋ว (KACCA) เราสามารถซื้อตั๋วกับพนักงานหรือจะซื้อที่ตู้อัตโนมัติก็สะดวกดี เพราะมีอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกสนามบิน ตอนที่เราไปค่าโดยสารสำหรับที่นั่งธรรมดา (Standard Class) เพิ่งปรับขึ้นจากเที่ยวละ 470 รูเบิลเป็น 500 รูเบิล ถ้าซื้อผ่าน mobile application หรือเว็บไซต์ www.aeroexpress.ru/en จะราคาเที่ยวละ 420 รูเบิล แต่เวลากรอกรายละเอียดต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ของรัสเซียด้วย


ตั๋วของ Aeroexpress จะหน้าตาคล้ายๆ กับใบเสร็จของ 7-Eleven แต่ขนาดจะใหญ่กว่า ให้ใช้บาร์โคดที่ตั๋วสแกนตรงทางเข้าสถานี เราสามารถขึ้นตู้ไหนก็ได้ ยกเว้น Business Class ด้านในของ Aeroexpress สามารถวางสัมภาระหรือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้อย่างสบาย Aeroexpress จะออกจากสนามบินดามาเดียดาวาทุกๆ ครึ่งชั่วโมงตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเที่ยงคืน แต่จะไม่มีรอบ 12.30 น.

พวกเราใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงสถานี Paveletsky ระหว่างที่นั่ง Aeroexpress เราก็ดูวิวข้างทางไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคมพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ มีหลายอย่างที่เราเห็นไม่เหมือนกับรัสเซียที่เราจินตนาการไว้ บางช่วงเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปดูหนังสายลับเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว บวกกับบรรยากาศของฤดูหนาวที่ทุกอย่างดูแห้งแล้ง ไม่สดใสเท่าที่ควร แวบหนึ่งเราอดคิดไม่ได้ว่า มอสโกคือเมืองหลวงของประเทศมหาอำนาจจริงๆ เหรอ คิดว่าจะดูทันสมัยกว่านี้ซะอีก


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่