
หนังตลกร้าย คือหนังที่มีพื้นฐานจากหนังคอมเมดี้ ที่อาจมีส่วนผสมของหนังดราม่า ระทึกขวัญ อาชญากรรม ซึ่งหัวใจสำคัญของหนังประเภทนี้คือ การสอดแทรกเนื้อหาเสียดสีสังคมหรือเรื่องใกล้ตัว ผ่านบทสนทนา และการกระทำของตัวละคร
นอกเหนือจาก 10 เรื่องที่กล่าวไปก็มีอีกหลายๆเรื่องที่ผมอยากเชียร์ อาทิเช่น Harold and Maude (1971), American Psycho (2000), In Bruges (2008), Being John Malkovich (1999), Barton Fink (1991), Thank You for Smoking (2005)
ใครมีหนังเรื่องไหนอยากเเนะนำเพิ่มเติม มาคอมเม้นท์เเสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. The Lobster (2015)
เปรียบเปรย 'ความโสด' เป็นความแปลกแยก อาชญากรรมร้ายแรง ที่คนโสดต้องขวนขวาย หรือกระทั่งฉุดกระชาก หากลวิธีต่างๆเพื่อทะลายความโสด เพราะมิเช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยกฎระเบียบสังคม โดยผู้กำกับ Yorgos Lanthimos มองในภาพกว้าง ไม่เพียงโฟกัสแค่กลุ่มที่ไหลไปตามกฎระเบียบสังคมที่ต้องใฝ่หาความรัก หรือสร้างความสัมพันธ์ลวงปกปิดความเป็นโสด แต่หนังยังมองไปถึงกลุ่มที่คิดต่อต้าน หลบหลีกจากสังคมใหญ่ ซึ่งไอเดียดังกล่าวถูกนำเสนอออกมาอย่างพิลึกพิลั่น ที่แม้เนื้อหาจะดูจริงจัง แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขันเชิงเสียดสี
9. The Truman Show (1998)
บทภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดแนวคิดได้สอดคล้องกับยุคสมัย เมื่อผู้คนต่างเสพติดการบริโภคสื่อโทรทัศน์ หรือพวกเรียลลิตี้โชว์ หลงใหลในความบันเทิงจอมปลอมที่ถูกเซ็ทขึ้นมาเพื่อตอบสนองในสิ่งที่คนดูต่างคาดหวัง โดยพล็อตได้พูดถึงรายการเรียลลิตี้ที่ตามติดชีวิตของหนุ่มคนหนึ่ง โดยหนังวางตัวเอกให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน เพราะชีวิตไม่เคยได้พบเจอกับเรื่องยากลำบากเหมือนคนทั่วไป เพื่อให้คาแรคเตอร์สอดคล้องกับโลกสมมติที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งความตลกร้ายของหนังคือภาพของผู้คนที่ต่างสนุก มีความสุขกับการเสพเรื่องราวสมมติ ในขณะเดียวกันก็เล่นกับความไม่รู้ของตัวเอกได้ดี
8. Snatch (2000)
ความเท่ห์และความวายป่วง ส่วนผสมที่ลงตัวจาก Lock, Stock and Two Smoking Barrels จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกส่งต่อในหนังแต่ละเรื่องของ Guy Ritchie โดย Snatch เป็นอีกหนึ่งผลงานที่เจนจัดในสไตล์ไม่แพ้กัน ตั้งแต่องค์ประกอบของคาแรคเตอร์ทั้งกลุ่มโจร นักมวย และแก๊งสเตอร์ หรือลักษณะการพูดสำเนียงอังกฤษ รวมไปถึงเรื่องการตัดต่อ มุมกล้องแปลกๆ และลูกเล่นงานเสียงที่สร้างสรรค์มาอย่างลงตัวกับอารมณ์ขันตลกร้ายที่ถูกเล่าผ่านสองเหตุการณ์ ระหว่างการปล้นเพชร และการพนันมวย ซึ่งทั้งสองจะถูกเชื่อมโยงและผสมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว
7. Adaptation. (2002)
เสมือนหนังที่ใส่ตัวตนของ Charlie Kaufman ในฐานะนักเขียนบทอัจฉริยะ ที่คนส่วนใหญ่อาจรู้จักจาก Eternal Sunshine of the Spotless Mind และ Being John Malkovich โดยแง่มุมของการเป็นผู้ชมสื่อบันเทิง ทั้งหนังและซีรีส์ ที่หลายๆคนอาจไม่เคยรับรู้มาก่อนว่า การที่บทหนังเรื่องหนึ่งจะถูกเขียนเสร็จและประสบความสำเร็จได้ ตัวผู้เขียนต้องเผชิญความยากลำบากหรือสูญเสียอะไรไปบ้าง ซึ่งหนังเรื่องนี้จะท้อนแง่มุมเหล่านั้นออกมาในโทนตลกเสียดสี โดยโฟกัสไปยังตัวนักเขียนคนหนึ่งที่อยู่ระหว่างการครุ่นคิดในการดัดแปลงบท และกำลังหาส่วนผสมที่เหมาะสมของความสำเร็จที่บางครั้งคุณอาจต้องแต่งเติมจุดหักเห หรือสร้างฉากจบที่หวือหวาเพื่อให้ผู้คนจดจำ แต่ขณะเดียวกันจะทำยังไงให้บทหนังซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับได้มากที่สุด
6. Birdman (2014)
นับตั้งแต่ Sunset Boulevard ก็ยากที่จะหาหนังเรื่องไหนมาสำรวจ ปอกเปลือกวงการฮอลลีวู้ดหรือโลกแห่งมายาได้โดดเด่นเท่ากับ Birdman ที่พูดถึงชีวิตของอดีตซุปเปอร์สตาร์ตกอับ ที่หาหนทางต่างๆเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้ตัวเองกลับมาโด่งดังอีกครั้ง โดยผู้กำกับ Alejandro G. Iñárritu เล่าเรื่องราวด้วยการตัดต่อ ฉากลองเทคอันน่าทึ่ง ส่วนตัวบทก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน กับบทสนทนาเสียดสีในแง่มุมต่างๆ มองถึงการมีตัวตน อีโก้ การเสพติดชื่อเสียงของเหล่านักแสดง อีกทั้งยังฉุดประเด็นการทำงานและความหมายของการมีเหล่านักวิจารณ์มาเล่นได้อย่างเจ็บแสบ
5. American Beauty (1999)
อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังเสียดสีและสะท้อนเรื่องราวของครอบครัวอเมริกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยผู้กำกับ Sam Mendes ถ่ายทอดความสัมพันธ์ครอบครัวที่ใกล้ถึงจุดเเตกหักอย่างชาญฉลาด เขาเปรียบความสัมพันธ์เหมือนกระจกเร้า แผ่นบางๆ ที่พร้อมจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งยังได้ย้อนความและลงลึกไปยังรากเหง้าของปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลทั้งพ่อ เเม่ และลูก กับสภาพครอบครัวภายนอกที่อาจดูสวยงามแต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความเน่าเฟะ โดยใส่อารมณ์แบบหนังตลกร้ายเข้าไป พร้อมทั้งบทสนทนาอันชาญฉลาดที่แสดงให้เห็นถึงมิติตื้นลึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี
4. Fargo (1996)
เป็นที่รู้กันดีว่าสองพี่น้อง Coen โดดเด่นกับแนวทางหนังอาชญากรรมที่มีส่วนผสมของหนังคอมเมดี้ ที่น้อยคนนักจะทำได้ดีเทียบเท่า ซึ่ง Fargo ก็คือหนึ่งในงานมาสเตอร์พีชของทั้งคู่ ยอดเยี่ยมไปด้วยพล็อตการปล้นที่ต่อยอดได้อย่างซับซ้อนและวายป่วง การวางคาแรคตอร์ตัวละครที่น่าจดจำ และบทสนทนากับสารหนังที่จิกกัด เสียดสีประเด็นใกล้ตัวมนุษย์ได้เป็นธรรมชาติ โดยพล็อตเรื่องพูดถึงเซลล์ขายรถที่ร้อนเงิน จนต้องจ้างโจรกระจอกสองคนให้ไปปล้นพ่อตาที่เป็นเศรษฐี
3. Fight Club (1999)
เรียกได้ว่าเป็นหนังของ David Fincher ที่ใกล้เคียงสถานะความเป็นหนังอินดี้มากที่สุด ทั้งลวดลายการเล่า การตัดต่อ การสอดแทรกสัญญะต่างๆตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังดูยาก จนไม่สามารถรับสาระสำคัญของเรื่องได้ กับประเด็นที่พูดถึงสังคมที่เสพติดวัตถุนิยม และคุณค่าของคนถูกตัดสินจากองค์ประกอบภายนอก โดยเล่าผ่านตัวเอกซึ่งเป็นหนุ่มพนักงานบริษัท ที่ถูกความเครียด ความวิตกต่างๆเข้าถาโถมจนเกิดปัญหาการนอนไม่หลับ ซึ่งหนังก็จะพาไปสำรวจสภาวะจิตใจที่มืดมน พร้อมทั้งตีแผ่อุดมการณ์ความคิดอันยิ่งใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ
2. Pulp Fiction (1994)
อาชญากรรมที่อยู่ในคราบหนังตลกร้าย เล่าผ่านเทคนิค non-linear ที่ตัดสลับระหว่าง 3 เหตุการณ์ก่อนจะเชื่อมโยงเข้ากันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งตัวละครในแต่ละเส้นเรื่องต่างมีบุคลิก เอกลักษณ์เฉพาะที่ชวนให้จดจำ โดยเฉพาะคู่ของ Samuel L. Jackson กับ John Travolta แน่นอนว่าบทหนังเป็นอาวุธสำคัญของ Quentin Tarantino ที่ใช้ขับเคลื่อนหนังให้มีรสชาติที่เผ็ดมัน ซึ่งในเรื่องแม้เต็มไปด้วยไดอะล็อกที่ยาวยืด คำสบถมากมาย แต่กลับดูชาญฉลาด แฝงด้วยการเสียดสี จิกกัดวัฒนธรรมป๊อป ตีแผ่พฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
1. Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964)
หากยกตัวอย่างหนังสักเรื่องที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของ “ความคลาสสิก สร้างสรรค์ และความทะเยอทะยาน” แน่นอนว่า Dr. Strangelove คู่ควรกับคุณสมบัติดังกล่าวอย่างยิ่ง เพราะยุคสมัยแห่งสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตึงเครียด วิกฤตการณ์ขีปนาวุธ ความล่อแหลมต่อสถานการณ์การเมือง ได้กำเนิดหนังที่หยิบประเด็นซีเรียสดังกล่าวมาบอกเล่าได้อย่างสนุกสนานผ่านตัวละครซึ่งเป็นบุคลากรชั้นสูงหรือผู้นำประเทศ มานั่งล้อมวงโต้เถียงด้วยบทสนทนาเชิงจิกกัด เสียดสี ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันตลกร้าย
.
.
.
.
.
.
.
.
ตัวอย่างลิสต์ที่ผมเคยเขียนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
10 หนังที่จบสะเทือนใจคนดูมากที่สุดในศตวรรษที่ 20
https://pantip.com/topic/37079531
10 หนังอีโรติกทริลเลอร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล
https://pantip.com/topic/37055741
10 หนังระทึกขวัญ(ลูปเวลา)ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/37032268
10 หนังรักต้องห้ามยอดเยี่ยมตลอดกาล
https://pantip.com/topic/37007679
10 หนังไซไฟ-ไซเบอร์พังก์ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/36981029
10 หนังระทึกขวัญเเห่งการนอกใจ
https://pantip.com/topic/36928433
10 หนังสยองขวัญเชิงจิตวิทยา ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/36904091
10 หนังที่เข้าถึงบทบาทของความบ้าคลั่ง แห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/36880060
10+(1) หนังมือสังหารยอดเยี่ยมเเห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/36853282
10 หนังที่หักมุมทำร้ายจิตใจคนดูได้มากที่สุดในศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/36833375
10 หนังสืบสวนที่การันตีคุณภาพ ด้วยการเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
https://pantip.com/topic/36809595
10 หนังทริลเลอร์เชิงจิตวิทยาแห่งปี 2017 ที่คุณไม่ควรพลาด
https://pantip.com/topic/36785245
10 หนังแห่งความซับซ้อน ชวนให้ครุ่นคิด
https://pantip.com/topic/36761003
10 หนังสืบสวนไซไฟยอดเยี่ยม
https://pantip.com/topic/36737566
10 หนังอาชญากรรมสมบูรณ์เเบบ
https://pantip.com/topic/36714502
20 หนังทริลเลอร์จิตวิทยายอดเยี่ยมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2012 - 2016)
https://pantip.com/topic/36691705
20 หนังจิตวิตก (Mindbender) ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/32549053
20 หนังทริลเลอร์จิตวิทยาแห่งศตวรรษที่ 21 ที่คุณไม่ควรพลาด
https://pantip.com/topic/32250236
50 หนังหักมุมยอดเยี่ยมตลอดกาล
https://pantip.com/topic/32751152
50 หนังสืบสวนยอดเยี่ยมเเห่งศตวรรษที่ 21
https://pantip.com/topic/33379805
50 หนังเเนวลึกลับที่คุณไม่ควรพลาด
https://pantip.com/topic/33091481

ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังเเละซีรีส์
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือ นิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวน
10 หนังตลกร้ายยอดเยี่ยมตลอดกาล
หนังตลกร้าย คือหนังที่มีพื้นฐานจากหนังคอมเมดี้ ที่อาจมีส่วนผสมของหนังดราม่า ระทึกขวัญ อาชญากรรม ซึ่งหัวใจสำคัญของหนังประเภทนี้คือ การสอดแทรกเนื้อหาเสียดสีสังคมหรือเรื่องใกล้ตัว ผ่านบทสนทนา และการกระทำของตัวละคร
นอกเหนือจาก 10 เรื่องที่กล่าวไปก็มีอีกหลายๆเรื่องที่ผมอยากเชียร์ อาทิเช่น Harold and Maude (1971), American Psycho (2000), In Bruges (2008), Being John Malkovich (1999), Barton Fink (1991), Thank You for Smoking (2005)
ใครมีหนังเรื่องไหนอยากเเนะนำเพิ่มเติม มาคอมเม้นท์เเสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. The Lobster (2015)
เปรียบเปรย 'ความโสด' เป็นความแปลกแยก อาชญากรรมร้ายแรง ที่คนโสดต้องขวนขวาย หรือกระทั่งฉุดกระชาก หากลวิธีต่างๆเพื่อทะลายความโสด เพราะมิเช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยกฎระเบียบสังคม โดยผู้กำกับ Yorgos Lanthimos มองในภาพกว้าง ไม่เพียงโฟกัสแค่กลุ่มที่ไหลไปตามกฎระเบียบสังคมที่ต้องใฝ่หาความรัก หรือสร้างความสัมพันธ์ลวงปกปิดความเป็นโสด แต่หนังยังมองไปถึงกลุ่มที่คิดต่อต้าน หลบหลีกจากสังคมใหญ่ ซึ่งไอเดียดังกล่าวถูกนำเสนอออกมาอย่างพิลึกพิลั่น ที่แม้เนื้อหาจะดูจริงจัง แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขันเชิงเสียดสี
9. The Truman Show (1998)
บทภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดแนวคิดได้สอดคล้องกับยุคสมัย เมื่อผู้คนต่างเสพติดการบริโภคสื่อโทรทัศน์ หรือพวกเรียลลิตี้โชว์ หลงใหลในความบันเทิงจอมปลอมที่ถูกเซ็ทขึ้นมาเพื่อตอบสนองในสิ่งที่คนดูต่างคาดหวัง โดยพล็อตได้พูดถึงรายการเรียลลิตี้ที่ตามติดชีวิตของหนุ่มคนหนึ่ง โดยหนังวางตัวเอกให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน เพราะชีวิตไม่เคยได้พบเจอกับเรื่องยากลำบากเหมือนคนทั่วไป เพื่อให้คาแรคเตอร์สอดคล้องกับโลกสมมติที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งความตลกร้ายของหนังคือภาพของผู้คนที่ต่างสนุก มีความสุขกับการเสพเรื่องราวสมมติ ในขณะเดียวกันก็เล่นกับความไม่รู้ของตัวเอกได้ดี
8. Snatch (2000)
ความเท่ห์และความวายป่วง ส่วนผสมที่ลงตัวจาก Lock, Stock and Two Smoking Barrels จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกส่งต่อในหนังแต่ละเรื่องของ Guy Ritchie โดย Snatch เป็นอีกหนึ่งผลงานที่เจนจัดในสไตล์ไม่แพ้กัน ตั้งแต่องค์ประกอบของคาแรคเตอร์ทั้งกลุ่มโจร นักมวย และแก๊งสเตอร์ หรือลักษณะการพูดสำเนียงอังกฤษ รวมไปถึงเรื่องการตัดต่อ มุมกล้องแปลกๆ และลูกเล่นงานเสียงที่สร้างสรรค์มาอย่างลงตัวกับอารมณ์ขันตลกร้ายที่ถูกเล่าผ่านสองเหตุการณ์ ระหว่างการปล้นเพชร และการพนันมวย ซึ่งทั้งสองจะถูกเชื่อมโยงและผสมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว
7. Adaptation. (2002)
เสมือนหนังที่ใส่ตัวตนของ Charlie Kaufman ในฐานะนักเขียนบทอัจฉริยะ ที่คนส่วนใหญ่อาจรู้จักจาก Eternal Sunshine of the Spotless Mind และ Being John Malkovich โดยแง่มุมของการเป็นผู้ชมสื่อบันเทิง ทั้งหนังและซีรีส์ ที่หลายๆคนอาจไม่เคยรับรู้มาก่อนว่า การที่บทหนังเรื่องหนึ่งจะถูกเขียนเสร็จและประสบความสำเร็จได้ ตัวผู้เขียนต้องเผชิญความยากลำบากหรือสูญเสียอะไรไปบ้าง ซึ่งหนังเรื่องนี้จะท้อนแง่มุมเหล่านั้นออกมาในโทนตลกเสียดสี โดยโฟกัสไปยังตัวนักเขียนคนหนึ่งที่อยู่ระหว่างการครุ่นคิดในการดัดแปลงบท และกำลังหาส่วนผสมที่เหมาะสมของความสำเร็จที่บางครั้งคุณอาจต้องแต่งเติมจุดหักเห หรือสร้างฉากจบที่หวือหวาเพื่อให้ผู้คนจดจำ แต่ขณะเดียวกันจะทำยังไงให้บทหนังซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับได้มากที่สุด
6. Birdman (2014)
นับตั้งแต่ Sunset Boulevard ก็ยากที่จะหาหนังเรื่องไหนมาสำรวจ ปอกเปลือกวงการฮอลลีวู้ดหรือโลกแห่งมายาได้โดดเด่นเท่ากับ Birdman ที่พูดถึงชีวิตของอดีตซุปเปอร์สตาร์ตกอับ ที่หาหนทางต่างๆเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้ตัวเองกลับมาโด่งดังอีกครั้ง โดยผู้กำกับ Alejandro G. Iñárritu เล่าเรื่องราวด้วยการตัดต่อ ฉากลองเทคอันน่าทึ่ง ส่วนตัวบทก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน กับบทสนทนาเสียดสีในแง่มุมต่างๆ มองถึงการมีตัวตน อีโก้ การเสพติดชื่อเสียงของเหล่านักแสดง อีกทั้งยังฉุดประเด็นการทำงานและความหมายของการมีเหล่านักวิจารณ์มาเล่นได้อย่างเจ็บแสบ
5. American Beauty (1999)
อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังเสียดสีและสะท้อนเรื่องราวของครอบครัวอเมริกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยผู้กำกับ Sam Mendes ถ่ายทอดความสัมพันธ์ครอบครัวที่ใกล้ถึงจุดเเตกหักอย่างชาญฉลาด เขาเปรียบความสัมพันธ์เหมือนกระจกเร้า แผ่นบางๆ ที่พร้อมจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งยังได้ย้อนความและลงลึกไปยังรากเหง้าของปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลทั้งพ่อ เเม่ และลูก กับสภาพครอบครัวภายนอกที่อาจดูสวยงามแต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความเน่าเฟะ โดยใส่อารมณ์แบบหนังตลกร้ายเข้าไป พร้อมทั้งบทสนทนาอันชาญฉลาดที่แสดงให้เห็นถึงมิติตื้นลึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี
4. Fargo (1996)
เป็นที่รู้กันดีว่าสองพี่น้อง Coen โดดเด่นกับแนวทางหนังอาชญากรรมที่มีส่วนผสมของหนังคอมเมดี้ ที่น้อยคนนักจะทำได้ดีเทียบเท่า ซึ่ง Fargo ก็คือหนึ่งในงานมาสเตอร์พีชของทั้งคู่ ยอดเยี่ยมไปด้วยพล็อตการปล้นที่ต่อยอดได้อย่างซับซ้อนและวายป่วง การวางคาแรคตอร์ตัวละครที่น่าจดจำ และบทสนทนากับสารหนังที่จิกกัด เสียดสีประเด็นใกล้ตัวมนุษย์ได้เป็นธรรมชาติ โดยพล็อตเรื่องพูดถึงเซลล์ขายรถที่ร้อนเงิน จนต้องจ้างโจรกระจอกสองคนให้ไปปล้นพ่อตาที่เป็นเศรษฐี
3. Fight Club (1999)
เรียกได้ว่าเป็นหนังของ David Fincher ที่ใกล้เคียงสถานะความเป็นหนังอินดี้มากที่สุด ทั้งลวดลายการเล่า การตัดต่อ การสอดแทรกสัญญะต่างๆตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังดูยาก จนไม่สามารถรับสาระสำคัญของเรื่องได้ กับประเด็นที่พูดถึงสังคมที่เสพติดวัตถุนิยม และคุณค่าของคนถูกตัดสินจากองค์ประกอบภายนอก โดยเล่าผ่านตัวเอกซึ่งเป็นหนุ่มพนักงานบริษัท ที่ถูกความเครียด ความวิตกต่างๆเข้าถาโถมจนเกิดปัญหาการนอนไม่หลับ ซึ่งหนังก็จะพาไปสำรวจสภาวะจิตใจที่มืดมน พร้อมทั้งตีแผ่อุดมการณ์ความคิดอันยิ่งใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ
2. Pulp Fiction (1994)
อาชญากรรมที่อยู่ในคราบหนังตลกร้าย เล่าผ่านเทคนิค non-linear ที่ตัดสลับระหว่าง 3 เหตุการณ์ก่อนจะเชื่อมโยงเข้ากันอย่างน่าทึ่ง ซึ่งตัวละครในแต่ละเส้นเรื่องต่างมีบุคลิก เอกลักษณ์เฉพาะที่ชวนให้จดจำ โดยเฉพาะคู่ของ Samuel L. Jackson กับ John Travolta แน่นอนว่าบทหนังเป็นอาวุธสำคัญของ Quentin Tarantino ที่ใช้ขับเคลื่อนหนังให้มีรสชาติที่เผ็ดมัน ซึ่งในเรื่องแม้เต็มไปด้วยไดอะล็อกที่ยาวยืด คำสบถมากมาย แต่กลับดูชาญฉลาด แฝงด้วยการเสียดสี จิกกัดวัฒนธรรมป๊อป ตีแผ่พฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
1. Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964)
หากยกตัวอย่างหนังสักเรื่องที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของ “ความคลาสสิก สร้างสรรค์ และความทะเยอทะยาน” แน่นอนว่า Dr. Strangelove คู่ควรกับคุณสมบัติดังกล่าวอย่างยิ่ง เพราะยุคสมัยแห่งสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตึงเครียด วิกฤตการณ์ขีปนาวุธ ความล่อแหลมต่อสถานการณ์การเมือง ได้กำเนิดหนังที่หยิบประเด็นซีเรียสดังกล่าวมาบอกเล่าได้อย่างสนุกสนานผ่านตัวละครซึ่งเป็นบุคลากรชั้นสูงหรือผู้นำประเทศ มานั่งล้อมวงโต้เถียงด้วยบทสนทนาเชิงจิกกัด เสียดสี ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันตลกร้าย
.
.
.
.
.
.
.
.
ตัวอย่างลิสต์ที่ผมเคยเขียนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังเเละซีรีส์
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือ นิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวน