10 หนังที่จบสะเทือนใจคนดูมากที่สุดในศตวรรษที่ 20


อาจเรียกว่าเป็นการต่อยอดหรือภาคต่อของลิสต์ “10 หนังที่หักมุมทำร้ายจิตใจคนดูได้มากที่สุดในศตวรรษที่ 21” [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แต่มีการปรับช่วงเวลา เเละชื่อลิสต์เพื่อให้สอดคล้องกับตัวหนังในลิสต์มากขึ้น ที่ส่วนใหญ่อาจหนักไปทาง surprise ending แต่แน่นอนว่าความรู้สึกที่ได้จากการดูหนังจะเต็มไปด้วย ความหดหู่ จิตตก และเศร้าสลด


นอกเหนือจาก 10 เรื่องนี้ก็มีหนังอีกหลายๆเรื่องที่อยากแนะนำ อาทิเช่น The Elephant Man 1980, Midnight Cowboy 1969, Nineteen Eighty-Four 1984, Philadelphia 1993, Dead Man Walking 1995, Easy Rider 1969


ท่านใดมีหนังเรื่องไหนอยากแนะนำเพิ่มเติม ก็มาคอมเม้นท์แสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

10. Life Is Beautiful (1997)

บรรดาหนังสงครามที่ขึ้นชื่อและบอกเล่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอย่าง Schindler's List หรือ The Pianist จะเน้นการนำเสนอภาพแห่งความโหดร้าย อบอวนด้วยบรรยากาศหดหู่ สิ้นหวัง ซึ่งดูแตกต่างกับหนังเรื่องนี้ของ Roberto Benigni ที่บอกเล่าเรื่องราวพ่อแม่ลูก ที่ถูกจับมายังค่ายกักกัน ซึ่งแม้บริบทายนอกของหนังจะถูกเซ็ทไปตามสภาพความเป็นจริงของสงคราม แต่กลับขับเคลื่อนด้วยมุมมองของคนที่มองโลกในแง่ดี ผ่านคำโกหก คำหลอกลวง แม้เป็นสิ่งที่ดูไม่ดีนัก แต่บางครั้งเราอาจต้องทำเพื่อใครสักคน เพื่อให้เค้าสามารถยืนหยัดและก้าวผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายไปได้








9. American History X (1998)

การเหยียดผิวดูจะเป็นปัญหาเรื้อรังของอเมริกามาอย่างช้านาน แม้ปัจจุบันจะมีการปลูกฝังทัศนคติ สร้างความเสมอภาคทั้งด้านการงานอาชีพ การเข้าถึงสิทธิประกันสังคม หรือสิทธิด้านอื่นๆที่คนขาวได้รับและฝั่งคนผิวดำก็ควรได้รับเช่นกัน เพื่อให้สองฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แต่ทว่าลึกๆแล้วต่างฝ่ายก็ยังมีความรู้สึกเคลือบแคลงใจ ดูไม่มีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน และนั่นเป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้นำมาขยายภาพ เล่าออกมาได้อย่างจริงจัง โดยผ่านครอบครัวอเมริกันที่มีพี่ชายเป็นพวกหัวรุนแรง อีกทั้งยังเป็นพวกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติแบบสุดโต่ง








8. Grave of the Fireflies (1988)

ยากจะปฏิเสธว่านี่คือหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของสตูดิโอจิบลิ ที่ทรงคุณค่าต่อการบอกต่อ และยกเชิดชูไว้บนหิ้ง แต่ทว่าความตรงไปตรงมาของเนื้อหาที่สะท้อนถึงผลกระทบของสงคราม ที่เต็มไปด้วยการสูญเสีย ความอดอยาก การดิ้นรนเอาชีวิตรอด ที่สามารถสร้างความหดหู่ที่ซึมลึกไปยังก้นบึ้งของจิตใจผู้ชม และคุณอาจต้องจมอยู่กับสภาวะความโศกเศร้า ทุกข์ทรมานต่อชะตากรรมอันโหดร้ายของสองพี่น้องที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง








7. The Green Mile (1999)

หนังสองเรื่องของ Frank Darabont จากยุค 90s ทั้ง The Shawshank Redemption กับ The Green Mile มีความเหมือนที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ การสะท้อนความล้มเหลวของระบบกฎหมายในการจับผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และประเด็นการคอรัปชั่น เส้นสายอำนาจที่ซุกซ่อนอยู่ในระบบความยุติธรรม ซึ่งทั้งสองเรื่องได้นำเสนอออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน เรื่องหนึ่งสะท้อนการต่อสู้และความพยายามที่จะหลุดพ้นต่อความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ ส่วนอีกเรื่อง The Green Mile จะพาไปสำรวจเหล่าตัวละคร และค้นหาตัวตนที่แท้จริงของนักโทษผิวสีร่างยักษ์ที่ถูกจับในคดีฆาตกรรมเด็กสาว








6. Dead Ringers (1988)

David Cronenberg เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่องความอำมหิต ไร้ความประนีประนอมต่อคนดู ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับการสำรวจปมความผิดปกติของร่างกายที่ต้องการรสสัมผัสแห่งความสยองขวัญ สั่นประสาท เมื่อการตั้งครรภ์แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียว ก่อเกิดเป็นชายสองคนที่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง แต่บุคลิก อุปนิสัยดูจะต่างกันออกไป เมื่อฝ่ายหนึ่งดูเป็นคนมั่นใจ กล้าแสดงออก ส่วนอีกฝ่ายกลับเป็นคนเงียบๆ ดูขี้อาย โดยหนังพาไปสำรวจความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง รูปแบบการใช้ชีวิต ที่มักมีการสวมรอยตัวตน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จนกระทั่งการมาของหญิงสาวคนหนึ่งที่สร้างความปั่นป่วนในจิตใจของทั่งคู่ และนำไปสู่เรื่องราวของโศกนาฏกรรม








5. Brazil (1985)

อีกหนึ่งหนังไซไฟขึ้นหิ้ง ที่สะท้อนภาพแห่งโลกอนาคตที่ถูกครอบงำด้วยระบบการปกครองฟาสซิสต์ ซึ่งหน่วยงานรัฐสามารถเข้ามาสอดส่องและแทรกแซงชีวิตของประชาชนได้อยู่ตลอดเวลา แน่ชัดว่าหลักของเหตุและผลถูกใช้ได้เฉพาะกับกลุ่มคนชนชั้นสูง กลุ่มคนชั้นล่างลงมาไม่มีสิทธิ์ที่จะคิด หรือถ้าใครคิดแหกกฏก็จะถูกลงโทษหรือถูกกำจัดโดยอำนาจเบื้องบน ซึ่งหนังได้เปรียบเปรยตัวเอกของเรื่องในฐานะผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากระบบ ใฝ่หาความเป็นอิสระ และท้ายที่สุดก็นำไปสู่บทสรุปที่สะท้อนความจริงและเสียดสีการทำงานหน่วยรัฐบาลได้อย่างเจ็บแสบ








4. Bicycle Thieves (1948)

เรียกว่าเป็นหนึ่งในหนังยุโรปที่ทรงคุณค่าต่อวงการภาพยนตร์ โดยผู้กำกับ Vittorio De Sica ได้สร้างหนังดราม่าที่ดูเรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยความสัจจริง โดยโฟกัสไปยังชนชั้นล่างของสังคม แล้วมอบความหวังให้กับพวกเขา แต่ก็ยังสะท้อนถึงความสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน แน่ชัดว่าเขาต้องการนำเสนอแนวคิดของหนัง neo-realism ที่ตีแผ่สภาพความจริงของสังคมหลังผ่านสงคราม ที่เต็มไปด้วยความอดอยาก การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ มีอัตราการว่างงาน และการก่ออาชญากรรมเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และหนังก็ได้พูดถึงเรื่องราวของชายวัยกลางคนที่พาลูกชาย ออกตามหาจักรยานซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินที่ถูกขโมยไป








3. Se7en (1995)

แน่นอนว่าทางสตูดิโดและทีมผู้สร้าง คงรู้สึกขอบคุณเหล่านักแสดงนำอย่าง Brad Pitt เป็นอย่างมาก ที่ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า “หนังเรื่องนี้ต้องใช้ตอนจบแบบดั้งเดิมเท่านั้น” ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่าได้ผลตอบรับที่ดีเยี่ยม และกลายเป็นหนังแจ้งเกิดเต็มตัวของ David Fincher ในฐานะผู้กำกับ โดยเรื่องราวพูดถึงสองตำรวจที่ต้องสืบหาตัวฆาตกรต่อเนื่อง จากการตายของเหยื่อ 7 ราย ที่มีจุดเชื่อมโยงไปยังพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ที่ว่าด้วยเรื่องของบาป 7 ประการ โดยสิ่งที่ควรพูดถึงและยกย่องไม่แพ้กันนอกเหนือจากไคล์แม็กซ์ของเรื่องคือ การแสดงของ Kevin Spacey ที่แม้จะเป็นการปรากฏตัวในช่วงระยะเวลาไม่นาน แต่ก็เต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและโมเม้นต์ที่น่าจดจำ








2. Vertigo (1958)

อย่างที่รู้กันดีว่า Alfred Hitchcock คือปรมาจารย์แห่งหนังระทึกขวัญ ที่สร้างหนังทรงคุณค่าและขึ้นหิ้งให้กับวงการภาพยนตร์มากมาย โดยหนึ่งในนั้นคือ Vertigo หนังอันดับหนึ่งของนิตยสาร Sight & Sound แน่ชัดว่าหนังเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ทีมนักแสดง การตัดต่อ การถ่ายภาพ และที่สำคัญคือบทภาพยนตร์ กับหัวใจสำคัญที่สื่อถึงเรื่องราวแห่งความหมกมุ่น ความลุ่มหลงได้อย่างลึกซึ้ง จนเรียกได้ว่าเป็นความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างถ่องแท้ อีกทั้งในแง่ของหนังสืบสวนก็ยังเต็มไปด้วยการตลบหลัง จุดหักมุมที่หลอกคนดูได้อย่างมีชั้นเชิง โดยหนังเรื่องนี้พูดถึงนักสืบที่มีปมเรื่องกลัวความสูง และถูกว่าจ้างจากเพื่อนสนิทให้สะกดรอยหญิงสาวรายหนึ่งที่มีพฤติกรรมอันผิดแปลก








1. Chinatown (1974)

คงไม่ใช่เรื่องที่ดูเกินจริงแต่อย่างใด หากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสืบสวนที่ดีที่สุดตลอดกาล เพราะด้วยองค์ประกอบซึ่งสำคัญที่สุดอย่างบทภาพยนตร์ ที่ผู้เขียนอย่าง Robert Towne พิถีพิถันตั้งแต่การวางโครงเรื่อง มองภาพรวมจากสเกลเล็กๆที่ว่าด้วย นักสืบเอกชนกับการจ้างวานสืบเสาะปัญหาชู้สาว และขยายไปสู่สเกลใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และการคอรัปชั่น อีกทั้งยังมีการวางคาแรคเตอร์ตัวละครในแบบฉบับหนังฟิล์มนัวร์ดั้งเดิมอย่างหญิงร้ายชายเลว และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือการสร้างจุดหักมุม ที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้อย่างน่าจดจำและสะเทือนความรู้สึกของคนดูเป็นอย่างยิ่ง
.
.
.
.
.
.
.
.
ตัวอย่างลิสต์ที่ผมเคยเขียนไว้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้





ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังเเละซีรีส์



ขออนุญาตฝากเพจนะครับ

https://www.facebook.com/Criticalme



เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือ นิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่