ค่ายอาสาสยอง

เราไม่คิดว่าเราเป็นคนมีเซนต์และจะวิเศษกว่าคนอื่นๆนะ แต่เรื่องลี้ลับและสิ่งเหนือธรรมชาติที่เราเคยสัมผัสกับมันหลายๆครั้งเราคิดว่าเราเป็นคนซวยๆคนหนึ่งที่แมร่งไม่ควรเจอยิ้มอะไรแบบนี้ ถ้าเลือกได้เราขอเป็นคนปกติแบบคนอื่นๆดีกว่า
เราขอบอกเลยว่าสิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเราเองและคนรอบข้าง ถ้าหากจะหาข้อเท็จจริงจากเรา เราคงจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นไม่ได้ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อไปกินเกลือบ้านตาแป๊ะเลยจ้าทุกคน อิอิ  เริ่มกันเลยดีกว่า ย้อนไปสมัยที่เราอยู่ ม.4 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชานเมืองของกรุงเทพ เพื่อนในชั้นเรียนตกลงกันว่าจะออกค่ายพัฒนาโรงเรียนในชนบท เพื่อเก็บชั่วโมงจิตอาสาให้ครบ เพื่อนๆทุกคนจึงปรึกษาหารือกันเรื่องจัดค่ายการเป็นอยู่และการเดินทาง ในที่ประชุมสรุปกันว่า เราจะไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในปราจีนบุรี เราจะเดินทางกันโดยรถไฟเพื่อดูบรรยากาศข้างทางและประหยัดค่าใช้จ่าย ทุกคนดูตื่นเต้นและรอคอยค่ายครั้งนี้มากๆ และวันออกเดินทางก็มาถึง บรรยากาศที่สถานีรถไฟก็จะประมาณว่า มีเซเลปจากวงการมายามารอขึ้นรถไฟ ทุกคนแต่งตัวให้นำแฟชั่นที่สุดเพื่อที่จะไปอวดน้องๆในค่าย เราก็แอบขำว่าพวกยิ้มทำเพื่ออะไร พอถึงเวลาที่รถไฟเทียบชานชาลา พวกเราก็แห่กันขึ้นทันทีแย่งเบียดเสียดกับผู้คน มีทั้งคนไทยและก็เพื่อนบ้าน สรุปคือไปกัน30กว่าคนได้นั่งแค่4-5คนเอง บรรยากาศในขบวนรถมีลูกเล็กเด็กแดง มีคุณป้าถือตะกร้าไข่แก้บน เสียงน้ำเย็นผ้าเย็นมั้ยคะของแม่ค้าดังมาชัดเจน ถึงแม้แม่ค้าคนนั้นจะอยู่ที่โบกี้อื่น บรรยากาศก็ปกติทั่วไป แต่เราไปสะดุดที่ชายคนหนึ่งที่มีลายสักเต็มตัวสักไปถึงหน้าผากยืนคุยโทรศัพท์ดังมาก(คุยเป็นภาษาเขมร)เราฟังไม่รู้เรื่องหรอก และที่สำคัญคือพวกกรูรำคาญยิ้ม แต่ก็ได้แค่บ่นกับเพื่อนๆว่ารำคาญไอ้เหียกนี่ว่ะ  จนเดินทางมาถึงชุมทางชื่อดังแห่งหนึ่ง ผู้คนก็ทยอยกันลงจนมีที่ว่างให้พวกเราได้นั่งพักให้หายเมื่อยซักหน่อย หลังจากที่เราได้นั่งและซื้อข้าวเกรียบปลาและปลาเส้นทาโร่ และกินกันจนอิ่มแล้ว เราก็หลับพักสายตาไปพักนึง ตื่นมาอีกทีเพื่อนก็ปลุกบอกว่าใกล้ถึงแล้ว ภาพที่เห็นคือสองข้างทางมันคือป่าทั้งนั้นเลยเว้ย พอรถไฟจอดเรานึกในใจแมร่งเอ๊ย!!!! กูจะไปทางไหนดีวะเนี่ย ในจังหวะนั้นรถไฟกำลังเคลื่อนออก อีมู่ลี่เพื่อนเราตะโกนว่า เฮ้ย!!! จับมันไว้ๆ ทุกสายตาหันไปทางต้นเสียง สิ่งที่เกิดขึ้นคืออีมู่ลี่โดนฉกกระเป๋าตัง เรากับพวกเพื่อนๆรีบพุ่งไปคว้าตัวคนร้าย เพื่อนที่ชื่อไอ้แฮมรีบคว้าคอเสื้อมันได้ บวกกับรถไฟที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออก คนร้ายมันจึงยอมปล่อยมือจากราวเหล็กแล้วร่วงลงมา พอมันหล่นตุ้บ! มันรีบสะบัดหลุด แล้ววิ่งข้ามทางรถไฟ ทันใดนั้นก็มีรถไฟที่พ่วงน้ำมันสวนมาพอดีกับจังหวะที่ขบวนที่เรานั่งมายังไม่พ้นสถานี ทำให้คนร้ายมองไม่เห็นขบวนที่สวนมา และแล้วหายนะก็เกิดขึ้น คนร้ายโดนรถไฟพ่วงน้ำมันบดขยี้ร่างและศรีษะดังโพล๊ะ!!! เหตุการณ์เกิดขึ้นไวมาก รถไฟขบวนนั้นก็วิ่งต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนต่างอึ้งกับสิ่งที่เกิด ด้วยความที่มีเลือดไทยสูง ไทยมุงอ่ะ เราก็เข้าไปดูสภาพศพเท่าที่พอจะจำได้บ้าง คนร้ายก็คือชาวกัมพูชาคนที่คุยโทรศัพท์ดังๆ ที่เรารำคาญนั่นแหละ หลังจากนั้นมูลนิธิก็มาทำหน้าที่ของเขาไป เรื่องของคดีความเราไม่ขอพูดถึงละกันนะ วันนั้นเราก็ได้รับการต้อนรับจากทางโรงเรียนเป็นอย่างดี ไปถึงเราก็จัดแจงที่พัก ที่พักของพวกเราคือห้องเรียนแล้วร่นโต๊ะนักเรียนไปไว้หลังห้อง กิจกรรมในวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ภายในใจทุกคนก็ยังช๊อคอยู่ ช่วงกินข้าวเย็นพวกเราอาบน้ำและมาประชุมวางแผนกิจกรรมในวันต่อไป ด้วยความที่เราเป็นคนขี้แกล้งเราก็เลยพูดแหย่ไอ้แฮมว่า ถ้าไอ้คนเมื่อเช้ามันตามมาหักคอล่ะจะทำไงวะไอ้แฮม ทุกคนก็ขำกันๆ ไอ้แฮมก็บอกว่ามันเป็นคนไม่ดีตายๆไปก็ดีแล้ว ทุกคนก็ตกใจกับคำพูดของมันบนใบหน้าที่คร่ำเครียดเหงื่อตก หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องเรียนเพื่อไปพักผ่อน เราแยกตัวออกไปเข้าห้องน้ำหลังอาคารเรียน ในขณะที่ทำธุระส่วนตัวอยู่นั้น ห้องน้ำข้างๆก็มีเสียงขันตก กีอกๆแก๊กๆ และเสียงน้ำจากก๊อกที่เปิดแรงสุดดัง ซู่ๆ  เราก็เลยตะโกนไปว่า ใครอ่ะ กูเสร็จแล้วให้กูรอป่าวจะได้ขึ้นพร้อมกันแต่ก็ไม่มีใครตอบ คงจะไม่ได้ยินมั้งเพราะเปิดน้ำดังเหลือเกิน เราก็เลยช่างมัน ง่วงแล้วขึ้นไปนอนดีกว่า พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาพบว่าห้องข้างๆถูกล๊อคด้วยกุญแจสนิมเขรอะ เราคิดว่าสงสัยจะเป็นเสียงจากที่อื่นแต่เราเริ่มระแวงละ เราก็เดินขึ้นอาคารเรียนเพื่อขึ้นไปนอน ไอ้แฮมก็เดินสวนออกมาเพื่อไปเข้าห้องน้ำมันยืนจ้องเราและหรี่ตามองเพราะมันสายตาไม่ค่อยดี หน้าเริ่มถอดสีไม่ทันไรมันก็วิ่งกลับเข้าไปนอนคลุมโปง หายใจรัวๆเหมือนคนเป็นโรคหอบ  เราขนลุกไม่รู้ว่ามันแกล้งเราหรือมันเป็นอะไร เราเลยเรียกเขย่าตัวดึงผ้าห่มมันเรียกมันเสียงดังมาก จนเพื่อนคนอื่นๆเริ่มผละจากการแชท การคุยโทรศัพท์กับแฟน มาสนใจเพื่อนสองคนที่โวยวายอยู่ในความมืดมุมห้องริมหน้าต่าง กูอยู่นี่เว้ยเพื่อน เป็นไรวะเราถามไอ้แฮมพร้อมเขย่าตัวเพื่อเรียกสติ ที่นอน ผ้าห่ม หมอน กระจัดกระจาย เพื่อนคนนึงพยายามเปิดไฟแต่หาไม่เจอสักทีเพราะไม่ชินสถานที่ ไอ้แฮมพูดวนซ้ำๆ พอแล้ว พอแล้ว กูขอโทษ และก็ยกมือไหว้สั่นระริกๆ ท่าทางเริ่มจะได้สติและพูดรู้เรื่องขึ้น แป๊ก! เสียงสวิซไฟดังขึ้น แต่หลอดไฟดันไม่ติด ในห้องนี้พอจะมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้าง จึงทำให้เราเห็นว่าไอ้แฮมมันมองไปทางไหน เราค่อยๆหันตามไปมองช้าๆ ใจเต้นระรัว ลมหายใจถี่มากๆ เหงื่อในมือเริ่มไหลออกมาเปียกโชก สิ่งที่เราเห็นและไอ้แฮมมองก็คือหน้าต่างโล่งๆที่เปิดไว้ เรารู้ละว่าแกล้งกูแน่ๆเลยจะหันมาด่ามันว่า ไอ้สั...ส ด่ายังไม่สุดคำ ภาพที่ปรากฎคือไอ้แฮมหมอบกราบอะไรบางอย่างที่เป็นรูปร่างผู้ชาย ผิวคล้ำๆ ลูกตาย้อยออกมาจากเบ้า หัวผิดรูปทรง ชี้มาทางไอ้แฮม พึมพำภาษาแปลกๆ ยืนอยู่บนโต๊ะเรียนหลังห้องที่กองๆไว้  เลือดไหลมาเป็นทาง เราร้องให้เพื่อนช่วยสุดเสียงบนอาการของคนหลอนสุดขีด เสียงร้องนั้นคือความทรงจำสุดท้ายก่อนที่เราจะรู้สึกตัวอีกทีในตอนเช้า พร้อมกับขันน้ำมนต์และผ้าเช็ดตัววางอยู่ข้างๆ พร้อมเพื่อนที่มาล้อมเรากับไอ้แฮมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อนๆทุกคน เล่าว่าเราไม่ได้สติโวยวายกันอยู่สองคนทีแรกนึกว่าเรากับไอ้แฮมหยอกล้อกัน(หยอกเหียกไรเสียงกูเอนจอยมากสินะ)จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่คนเล่นกันเลยไปเคาะกุฏิเรียกหลวงพ่อที่วัดมาช่วยรดน้ำมนต์จนเรากับไอ้แฮมหมดแรงปลุกยังไงก็ไม่ตื่น พอเริ่มมีแรงเราลุกขึ้นรีบเก็บกระเป๋าทันทีบอกทุกคนว่าไม่เอาแล้วกูจะกลับ เรากับไอ้แฮมพร้อมเพื่อนๆอีกเกินครึ่งขอลากลับพร้อมเรา เพราะทุกคนต่างจิตใจห่อเหี่ยวตั้งแต่วันแรกที่มา
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นประมาณ2-3วันเราอยากถามในสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอดว่าก่อนหน้านั้นไอ้แฮมมันเจออะไรถึงได้มองเราแปลกๆแล้วก็สติแตก เราจึงตัดสินใจรื้อฟื้นความหลังด้วยการถามไอ้แฮม มันเล่าว่าตอนมันเจอเรามันเห็นว่ามีผู้ชายเดินตามหลังเรามาหน้าตาซีดๆ  พอมันจำได้มันก็สติแตก ในระหว่างที่มันโวยวายมันก็เห็นชายคนเดิม เดินอยู่นอกหน้าต่างปากขมุบขมิบพูดไม่รู้เรื่อง (ห้องเรียนไม่มีระเบียงชั้น2)  หลังจากนั้นโรงเรียนเราเลยงดการออกค่ายโดยที่ไม่มีครูที่ปรึกษาไปด้วยทันที ทำให้พวกห้องที่ยังไม่ได้ออกไปค่ายเซ็งไปตามๆกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่