
ยังคงเป็นช่วงท้าทาย ช่อง 3 ที่ต้องปรับตัวอย่างหนัก หลังเผชิญกับวิกฤติ รายได้ลดลง จากคู่แข่งทีวีดิจิทัลที่เข้ามาแย่งชิงเค้กโฆษณา และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปรับสื่อหลากหลาย จนต้องปรับโครงสร้างการบริหารด้วยการดึงคนนอกเข้ามาร่วมบริหารมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ล่าสุดช่อง 3 ได้ รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ร่วมทีม เพื่อผลักดันรายได้จากการส่งออกละคร และเพิ่มโมเดลแบ่งรายได้ผู้ผลิตแบบใหม่ Revenue sharing มาใช้ แก้ปัญหาตัดราคา ผลักดันทีมขายเปิดเกมรุกหาลูกค้า
นำโมเดลแบ่งรายได้ผู้ผลิตรายการ
ช่อง 3 ได้ เพิ่มโมเดลการแบ่งรายได้โฆษณากับผู้ผลิตรายการ ในรูปแบบของ Revenue sharing หรือ การร่วมกันขายโฆษณาและนำรายได้มาแบ่งกัน โดยจะเริ่มใช้กับรายการใหม่ ๆ ก่อน
จากเดิมนั้น รูปแบบการแบ่งรายได้กับผู้ผลิตจากเดิมจะมี 3 โมเดล คือ เช่าเวลาจัดรายการ เช่น การแข่งขันร้องเพลง 2. การจ้างผลิต เช่น ละคร และ3. แบ่งเวลาขายโฆษณา (Time sharing) เช่น เกมส์โชว์
โมเดล Revenue sharing จะนำร่องใช้กับ “รายการเกมโชว์ใหม่” ที่บริษัทเซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซื้อลิขสิทธิ์มาผลิต มีการลงทุนสูงเฉลี่ยตอนละ 1 ล้านบาท โดยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นรายการรับความนิยม มาช่วยเติมรายการวาไรตี้เกมโชว์ให้กับช่อง 3 ซึ่งยังขาดอยู่ได้
ที่นำร่องใช้กับเซิร์ชก่อน เพราะเซิร์ซ ซึ่งนำโดยวิบูลย์ ลีรัตนขจร และ จอนนี แอนโฟเน 2 ผู้ก่อตั้ง เป็นผู้ขับเคลื่อนร่วมเดินหน้ากับช่อง 3 ในรูปแบบการแบ่งรายได้ใหม่นี้ เป็นพันธมิตรกับช่อง 3 มานาน และไม่เคยไปผลิตรายการให้ช่องอื่น
โดยจะมีการเปลี่ยนระบบการขายเวลาโฆษณา ทีมโฆษณาของช่อง 3 กว่า 20 คน จะทำงานร่วมกับทีมโฆษณาของเซิร์ช เพื่อกำหนดทิศทางและราคาการขายด้วยกัน เพื่อไม่ให้มีการตัดราคาค่าโฆษณากันเอง จากนั้นเมื่อหักค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ๆ แล้ว ทั้งค่าลิขสิทธิ์ ค่าผลิตรายการ ก็จะแบ่งรายได้กัน
ส่วนโมเดลเดิมอย่างไทม์แชร์ริ่งมีข้อเสีย บางครั้งฝั่งผู้ผลิตก็ขายเวลาโฆษณาไม่หมดก็ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตเองทั้งหมด และบางครั้งก็มีเรื่องการตัดราคาขายแข่งกัน จนกระทบกับรายได้ ผู้ผลิตก็ขายโฆษณายาก
ช่อง 3 จึงต้องปรับตัว หันมาหาวิธีขายใหม่ๆ และเน้นการขายเชิงรุกมากขึ้น จากเดิมที่เอเจนซี่วิ่งเข้าหา แต่ต่อไปฝ่ายขายต้องหาลูกค้ามากขึ้น และหากโมเดลแบ่งรายได้ใช้ ได้ผล ก็นำไปใช้กับรายการอื่น ๆ และผู้ผลิตรายอื่นๆ ต่อไป
ส่งออกละคร –เดินหน้าบริหารศิลปิน ปั๊มรายได้
นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางหารายได้ จากเดิมที่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง คือ การส่งละครไปขายต่างประเทศ และการบริหารศิลปินในสังกัด
ช่อง 3 มีคลังละครจำนวนหลายร้อยเรื่อง ยังไม่เคยขายลิขสิทธ์ที่ต่างประเทศเลย ภายในปีหน้าช่อง 3 จะลุยขายคอนเทนท์ของช่องในตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเริ่มในเอเชียก่อน
แต่ละปีช่อง 3 จะผลิตละครปีละหลายสิบเรื่อง บางปีสูงถึง 50 เรื่อง เพราะพฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนไป ไม่นิยมดูละครเรื่องเดียวนาน ๆ หลายเดือน ปัจจุบันละครแต่ละเรื่องจะใช้ออนแอร์ไม่เกิน 2 เดือนครึ่ง ขณะที่เวลาออนแอร์ในแต่ละวันกลับต้องนานขึ้น เพื่อดันเรตติ้งสูงไว้ให้นานที่สุด เพราะมีผลต่อการพยุงเรตติ้งทั้งช่อง ส่งผลให้ละคร จะใช้เวลาออนแอร์มากกว่า 2 ชั่วโมง
ต้นทุนการจ้างผลิตละครเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยค่าผลิตตอนละประมาณ 1-3 ล้านบาท จำนวนกว่า 20 ตอน ซึ่งที่ผ่านมาช่อง 3 เพียงแค่นำเอามารีรัน ทั้งในช่อง 3 family, 3SD และ 3HD ก็ยังไม่คุ้มการลงทุนในยุคนี้ จึงต้องหารายได้เพิ่ม จากการส่งละครไปขายในต่างประเทศ เหมือนอย่างที่ค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ทำสำเร็จมาแล้ว
ดึง รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ร่วมทีม
. ช่อง 3 ได้ดึง มืออาชีพจากภายนอก “รณพงศ์ คำนวณทิพย์” อดีตผู้จัดการทั่วไป ของยูนิเวอร์แซล มิวสิค ไทยแลนด์ ที่มีประสบการณ์เรื่องบริหารลิขสิทธิ์อุตสาหกรรมเพลง และวงการบันเทิง มารับตำแหน่งใหญ่ดูแลด้านการขายลิขสิทธิ์รายการต่างๆ ของช่อง 3 ในต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการรับหน้าที่บริหารศิลปินของช่องเพื่อต่อยอดหารายได้ใหม่ๆ
ส่วนการบริหารศิลปิน นักแสดงช่อง 3 ที่มีอยู่ กว่า 100 คน หลายคนเข้ามาตั้งแต่เรียนการแสดงกับช่อง 3 เมื่อทำสัญญากับช่องแล้ว จะได้รับเงินเดือน จาก10 ปีที่แล้ว ได้เดือนละ 20,000 บาท ปัจจุบันประมาณ 30,000 บาท เพื่อเข้าระบบรับสวัสดิการของบริษัท ส่วนค่าจ้างแล้วแต่งาน เช่นออกงานอีเวนท์ เป็นพรีเซนเตอร์ ที่ปกติช่องจะไม่ได้เข้าไปบริหารการรับจ้างของศิลปิน
โดยหลังเข้ามาร่วมงานแล้ว รณพงศ์ หรือ รอนจะเข้ามาจัดการระบบบริหารศิลปิน และรายได้ที่จะเกิดขึ้นจากนักแสดงเหล่านั้น โดยจะไม่ให้ผลกระทบกับรายได้ที่เคยได้รับ แต่จะเป็นการสร้างรายได้ใหม่ ต่อยอดขึ้นจากเดิม ด้วยการบริหารงานอย่างมีระบบมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น การขายเป็นแพคเกจให้กับสินค้าและบริการ การไทร์อินในละคร รวมถึงการนำ ดารา นักแสดงช่อง 3 ไปเป็นพรีเซนเตอร์ที่เชื่อมโยงกับละครที่จะออนแอร์ ก็จะมีการคุยเรื่องรายได้สำหรับนักแสดงเพิ่มขึ้น และช่องก็ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ปัจจุบันช่อง 3 มีพนักงาน ประมาณ 2,000 คน ประมาณ 40% มีอายุเกิน 60 ปี ไม่มีระบบการเกษียณอายุ จากนี้ยังเตรียมตั้งทีมครีเอทีฟ เพื่อพัฒนาและเสนอรูปแบบงานและรายการใหม่ จากที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นรูปแบบที่มีผู้จัดผู้ผลิตรายการเข้ามาเสนอทำรายการ
หากย้อนไปดู รายได้ และกำไร 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าในปี 2557 ที่ช่อง 3 ประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 3 ช่อง รายได้และกำไรเริ่มลดลง เมื่อเทียบกับปี 2556 ขณะที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีวีดิจิทัลอีกประมาณ 20 ช่องต่างโหมกำลังชิงเรตติ้ง และเม็ดเงินโฆษณา จนปี 2559 รายได้ร่วงจากปี 2558 กว่า 3,000 ล้านบาท และกำไรเพียง 1,218 ล้านบาท หายไปกว่าเท่าตัว ขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2560 ผ่านไป สามารถทำกำไรเพียงแค่ 362 ล้านบาท
ราคาหุ้น BEC ก็ร่วงสะท้อนผลประกอบการ จากปี 2556 อยู่หุ้นละ 50.50 บาท แต่ ณ วันที่ 10 พ.ย.2560 ร่วงไปอยู่ที่ 16.50 บาท ขณะที่คู่แข่งที่ตามมาติดๆ จัดเต็มประชิดชิงฐานผู้ชมช่อง 3 ชัด ๆ อย่างเวิร์คพอยท์ เรียกได้ว่าอยู่ในขาขึ้น สะท้อนทั้งผลประกอบการราคาหุ้น เช่นเดียวกับช่อง 8 อาร์เอส ที่ช่วงแรกพยายามเบียดช่อง 7 แต่ช่วงหลังคิดใหม่ ของร่วงวงชิงช่อง 3 จนสามารถดันรายได้ขึ้นมา จนราคาหุ้นสดใสไม่แพ้กัน
ธุรกิจทีวี ที่มีฐานผู้ชมเป็นเป้าหมาย มีเรตติ้งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จซึ่งนำมาซึ่งเม็ดเงินโฆษณา เกมธุรกิจนี้ จึงอยู่ที่ว่า ใครรู้ทันอนาคต เพื่อสร้างสรรค์รายการให้โดน และหากไม่ปรับตัว ความสำเร็จที่ผ่านมา ก็อาจกลายเป็นเพียงอดีตให้เล่าขานเท่านั้น.


ที่มา : https://positioningmag.com/1146490
ช่อง 3 ดิ้นหนีวิกฤต พลิกโมเดลแบ่งรายได้-ส่งออกละคร-บริหารศิลปิน
ยังคงเป็นช่วงท้าทาย ช่อง 3 ที่ต้องปรับตัวอย่างหนัก หลังเผชิญกับวิกฤติ รายได้ลดลง จากคู่แข่งทีวีดิจิทัลที่เข้ามาแย่งชิงเค้กโฆษณา และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปรับสื่อหลากหลาย จนต้องปรับโครงสร้างการบริหารด้วยการดึงคนนอกเข้ามาร่วมบริหารมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ล่าสุดช่อง 3 ได้ รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ร่วมทีม เพื่อผลักดันรายได้จากการส่งออกละคร และเพิ่มโมเดลแบ่งรายได้ผู้ผลิตแบบใหม่ Revenue sharing มาใช้ แก้ปัญหาตัดราคา ผลักดันทีมขายเปิดเกมรุกหาลูกค้า
นำโมเดลแบ่งรายได้ผู้ผลิตรายการ
ช่อง 3 ได้ เพิ่มโมเดลการแบ่งรายได้โฆษณากับผู้ผลิตรายการ ในรูปแบบของ Revenue sharing หรือ การร่วมกันขายโฆษณาและนำรายได้มาแบ่งกัน โดยจะเริ่มใช้กับรายการใหม่ ๆ ก่อน
จากเดิมนั้น รูปแบบการแบ่งรายได้กับผู้ผลิตจากเดิมจะมี 3 โมเดล คือ เช่าเวลาจัดรายการ เช่น การแข่งขันร้องเพลง 2. การจ้างผลิต เช่น ละคร และ3. แบ่งเวลาขายโฆษณา (Time sharing) เช่น เกมส์โชว์
โมเดล Revenue sharing จะนำร่องใช้กับ “รายการเกมโชว์ใหม่” ที่บริษัทเซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซื้อลิขสิทธิ์มาผลิต มีการลงทุนสูงเฉลี่ยตอนละ 1 ล้านบาท โดยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นรายการรับความนิยม มาช่วยเติมรายการวาไรตี้เกมโชว์ให้กับช่อง 3 ซึ่งยังขาดอยู่ได้
ที่นำร่องใช้กับเซิร์ชก่อน เพราะเซิร์ซ ซึ่งนำโดยวิบูลย์ ลีรัตนขจร และ จอนนี แอนโฟเน 2 ผู้ก่อตั้ง เป็นผู้ขับเคลื่อนร่วมเดินหน้ากับช่อง 3 ในรูปแบบการแบ่งรายได้ใหม่นี้ เป็นพันธมิตรกับช่อง 3 มานาน และไม่เคยไปผลิตรายการให้ช่องอื่น
โดยจะมีการเปลี่ยนระบบการขายเวลาโฆษณา ทีมโฆษณาของช่อง 3 กว่า 20 คน จะทำงานร่วมกับทีมโฆษณาของเซิร์ช เพื่อกำหนดทิศทางและราคาการขายด้วยกัน เพื่อไม่ให้มีการตัดราคาค่าโฆษณากันเอง จากนั้นเมื่อหักค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ๆ แล้ว ทั้งค่าลิขสิทธิ์ ค่าผลิตรายการ ก็จะแบ่งรายได้กัน
ส่วนโมเดลเดิมอย่างไทม์แชร์ริ่งมีข้อเสีย บางครั้งฝั่งผู้ผลิตก็ขายเวลาโฆษณาไม่หมดก็ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตเองทั้งหมด และบางครั้งก็มีเรื่องการตัดราคาขายแข่งกัน จนกระทบกับรายได้ ผู้ผลิตก็ขายโฆษณายาก
ช่อง 3 จึงต้องปรับตัว หันมาหาวิธีขายใหม่ๆ และเน้นการขายเชิงรุกมากขึ้น จากเดิมที่เอเจนซี่วิ่งเข้าหา แต่ต่อไปฝ่ายขายต้องหาลูกค้ามากขึ้น และหากโมเดลแบ่งรายได้ใช้ ได้ผล ก็นำไปใช้กับรายการอื่น ๆ และผู้ผลิตรายอื่นๆ ต่อไป
ส่งออกละคร –เดินหน้าบริหารศิลปิน ปั๊มรายได้
นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางหารายได้ จากเดิมที่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง คือ การส่งละครไปขายต่างประเทศ และการบริหารศิลปินในสังกัด
ช่อง 3 มีคลังละครจำนวนหลายร้อยเรื่อง ยังไม่เคยขายลิขสิทธ์ที่ต่างประเทศเลย ภายในปีหน้าช่อง 3 จะลุยขายคอนเทนท์ของช่องในตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเริ่มในเอเชียก่อน
แต่ละปีช่อง 3 จะผลิตละครปีละหลายสิบเรื่อง บางปีสูงถึง 50 เรื่อง เพราะพฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนไป ไม่นิยมดูละครเรื่องเดียวนาน ๆ หลายเดือน ปัจจุบันละครแต่ละเรื่องจะใช้ออนแอร์ไม่เกิน 2 เดือนครึ่ง ขณะที่เวลาออนแอร์ในแต่ละวันกลับต้องนานขึ้น เพื่อดันเรตติ้งสูงไว้ให้นานที่สุด เพราะมีผลต่อการพยุงเรตติ้งทั้งช่อง ส่งผลให้ละคร จะใช้เวลาออนแอร์มากกว่า 2 ชั่วโมง
ต้นทุนการจ้างผลิตละครเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยค่าผลิตตอนละประมาณ 1-3 ล้านบาท จำนวนกว่า 20 ตอน ซึ่งที่ผ่านมาช่อง 3 เพียงแค่นำเอามารีรัน ทั้งในช่อง 3 family, 3SD และ 3HD ก็ยังไม่คุ้มการลงทุนในยุคนี้ จึงต้องหารายได้เพิ่ม จากการส่งละครไปขายในต่างประเทศ เหมือนอย่างที่ค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ทำสำเร็จมาแล้ว
ดึง รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ร่วมทีม
ส่วนการบริหารศิลปิน นักแสดงช่อง 3 ที่มีอยู่ กว่า 100 คน หลายคนเข้ามาตั้งแต่เรียนการแสดงกับช่อง 3 เมื่อทำสัญญากับช่องแล้ว จะได้รับเงินเดือน จาก10 ปีที่แล้ว ได้เดือนละ 20,000 บาท ปัจจุบันประมาณ 30,000 บาท เพื่อเข้าระบบรับสวัสดิการของบริษัท ส่วนค่าจ้างแล้วแต่งาน เช่นออกงานอีเวนท์ เป็นพรีเซนเตอร์ ที่ปกติช่องจะไม่ได้เข้าไปบริหารการรับจ้างของศิลปิน
โดยหลังเข้ามาร่วมงานแล้ว รณพงศ์ หรือ รอนจะเข้ามาจัดการระบบบริหารศิลปิน และรายได้ที่จะเกิดขึ้นจากนักแสดงเหล่านั้น โดยจะไม่ให้ผลกระทบกับรายได้ที่เคยได้รับ แต่จะเป็นการสร้างรายได้ใหม่ ต่อยอดขึ้นจากเดิม ด้วยการบริหารงานอย่างมีระบบมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น การขายเป็นแพคเกจให้กับสินค้าและบริการ การไทร์อินในละคร รวมถึงการนำ ดารา นักแสดงช่อง 3 ไปเป็นพรีเซนเตอร์ที่เชื่อมโยงกับละครที่จะออนแอร์ ก็จะมีการคุยเรื่องรายได้สำหรับนักแสดงเพิ่มขึ้น และช่องก็ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ปัจจุบันช่อง 3 มีพนักงาน ประมาณ 2,000 คน ประมาณ 40% มีอายุเกิน 60 ปี ไม่มีระบบการเกษียณอายุ จากนี้ยังเตรียมตั้งทีมครีเอทีฟ เพื่อพัฒนาและเสนอรูปแบบงานและรายการใหม่ จากที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นรูปแบบที่มีผู้จัดผู้ผลิตรายการเข้ามาเสนอทำรายการ
หากย้อนไปดู รายได้ และกำไร 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าในปี 2557 ที่ช่อง 3 ประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 3 ช่อง รายได้และกำไรเริ่มลดลง เมื่อเทียบกับปี 2556 ขณะที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีวีดิจิทัลอีกประมาณ 20 ช่องต่างโหมกำลังชิงเรตติ้ง และเม็ดเงินโฆษณา จนปี 2559 รายได้ร่วงจากปี 2558 กว่า 3,000 ล้านบาท และกำไรเพียง 1,218 ล้านบาท หายไปกว่าเท่าตัว ขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2560 ผ่านไป สามารถทำกำไรเพียงแค่ 362 ล้านบาท
ราคาหุ้น BEC ก็ร่วงสะท้อนผลประกอบการ จากปี 2556 อยู่หุ้นละ 50.50 บาท แต่ ณ วันที่ 10 พ.ย.2560 ร่วงไปอยู่ที่ 16.50 บาท ขณะที่คู่แข่งที่ตามมาติดๆ จัดเต็มประชิดชิงฐานผู้ชมช่อง 3 ชัด ๆ อย่างเวิร์คพอยท์ เรียกได้ว่าอยู่ในขาขึ้น สะท้อนทั้งผลประกอบการราคาหุ้น เช่นเดียวกับช่อง 8 อาร์เอส ที่ช่วงแรกพยายามเบียดช่อง 7 แต่ช่วงหลังคิดใหม่ ของร่วงวงชิงช่อง 3 จนสามารถดันรายได้ขึ้นมา จนราคาหุ้นสดใสไม่แพ้กัน
ธุรกิจทีวี ที่มีฐานผู้ชมเป็นเป้าหมาย มีเรตติ้งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จซึ่งนำมาซึ่งเม็ดเงินโฆษณา เกมธุรกิจนี้ จึงอยู่ที่ว่า ใครรู้ทันอนาคต เพื่อสร้างสรรค์รายการให้โดน และหากไม่ปรับตัว ความสำเร็จที่ผ่านมา ก็อาจกลายเป็นเพียงอดีตให้เล่าขานเท่านั้น.
ที่มา : https://positioningmag.com/1146490