เป็นที่น่าจับตาไม่น้อยกรณีการออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ "เฮียฮ้อ" สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ต่อโมเดลใหม่ในการทำธุรกิจทางด้านดนตรีของค่ายอาร์เอสที่มีบทสรุปว่านับจากนี้ไปหากศิลปินคนไหนต้องการจะออกงานเพลงจะต้องเสียเงินลงทุนร่วมกับทางค่ายก่อน
"ธุรกิจเพลงปีนี้เป็นปีแรกที่เราใช้โมเดลใหม่นะครับ เราใช้คำว่า Music Marketing ครับ ก็น่าจะเป็นโมเดลที่ทำให้ธุรกิจเพลงปีนี้กลับมาคึกคัก มีผลงานออกมากขึ้น แล้วก็มีการเติบโตสูงขึ้นครับ"
"ผมคิดว่าเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครใช้จริงๆ จังๆ ก็เป็นการร่วมลงทุนระหว่างค่ายเพลงกับศิลปินครับ การสร้างดาราใหม่หรือนักร้องใหม่ก็เป็นเรื่องปกติที่เราทำประจำอยู่แล้ว ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ธุรกิจเพลงมีผลงานออกมามากในรอบ 5 ปีนะครับ และผลประกอบการก็น่าจะดีขึ้น"
โดยเจ้าตัวยังได้ให้เหตุผลถึงที่มาของโมเดลการทำธุรกิจที่เรียกว่า Music Marketing ด้วยว่าเป็นเพราะ..."เรามองว่านี่คือธุรกิจของนักร้อง เพราะฉะนั้นตอนนี้นักร้องถ้าจะทำเพลงก็ต้องวางแผนธุรกิจตัวเอง แล้วก็ลงทุนในฟากของการทำเพลง ส่วนของบริษัทก็จะลงทุนในช่วงของแพลตฟอร์ม"
"เรื่องมาร์เก็ตติ้ง เรื่องงานขายต่างๆ ครับ สัดส่วนในการลงทุนของบริษัทมากกว่าอยู่แล้วครับ ศิลปินคนหนึ่งก็ลงทุนไม่มากเท่าไหร่..." (ที่มา (ชมคลิป) “เฮียฮ้อ” ไม่ยอมตาย ทุ่ม 700 ล้าน ดันช่อง 8 ผงาดท็อปไฟว์ ผุดโมเดลธุรกิจเพลงใหม่ อยากเป็นนักร้องก็ต้องจ่ายด้วย)
จากบทสัมภาษณ์ที่ว่า เมื่อทีมข่าวได้สอบถามไปยังแหล่งข่าวในค่ายอาร์เอสก็ได้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติ่มว่า ณ ปัจจุบัน นอกจาก 3 ศิลปินค่ายอาร์สยาม อย่าง จ๊ะ นงผณี มหาดไทย, ใบเตย สุธีวัน ทวีสิน และ กระแต นิภาพร บุญยะเลี้ยง แล้ว ถ้าศิลปินคนอื่นๆ ต้องการจะมีผลงานเพลงออกมาจะต้องจ่ายเงินให้กับทางค่าย 100% เพื่อแลกกับการโปรโมตประชาสัมพันธ์ผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ทางค่ายมีอยู่ในมือ
ขณะที่เรื่องของการแบ่งรายได้นั้นจะมีการแบ่งกันที่ศิลปิน 75% และค่ายได้ไป 25% แต่ที่น่าสนใจก็คือเรื่องของลิขสิทธิ์เพลงที่แหล่งข่าวเผยว่าทางค่ายจะเป็นผู้ถือครองนั่นเอง
ต้องยอมรับว่าโมเดลธุรกิจทาด้านเสียงเพลงที่ประธานกรรมการบริหารบริษัท อาร์เอส ฯ ใช้คำว่า Music Marketing นี้เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะหากย้อนกลับไป การที่นักร้องสักคนอยากจะมีค่ายสังกัด ส่วนใหญ่ก็เพราะต้องการ "ทุน" ในการที่จะมาส่งเสริมให้ตัวเองได้ทำความฝันให้เป็นจริงนั่นเอง
ที่สำคัญ ที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่าเรื่องของงานเพลง งานดนตรี มันเป็น "ศิลปะ" แขนงหนึ่งซึ่งคนที่ผลิตงานชิ้นนั้นขึ้นมาส่วนใหญ่หาได้เอาเรื่องของเงินทองมาเป็นข้อแม้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์แต่อย่างใด
"ก่อนจะไปเรื่องที่ว่าโมเดลธุรกิจนี้มันดีหรือไม่ดีอย่างไร เราต้องกลับไปดูก่อนว่าเมื่อก่อนค่ายเพลงเค้าทำธุรกิจกันแบบไหน..." "สุทธิพงษ์ วัฒนจัง" หรือ "ชมพู ฟรุตตี้" อดีตนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ของอาร์เอสฯ ย้อนถึงรูปแบบในการทำธุรกิจทางด้านเสียงเพลงของค่ายเพลงต่างๆ ในบ้านเรา
"ตอนที่โครงสร้างของงธุรกิจเพลงยังเป็นแบบเดิม ก็คือค่ายจะเป็นผู้ที่แบกความรับผิดชอบไว้ทั้งหมด ลงทุนสร้างงาน พัฒนาให้ศิลปิน ต้องจ้างคนเพื่อจะดูแล ไหนจะต้องไปแบกเรื่องมีเดีย เช่น ซื้อเวลาทีวี วิทยุ เน็ตเวิร์คโซเชียล คือเรียกได้ว่ามีการลงทุน 100%"
อ่านต่อที่
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9600000014317
รอดไม่รอด? มองโมเดลใหม่ "อาร์เอส" : นักร้องอยากออกเพลง จ่ายเงินมา
"ธุรกิจเพลงปีนี้เป็นปีแรกที่เราใช้โมเดลใหม่นะครับ เราใช้คำว่า Music Marketing ครับ ก็น่าจะเป็นโมเดลที่ทำให้ธุรกิจเพลงปีนี้กลับมาคึกคัก มีผลงานออกมากขึ้น แล้วก็มีการเติบโตสูงขึ้นครับ"
"ผมคิดว่าเป็นโมเดลใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครใช้จริงๆ จังๆ ก็เป็นการร่วมลงทุนระหว่างค่ายเพลงกับศิลปินครับ การสร้างดาราใหม่หรือนักร้องใหม่ก็เป็นเรื่องปกติที่เราทำประจำอยู่แล้ว ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ธุรกิจเพลงมีผลงานออกมามากในรอบ 5 ปีนะครับ และผลประกอบการก็น่าจะดีขึ้น"
โดยเจ้าตัวยังได้ให้เหตุผลถึงที่มาของโมเดลการทำธุรกิจที่เรียกว่า Music Marketing ด้วยว่าเป็นเพราะ..."เรามองว่านี่คือธุรกิจของนักร้อง เพราะฉะนั้นตอนนี้นักร้องถ้าจะทำเพลงก็ต้องวางแผนธุรกิจตัวเอง แล้วก็ลงทุนในฟากของการทำเพลง ส่วนของบริษัทก็จะลงทุนในช่วงของแพลตฟอร์ม"
"เรื่องมาร์เก็ตติ้ง เรื่องงานขายต่างๆ ครับ สัดส่วนในการลงทุนของบริษัทมากกว่าอยู่แล้วครับ ศิลปินคนหนึ่งก็ลงทุนไม่มากเท่าไหร่..." (ที่มา (ชมคลิป) “เฮียฮ้อ” ไม่ยอมตาย ทุ่ม 700 ล้าน ดันช่อง 8 ผงาดท็อปไฟว์ ผุดโมเดลธุรกิจเพลงใหม่ อยากเป็นนักร้องก็ต้องจ่ายด้วย)
จากบทสัมภาษณ์ที่ว่า เมื่อทีมข่าวได้สอบถามไปยังแหล่งข่าวในค่ายอาร์เอสก็ได้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติ่มว่า ณ ปัจจุบัน นอกจาก 3 ศิลปินค่ายอาร์สยาม อย่าง จ๊ะ นงผณี มหาดไทย, ใบเตย สุธีวัน ทวีสิน และ กระแต นิภาพร บุญยะเลี้ยง แล้ว ถ้าศิลปินคนอื่นๆ ต้องการจะมีผลงานเพลงออกมาจะต้องจ่ายเงินให้กับทางค่าย 100% เพื่อแลกกับการโปรโมตประชาสัมพันธ์ผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ทางค่ายมีอยู่ในมือ
ขณะที่เรื่องของการแบ่งรายได้นั้นจะมีการแบ่งกันที่ศิลปิน 75% และค่ายได้ไป 25% แต่ที่น่าสนใจก็คือเรื่องของลิขสิทธิ์เพลงที่แหล่งข่าวเผยว่าทางค่ายจะเป็นผู้ถือครองนั่นเอง
ต้องยอมรับว่าโมเดลธุรกิจทาด้านเสียงเพลงที่ประธานกรรมการบริหารบริษัท อาร์เอส ฯ ใช้คำว่า Music Marketing นี้เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะหากย้อนกลับไป การที่นักร้องสักคนอยากจะมีค่ายสังกัด ส่วนใหญ่ก็เพราะต้องการ "ทุน" ในการที่จะมาส่งเสริมให้ตัวเองได้ทำความฝันให้เป็นจริงนั่นเอง
ที่สำคัญ ที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่าเรื่องของงานเพลง งานดนตรี มันเป็น "ศิลปะ" แขนงหนึ่งซึ่งคนที่ผลิตงานชิ้นนั้นขึ้นมาส่วนใหญ่หาได้เอาเรื่องของเงินทองมาเป็นข้อแม้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์แต่อย่างใด
"ก่อนจะไปเรื่องที่ว่าโมเดลธุรกิจนี้มันดีหรือไม่ดีอย่างไร เราต้องกลับไปดูก่อนว่าเมื่อก่อนค่ายเพลงเค้าทำธุรกิจกันแบบไหน..." "สุทธิพงษ์ วัฒนจัง" หรือ "ชมพู ฟรุตตี้" อดีตนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ของอาร์เอสฯ ย้อนถึงรูปแบบในการทำธุรกิจทางด้านเสียงเพลงของค่ายเพลงต่างๆ ในบ้านเรา
"ตอนที่โครงสร้างของงธุรกิจเพลงยังเป็นแบบเดิม ก็คือค่ายจะเป็นผู้ที่แบกความรับผิดชอบไว้ทั้งหมด ลงทุนสร้างงาน พัฒนาให้ศิลปิน ต้องจ้างคนเพื่อจะดูแล ไหนจะต้องไปแบกเรื่องมีเดีย เช่น ซื้อเวลาทีวี วิทยุ เน็ตเวิร์คโซเชียล คือเรียกได้ว่ามีการลงทุน 100%"
อ่านต่อที่
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9600000014317