เป็นสมาชิกพันทิปมาก็หลายปีอยู่ ส่วนใหญ่สิงอยู่ห้องศุภฯ ไม่ค่อยได้ล็อกอินตอบ ชอบซุ่มอ่านเป็นหลัก 555+
วันนี้ อยากแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์ visa usa แบบท่องเที่ยว (B2) ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนสมาชิกและคนอื่นๆ
เพราะก่อนเราไปสัมภาษณ์ เราก็หาข้อมูลจากเพื่อน ๆ สมาชิกในนี้เหมือนกัน ถือเป็นแนวทางให้คนที่จะสัมภาษณ์ visa ต่อไปละกันเนาะ
ไม่มีรูปนะ ขอเป็นการเล่าบรรยายละกัน เพราะข้อมูลที่เป็นรูปอื่น ๆ เพื่อนสมาชิกหลายคนทำออกมาดูดี และน่าจะดีกว่าเราทำ ^^
ก่อนอื่นเลยขอบคุณ คุณChouxcream and Eclair จากกระทู้
https://pantip.com/topic/36472565 สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังจะขอ visa
แนะนำให้เข้าไปอ่านกระทู้นี้ก่อนเลย ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร กรอก ds-160 อย่างไร (อย่าไปจ้าง agency เลย มันแพง กรอกเองไม่ยาก)
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า
เรามีกำหนดจะไปท่องเที่ยว usa zone west ปลายปี กลับมาต้นปีหน้า รวมแล้วประมาณ 20 กว่าวัน โดยแพลนลางานและ
ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้า(โปรฯมาแรง เราก็จองแบบใจเร็ว 555+) คิดแผนดิบดีว่าจะไปไหนบ้าง แต่........ ยังไม่ได้ขอ visa
เห็นร่ำลือกันมาถึงความโหดหินของการขอ visa usa และการสัมภาษณ์และเตรียมเอกสาร เราเลยเริ่มจาก
(ขั้นตอนผิดพลาดช่วงไหนขออภัยจ้า)
1. กรอก ds-160 แบบระมัดระวัง (ตามตัวอย่างลิ้งข้างบน) โดยที่เราทำแบบบันทึกไว้ในระบบแล้วมาอัพโหลดรูปวันหลัง
2. ไปถ่ายรูป เราเลือกถ่ายที่สยาม ร้านตรงข้ามศูนย์หนังสือจุฬา เราถ่ายเย็นรับวันรุ่งขึ้น มีไร้ท์ใส่ CD ให้เรียบร้อย แค่แจ้ง พนง.
ว่าถ่ายรูปขอ visa usa
3. นำไฟล์รูปใน cd ไปอัพโหลดในแอพของ ds-160 แล้วกรอกข้อมูลต่อจนเสร็จ มันจะได้หน้ายืนยันที่เป็นรูปเรา ตรงนี้ ให้ปริ๊นมาเก็บไว้
4. เข้าไปที่
http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-appointmentschedule.asp เพื่อสมัคร account ในการนัดสัมภาษณ์ visa
กรอกข้อมูลจาก ds-160 พร้อมที่อยู่การจัดส่ง visa หลังจากนั้น จะให้เลือกชำระเงิน เราเลือกแบบชำระที่เค้าเตอร์ ธ.กรุงศรีฯ
(B2 = 5,600 บาท/คน)
5. มานัดวันสัมฯ ผ่านหน้าเว็บ เราเลือกรอบ 07.00 ที่เป็นเช้าที่สุด หลังจากนั้นก็รอ ร้อ รอ
ระหว่างรอ ร้อ ร้อ เราทั้งคู่ก็เตรียมเอกสาร
1. รูปถ่าย ทั้งสองคน (จากร้านเดิมนั่นเอง) พร้อมทั้งใบยืนยัน ds-160 และใบยืนยันนัดสัมภาษณ์
2. เอกสารรับรองจากต้นสังกัด ของเรารับราชการ แฟนทำงานบริษัท
3. statement จากธนาคาร (เราไม่ได้ทำ bank guarantee นะ)
4. ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
5. แผนการท่องเที่ยว (ของเราคร่าว ๆ มาก โรงแรมยังไม่ได้จอง เพราะเพื่อนที่เป็นคนอเมริกันจะจองให้ถ้า visa เราผ่าน)
เราเตรียมไปแค่นี้ เพราะคิดว่าน่าจะเพียงพอ ก็เราจะไปเที่ยวจริง ๆ นี่นา ท่านกงสุลน่าจะเห็นความจริงใจ (ทำตาปริบๆ) และด้วยความที่เพื่อนเรารับราชการในตำแหน่งเดียวกัน ก็สัมภาษณ์ ผ่านแบบฉลุย ก็เลยไม่ค่อยกังวล (แต่ตื่นเต้นมาก 55+)
และแล้ว ก็มาถึงวันสัมฯ จริง
เรานั่ง BTS ไปลง เพลินจิต เดินเข้าไปทางถนนวิทยุ ประมาณ 6-700 เมตร ก็ถึงหน้าสถานทูตฯ usa เวลาประมาณ 06.30 มี จนท.
มาคอยตรวจเอกสารพร้อมทั้งจัดคิว แฟนเรามีกระเป๋าเป้ใบเล็ก ๆ ต้องนำไปฝากที่ร้านรับฝากของ (100 นึงแน่ะ) โทรศัพท์ เข้าได้
คนละเครื่อง (เข้าไปก็ต้องปิดฝากอยู่ดี) เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว จะมีจุดตรวจ รปภ. ให้ฝากโทรศัพท์ พร้อมทั้งได้สายรัดข้อมือมาแทน
ออกประตูไป เจอทางลาดซ้ายมือ พร้อมกับเก้าอี้นั่งรอหลายแถว มีช่องเหมือนเค้าเตอร์ 2 ช่อง เราก็นั่งรอ จนเค้าประกาศ ผู้ที่มีนัดสัมภาษณ์รอบ 7 โมง เราก็เข้าไป เค้าก็ตรวจเอกสารอีกครั้ง จนท. จะรวมเอกสารใส่ซอง ติด tag แล้วให้เราเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ก่อนขึ้น จะมีให้อ่านป้าย พร้อมทั้งจดหมายเลข EMS ของแต่ละคนเอาไว้ (อย่าลืม !!! แล้วเราจะมาบอกว่าสำคัญอย่างไร)
เข้าไปข้างใน เวลาประมาณ 07.10 จะไปที่ช่องตรวจเอกสารและสอบถามเบื้องต้น (จนท.เป็นคนไทย) ก็ถามคำถามว่าไปทำอะไร กับใคร แล้วให้เราสแกนลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว พร้อมกับให้ไปรอสัมฯ กับทาง กงสุล usa เราก็ไปยืนรออีกช่อง ยืนรอเป็นคนที่ 7 แฟนเราคนที่ 8
เวลา 07.30 โดยประมาณ ช่องสัมภาษณ์เปิดออก เริ่มแรก 1 ช่อง คนสัมฯ เป็นผู้ชาย เค้าก็เรียกคนแรกเข้าไป สักครู่ ช่องข้าง ๆ ก็เปิดออก เป็นผู้หญิงรอสัมภาษณ์ ตอนแรกเราชิลล์ ๆ แต่ด้วยความที่เสียงลำโพงค่อนข้างดัง ทำให้เราได้ยินการสัมภาษณ์จากทั้งสองช่อง สรุปคือ ใน 6 คนแรก ...........VISA คุณไม่ผ่านทั้งสิ้น 5 คน ผ่านแค่คนเดียว !!!! เราก็

แล้ว ไม่ผ่านนี่เงินที่สูญหายไปหมื่นกว่าบาท ตั๋ว-เครื่องบินก็ซื้อแล้ว เกิดความประหม่าและเครียดมาในทันที พอเค้าเรียกเราเข้าไป ก็เริ่มเลย (บทสนทนาคร่าว ๆ เท่าที่จำได้ เราแทนตัวว่า ช และแฟนเราว่า ญ นะ)
จนท: สวัสดีครับ
ช: สวัสดีครับ
จนท: ไปอเมริกาทำไมครับ
ช: เที่ยวครับ
จนท: ไปกับใครครับ
ช: ภรรยาครับ
จนท: มาด้วยไหม (เราพยักหน้า) ให้มาที่นี่เลยครับ
- ระหว่างสัมภาษณ์ จนท. จะอ่านประวัติที่เรากรอก app ผ่านหน้าจอ ไปด้วยนะครับ ฉะนั้น กรอกอะไรไว้ จำให้ได้น้า
หลังจากมาครบแพ็คคู่ จนท. ถามคำถามไทยบ้าง อังกฤษบ้าง เราขอสรุปเป็นไทยนะครับ
จนท: เคยไปต่างประเทศด้วยกันไหมครับ
ช-ญ: ไม่เคยครับ/ค่ะ
จนท: มี passport เล่มเก่าไหม
ช: หายครับ ตอนย้ายที่ทำงาน (ผมระบุเหตุผลที่หายไว้ใน ds-160 แล้ว)
ญ: มีค่ะ (ยื่นให้ จนท.รับไปดู)
จนท: รู้จักใครที่อเมริกาไหม
ช: มีครับ ชื่อ Mr. XX XXXX (จนท. ถามต่อเป็นอะไรกัน เราตอบ เป็นเพื่อน เคยมาเที่ยวเมืองไทย และ จนท. ก็ถามคำถามเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวเพื่อนเรา)
และแล้วก็มาถึงตอนสำคัญ
จนท: แต่งงานกันมานานหรือยังครับ
ช: จะครบ 2 ปี ในเดือนมีนาคมปีหน้าครับ
จนท: (หันไปถาม ญ ) วันที่เท่าไหร่
ญ: xx มีนาคม ปีที่แล้ว
จนท: แต่งงานมากี่ปีแล้ว
ญ: ปี กว่า ๆ ค่ะ
จนท: ไหนสามีคุณบอกว่าแต่งมา 2 ปีแล้ว
- ผมเลยคิดในใจ เฮ้ย ไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้าที่ว่า กำลังจะครบ 2 ปี แน่ ๆ -
ช: 1 ปี กับ 7 เดือน ครับ
จนท: (หันมาถาม ช) วันที่ เท่าไหร่
ช: xx มีนาคม 2016 ครับ
จนท: (หันไปถาม ญ ซ้ำ) แต่งงานกันวันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
ญ: xx มีนาคม ปีที่แล้ว
จนท: 2015 ?
ญ: ไม่ ปีที่แล้ว (มารู้ทีหลัง แฟนเราก็สับสนเรื่องการเปลี่ยนจาก พ.ศ. เป็น ค.ศ. เหมือนกัน กลัวพลาด 5555+)
- ยิ่งถามจี้ซ้ำไปซ้ำมาเรายิ่งตื่นเต้น ลนลาน ตอบตะกุกตะกัก อารมณ์กลัวไม่ผ่านเข้ามาผสม -
จนท: (ชี้มาที่เราทั้งคู่) You look strange (สื่อว่าคุณสองคนดูไม่เหมือนสามีภรรยากันจริง)
ญ: ชี้มาที่ ช แล้วบอกว่า he nervous
จนท: คุณไม่น่าจะประหม่ากับเรื่องนี้นะ
หลังจากนั้น จนท. หันกลับไปปรึกษา จนท. อีกคนที่เป็นผู้หญิง ที่ยืนข้างหลังทุกเค้าเตอร์ (น่าจะเป็นหัวหน้า) แล้วเราเห็นว่าเค้าพยักหน้า
จนท: คุณ ญ วางมือลงบนเครื่องครับ (เครื่องสแกนลายนิ้วมือ) ,คุณ ช ครับ แล้วเค้าก็เก็บpassport เราสองคนรวมกับเอกสารที่ใส่ในซอง พร้อมกับแจ้งเป็นภาษาไทยว่า visa คุณผ่านแล้วนะครับ จะได้รับทางไปรษณีย์
- ขณะที่เราถอนหายใจอย่างโล่งอก เตรียมดีใจนั้น มีเสียงทิ้งท้ายตามมาว่า "your wedding date must be in your brain" เราก็ได้แต่ยิ้ม
และอยากจะตอบกลับไปว่า "ถ้าผมไม่ได้ visa เพราะเหตุผลนี้ คงโดนฆาตกรรมจากภรรยาแน่นอน 5555+"
หลังจากผ่านแล้วก็เดินออกมาคืนสายรัดข้อมือ รับโทรศัพท์คืน ไปเอากระเป๋าที่ฝาก แล้วแยกย้ายกันไปทำงาน เสร็จตอนเวลา 08.15 น.
***เกร็ดระหว่างสัมภาษณ์***
- จนท. ถามแค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ใช้เวลาสัมภาษณ์เร็วมาก แทบไม่ถามคำถามเกี่ยวกับ ช ที่เป็นข้าราชการเลย เอกสารอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ ไม่ดูสักอย่างแผนการเดินทาง ไฟล์ทบิน ไม่ถามถึงเลย ยกเว้น passport เก่าของ ญ เอกสารทางการเงินก็ไม่ดู หนังสือรับรองก็ไม่ดู รวมเวลาจน visa ผ่านไม่ถึง 5 นาที
- จนท. สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี พูดจาไพเราะ อาจดูเข้มงวดบ้าง แต่โดยรวม การบริการของสถานทูต usa ถือว่าดี (แหงล่ะ หัวละ 5,600 นี่นา

)
- ถ้าคิดว่าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้กะจะโดด visa อย่าตื่นเต้น (แบบเรา) เพราะเค้าสังเกตบุคลิกภายนอก (อาจจะมากกว่าเอกสารที่เตรียมมาด้วยซ้ำ)
ป.ล. สุดท้ายที่บอกว่าเลข EMS สำคัญอย่างไร เพราะว่า ไปรษณีย์ของเราไปส่งผิดบ้าน !!! ทั้ง ๆ ที่จ่าหน้าชัดเจน ป้าที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันต้องเดินเอาใบรับสีขาว ๆ ที่ต้องไปรับเองจากไปรษณีย์มาให้ ระบุว่ามาส่งแล้ว แต่ไม่มีคนรับ เรารู้นี่แบบ .... #%$(@*^$ คือเอกสารมันสำคัญ ทั้ง visa ทั้ง passportโทรไปแจ้งไปรษณีย์สาขาก็ไม่มีคนรับ เบอร์ที่ระบุในใบรับ โทรไปบอกยังไม่เปิดใช้บริการ
(อ้าว เฮ้ย แบบนี้ก็ได้หรอ) มีเบอร์หัวหน้าฝ่ายส่งหนังสือ โทรไปก็ไม่รับ เราก็ช่างหัวพี่ชายของอามัน ขอให้เจริญนะพ่อนะหน่วยงานนี้
ความผิดพลาดเรายอมรับได้ แต่การติดต่อและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเราว่ามันไม่โอเค เรารู้แล้วล่ะว่าต้องไปรับเองแน่ ๆ แต่อยากแจ้ง
ให้รู้ว่า อย่าทำพลาดแบบนี้อีก มันเดือดร้อนนนนน เข้าาาา จายยยย ม้ายยยยย
- จบแล้วจ้า หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้รับประโยชน์จากกระทู้นี้กันบ้างนะ - Good luck - Go to USA ยะฮู้วววววววววว
Review: สัมภาษณ์ visa usa แบบแพ็คคู่ ผ่านแบบหายใจไม่ทั่วท้อง
วันนี้ อยากแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์ visa usa แบบท่องเที่ยว (B2) ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนสมาชิกและคนอื่นๆ
เพราะก่อนเราไปสัมภาษณ์ เราก็หาข้อมูลจากเพื่อน ๆ สมาชิกในนี้เหมือนกัน ถือเป็นแนวทางให้คนที่จะสัมภาษณ์ visa ต่อไปละกันเนาะ
ไม่มีรูปนะ ขอเป็นการเล่าบรรยายละกัน เพราะข้อมูลที่เป็นรูปอื่น ๆ เพื่อนสมาชิกหลายคนทำออกมาดูดี และน่าจะดีกว่าเราทำ ^^
ก่อนอื่นเลยขอบคุณ คุณChouxcream and Eclair จากกระทู้ https://pantip.com/topic/36472565 สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังจะขอ visa
แนะนำให้เข้าไปอ่านกระทู้นี้ก่อนเลย ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร กรอก ds-160 อย่างไร (อย่าไปจ้าง agency เลย มันแพง กรอกเองไม่ยาก)
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า
เรามีกำหนดจะไปท่องเที่ยว usa zone west ปลายปี กลับมาต้นปีหน้า รวมแล้วประมาณ 20 กว่าวัน โดยแพลนลางานและ
ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้า(โปรฯมาแรง เราก็จองแบบใจเร็ว 555+) คิดแผนดิบดีว่าจะไปไหนบ้าง แต่........ ยังไม่ได้ขอ visa
เห็นร่ำลือกันมาถึงความโหดหินของการขอ visa usa และการสัมภาษณ์และเตรียมเอกสาร เราเลยเริ่มจาก
(ขั้นตอนผิดพลาดช่วงไหนขออภัยจ้า)
1. กรอก ds-160 แบบระมัดระวัง (ตามตัวอย่างลิ้งข้างบน) โดยที่เราทำแบบบันทึกไว้ในระบบแล้วมาอัพโหลดรูปวันหลัง
2. ไปถ่ายรูป เราเลือกถ่ายที่สยาม ร้านตรงข้ามศูนย์หนังสือจุฬา เราถ่ายเย็นรับวันรุ่งขึ้น มีไร้ท์ใส่ CD ให้เรียบร้อย แค่แจ้ง พนง.
ว่าถ่ายรูปขอ visa usa
3. นำไฟล์รูปใน cd ไปอัพโหลดในแอพของ ds-160 แล้วกรอกข้อมูลต่อจนเสร็จ มันจะได้หน้ายืนยันที่เป็นรูปเรา ตรงนี้ ให้ปริ๊นมาเก็บไว้
4. เข้าไปที่ http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-appointmentschedule.asp เพื่อสมัคร account ในการนัดสัมภาษณ์ visa
กรอกข้อมูลจาก ds-160 พร้อมที่อยู่การจัดส่ง visa หลังจากนั้น จะให้เลือกชำระเงิน เราเลือกแบบชำระที่เค้าเตอร์ ธ.กรุงศรีฯ
(B2 = 5,600 บาท/คน)
5. มานัดวันสัมฯ ผ่านหน้าเว็บ เราเลือกรอบ 07.00 ที่เป็นเช้าที่สุด หลังจากนั้นก็รอ ร้อ รอ
ระหว่างรอ ร้อ ร้อ เราทั้งคู่ก็เตรียมเอกสาร
1. รูปถ่าย ทั้งสองคน (จากร้านเดิมนั่นเอง) พร้อมทั้งใบยืนยัน ds-160 และใบยืนยันนัดสัมภาษณ์
2. เอกสารรับรองจากต้นสังกัด ของเรารับราชการ แฟนทำงานบริษัท
3. statement จากธนาคาร (เราไม่ได้ทำ bank guarantee นะ)
4. ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
5. แผนการท่องเที่ยว (ของเราคร่าว ๆ มาก โรงแรมยังไม่ได้จอง เพราะเพื่อนที่เป็นคนอเมริกันจะจองให้ถ้า visa เราผ่าน)
เราเตรียมไปแค่นี้ เพราะคิดว่าน่าจะเพียงพอ ก็เราจะไปเที่ยวจริง ๆ นี่นา ท่านกงสุลน่าจะเห็นความจริงใจ (ทำตาปริบๆ) และด้วยความที่เพื่อนเรารับราชการในตำแหน่งเดียวกัน ก็สัมภาษณ์ ผ่านแบบฉลุย ก็เลยไม่ค่อยกังวล (แต่ตื่นเต้นมาก 55+)
และแล้ว ก็มาถึงวันสัมฯ จริง
เรานั่ง BTS ไปลง เพลินจิต เดินเข้าไปทางถนนวิทยุ ประมาณ 6-700 เมตร ก็ถึงหน้าสถานทูตฯ usa เวลาประมาณ 06.30 มี จนท.
มาคอยตรวจเอกสารพร้อมทั้งจัดคิว แฟนเรามีกระเป๋าเป้ใบเล็ก ๆ ต้องนำไปฝากที่ร้านรับฝากของ (100 นึงแน่ะ) โทรศัพท์ เข้าได้
คนละเครื่อง (เข้าไปก็ต้องปิดฝากอยู่ดี) เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว จะมีจุดตรวจ รปภ. ให้ฝากโทรศัพท์ พร้อมทั้งได้สายรัดข้อมือมาแทน
ออกประตูไป เจอทางลาดซ้ายมือ พร้อมกับเก้าอี้นั่งรอหลายแถว มีช่องเหมือนเค้าเตอร์ 2 ช่อง เราก็นั่งรอ จนเค้าประกาศ ผู้ที่มีนัดสัมภาษณ์รอบ 7 โมง เราก็เข้าไป เค้าก็ตรวจเอกสารอีกครั้ง จนท. จะรวมเอกสารใส่ซอง ติด tag แล้วให้เราเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ก่อนขึ้น จะมีให้อ่านป้าย พร้อมทั้งจดหมายเลข EMS ของแต่ละคนเอาไว้ (อย่าลืม !!! แล้วเราจะมาบอกว่าสำคัญอย่างไร)
เข้าไปข้างใน เวลาประมาณ 07.10 จะไปที่ช่องตรวจเอกสารและสอบถามเบื้องต้น (จนท.เป็นคนไทย) ก็ถามคำถามว่าไปทำอะไร กับใคร แล้วให้เราสแกนลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว พร้อมกับให้ไปรอสัมฯ กับทาง กงสุล usa เราก็ไปยืนรออีกช่อง ยืนรอเป็นคนที่ 7 แฟนเราคนที่ 8
เวลา 07.30 โดยประมาณ ช่องสัมภาษณ์เปิดออก เริ่มแรก 1 ช่อง คนสัมฯ เป็นผู้ชาย เค้าก็เรียกคนแรกเข้าไป สักครู่ ช่องข้าง ๆ ก็เปิดออก เป็นผู้หญิงรอสัมภาษณ์ ตอนแรกเราชิลล์ ๆ แต่ด้วยความที่เสียงลำโพงค่อนข้างดัง ทำให้เราได้ยินการสัมภาษณ์จากทั้งสองช่อง สรุปคือ ใน 6 คนแรก ...........VISA คุณไม่ผ่านทั้งสิ้น 5 คน ผ่านแค่คนเดียว !!!! เราก็
จนท: สวัสดีครับ
ช: สวัสดีครับ
จนท: ไปอเมริกาทำไมครับ
ช: เที่ยวครับ
จนท: ไปกับใครครับ
ช: ภรรยาครับ
จนท: มาด้วยไหม (เราพยักหน้า) ให้มาที่นี่เลยครับ
- ระหว่างสัมภาษณ์ จนท. จะอ่านประวัติที่เรากรอก app ผ่านหน้าจอ ไปด้วยนะครับ ฉะนั้น กรอกอะไรไว้ จำให้ได้น้า
หลังจากมาครบแพ็คคู่ จนท. ถามคำถามไทยบ้าง อังกฤษบ้าง เราขอสรุปเป็นไทยนะครับ
จนท: เคยไปต่างประเทศด้วยกันไหมครับ
ช-ญ: ไม่เคยครับ/ค่ะ
จนท: มี passport เล่มเก่าไหม
ช: หายครับ ตอนย้ายที่ทำงาน (ผมระบุเหตุผลที่หายไว้ใน ds-160 แล้ว)
ญ: มีค่ะ (ยื่นให้ จนท.รับไปดู)
จนท: รู้จักใครที่อเมริกาไหม
ช: มีครับ ชื่อ Mr. XX XXXX (จนท. ถามต่อเป็นอะไรกัน เราตอบ เป็นเพื่อน เคยมาเที่ยวเมืองไทย และ จนท. ก็ถามคำถามเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวเพื่อนเรา)
และแล้วก็มาถึงตอนสำคัญ
จนท: แต่งงานกันมานานหรือยังครับ
ช: จะครบ 2 ปี ในเดือนมีนาคมปีหน้าครับ
จนท: (หันไปถาม ญ ) วันที่เท่าไหร่
ญ: xx มีนาคม ปีที่แล้ว
จนท: แต่งงานมากี่ปีแล้ว
ญ: ปี กว่า ๆ ค่ะ
จนท: ไหนสามีคุณบอกว่าแต่งมา 2 ปีแล้ว
- ผมเลยคิดในใจ เฮ้ย ไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้าที่ว่า กำลังจะครบ 2 ปี แน่ ๆ -
ช: 1 ปี กับ 7 เดือน ครับ
จนท: (หันมาถาม ช) วันที่ เท่าไหร่
ช: xx มีนาคม 2016 ครับ
จนท: (หันไปถาม ญ ซ้ำ) แต่งงานกันวันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
ญ: xx มีนาคม ปีที่แล้ว
จนท: 2015 ?
ญ: ไม่ ปีที่แล้ว (มารู้ทีหลัง แฟนเราก็สับสนเรื่องการเปลี่ยนจาก พ.ศ. เป็น ค.ศ. เหมือนกัน กลัวพลาด 5555+)
- ยิ่งถามจี้ซ้ำไปซ้ำมาเรายิ่งตื่นเต้น ลนลาน ตอบตะกุกตะกัก อารมณ์กลัวไม่ผ่านเข้ามาผสม -
จนท: (ชี้มาที่เราทั้งคู่) You look strange (สื่อว่าคุณสองคนดูไม่เหมือนสามีภรรยากันจริง)
ญ: ชี้มาที่ ช แล้วบอกว่า he nervous
จนท: คุณไม่น่าจะประหม่ากับเรื่องนี้นะ
หลังจากนั้น จนท. หันกลับไปปรึกษา จนท. อีกคนที่เป็นผู้หญิง ที่ยืนข้างหลังทุกเค้าเตอร์ (น่าจะเป็นหัวหน้า) แล้วเราเห็นว่าเค้าพยักหน้า
จนท: คุณ ญ วางมือลงบนเครื่องครับ (เครื่องสแกนลายนิ้วมือ) ,คุณ ช ครับ แล้วเค้าก็เก็บpassport เราสองคนรวมกับเอกสารที่ใส่ในซอง พร้อมกับแจ้งเป็นภาษาไทยว่า visa คุณผ่านแล้วนะครับ จะได้รับทางไปรษณีย์
- ขณะที่เราถอนหายใจอย่างโล่งอก เตรียมดีใจนั้น มีเสียงทิ้งท้ายตามมาว่า "your wedding date must be in your brain" เราก็ได้แต่ยิ้ม
และอยากจะตอบกลับไปว่า "ถ้าผมไม่ได้ visa เพราะเหตุผลนี้ คงโดนฆาตกรรมจากภรรยาแน่นอน 5555+"
หลังจากผ่านแล้วก็เดินออกมาคืนสายรัดข้อมือ รับโทรศัพท์คืน ไปเอากระเป๋าที่ฝาก แล้วแยกย้ายกันไปทำงาน เสร็จตอนเวลา 08.15 น.
***เกร็ดระหว่างสัมภาษณ์***
- จนท. ถามแค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ใช้เวลาสัมภาษณ์เร็วมาก แทบไม่ถามคำถามเกี่ยวกับ ช ที่เป็นข้าราชการเลย เอกสารอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ ไม่ดูสักอย่างแผนการเดินทาง ไฟล์ทบิน ไม่ถามถึงเลย ยกเว้น passport เก่าของ ญ เอกสารทางการเงินก็ไม่ดู หนังสือรับรองก็ไม่ดู รวมเวลาจน visa ผ่านไม่ถึง 5 นาที
- จนท. สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี พูดจาไพเราะ อาจดูเข้มงวดบ้าง แต่โดยรวม การบริการของสถานทูต usa ถือว่าดี (แหงล่ะ หัวละ 5,600 นี่นา
- ถ้าคิดว่าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้กะจะโดด visa อย่าตื่นเต้น (แบบเรา) เพราะเค้าสังเกตบุคลิกภายนอก (อาจจะมากกว่าเอกสารที่เตรียมมาด้วยซ้ำ)
ป.ล. สุดท้ายที่บอกว่าเลข EMS สำคัญอย่างไร เพราะว่า ไปรษณีย์ของเราไปส่งผิดบ้าน !!! ทั้ง ๆ ที่จ่าหน้าชัดเจน ป้าที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันต้องเดินเอาใบรับสีขาว ๆ ที่ต้องไปรับเองจากไปรษณีย์มาให้ ระบุว่ามาส่งแล้ว แต่ไม่มีคนรับ เรารู้นี่แบบ .... #%$(@*^$ คือเอกสารมันสำคัญ ทั้ง visa ทั้ง passportโทรไปแจ้งไปรษณีย์สาขาก็ไม่มีคนรับ เบอร์ที่ระบุในใบรับ โทรไปบอกยังไม่เปิดใช้บริการ
(อ้าว เฮ้ย แบบนี้ก็ได้หรอ) มีเบอร์หัวหน้าฝ่ายส่งหนังสือ โทรไปก็ไม่รับ เราก็ช่างหัวพี่ชายของอามัน ขอให้เจริญนะพ่อนะหน่วยงานนี้
ความผิดพลาดเรายอมรับได้ แต่การติดต่อและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเราว่ามันไม่โอเค เรารู้แล้วล่ะว่าต้องไปรับเองแน่ ๆ แต่อยากแจ้ง
ให้รู้ว่า อย่าทำพลาดแบบนี้อีก มันเดือดร้อนนนนน เข้าาาา จายยยย ม้ายยยยย
- จบแล้วจ้า หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้รับประโยชน์จากกระทู้นี้กันบ้างนะ - Good luck - Go to USA ยะฮู้วววววววววว