ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
----------------------
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๘. ฐานสูตร
ว่าด้วยฐานะที่ใครๆ ไม่พึงได้
[๔๘] ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ
๑- ๕ ประการนี้ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร
พรหม หรือใครๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้
ฐานะ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. ขอสิ่งที่มี
ความแก่เป็นธรรมดา
๒- อย่าแก่
๒. ขอสิ่งที่มี
ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บไข้
๓. ขอสิ่งที่มี
ความตายเป็นธรรมดา อย่าตาย
๔. ขอสิ่งที่มี
ความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าสิ้นไป
๕. ขอสิ่งที่มี
ความฉิขหายเป็นธรรมดา อย่าฉิขหาย
สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมแก่ไป
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป
แท้จริง สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
และการอุบัติ ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย
นี้เรียกว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว
ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมตายไป ...
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...
สิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมฉิขหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิขหายไป
แท้จริง สิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
การอุบัติ ก็ฉิขหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย
นี้เรียกว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว
ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน
เชิงอรรถ :
๑ ฐานะ ในที่นี้หมายถึงเหตุ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๔๘/๒๖)
๒ ธรรมดา ในที่นี้หมายถึงสภาวธรรมที่เกิดเอง คำนี้มุ่งแสดงกฎแห่งเหตุผล (องฺ.ทสก.อ. ๓/๒/๓๑๘)
ส่วนสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของ
อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไป
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป
แท้จริง สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
การอุบัติ ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว อริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก
ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่า อริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตน
นั่นเองให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมตายไป ...
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...
สิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมฉิขหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาฉิขหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิขหายไป
แท้จริง สิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
การอุบัติ ก็ฉิขหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นย่อม ไม่เศร้าโศก
ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตน
นั่นเองให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร
พรหม หรือใครๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้
ประโยชน์
๑- แม้เล็กน้อยในโลกนี้
ใครๆ ย่อมไม่ได้ด้วยความเศร้าโศก
ย่อมไม่ได้ด้วยความคร่ำครวญ
พวกศัตรูทราบว่า เขาเศร้าโศก เป็นทุกข์
ย่อมดีใจ
แต่ในกาลใด บัณฑิตฉลาดในการวินิจฉัยเหตุผล
ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย
ในกาลนั้น พวกศัตรูเห็นหน้าซึ่งไม่ผิดปกติ
ของบัณฑิตนั้น ผู้ยังยิ้มแย้มตามเคย
ย่อมเป็นทุกข์
บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยวิธีใดๆ
คือด้วยการสรรเสริญ ด้วยการร่ายมนตร์
ด้วยการกล่าวคำสุภาษิต ด้วยการให้
หรือด้วยการอ้างประเพณี
ก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ ด้วยวิธีนั้นๆ
ถ้าทราบว่า ‘ประโยชน์นี้ เราหรือคนอื่นไม่พึงได้’
เธอผู้ไม่เศร้าโศก ควรอดทนโดยพิจารณาว่า
‘เราได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นแล้ว
บัดนี้ เราจะทำอย่างไร’
เชิงอรรถ :
๑ ประโยชน์ ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่มีความแก่เป็นต้นกลับกลายเป็นสภาวะที่ไม่แก่
(องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๔๘/๒๖)
ฐานะเหล่านี้เกิดขึ้นทั้งแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้เรียนรู้ และแก่อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้
แต่ปุถุชนย่อมไม่พิจารณาเห็นสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ลุ่มหลง ยินดียินร้าย
ตรงกันข้าม กลับถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำจนเกิดทุกข์กายทุกข์ใจ
ส่วนอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่ลุ่มหลง ไม่ยินดียินร้าย เป็นผู้ปราศจากทุกข์
๛ ฐานะ ๕ ประการที่ใครๆ ไม่พึงได้ ๛
----------------------
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๘. ฐานสูตร
ว่าด้วยฐานะที่ใครๆ ไม่พึงได้
[๔๘] ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ๑- ๕ ประการนี้ อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร
พรหม หรือใครๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้
ฐานะ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา๒- อย่าแก่
๒. ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่าเจ็บไข้
๓. ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อย่าตาย
๔. ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา อย่าสิ้นไป
๕. ขอสิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดา อย่าฉิขหาย
สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมแก่ไป
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป
แท้จริง สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
และการอุบัติ ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย
นี้เรียกว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว
ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมตายไป ...
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...
สิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมฉิขหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว เขาไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิขหายไป
แท้จริง สิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
การอุบัติ ก็ฉิขหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย
นี้เรียกว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงแล้ว
ย่อมทำตนนั่นเองให้เดือดร้อน
๑ ฐานะ ในที่นี้หมายถึงเหตุ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๔๘/๒๖)
๒ ธรรมดา ในที่นี้หมายถึงสภาวธรรมที่เกิดเอง คำนี้มุ่งแสดงกฎแห่งเหตุผล (องฺ.ทสก.อ. ๓/๒/๓๑๘)
ส่วนสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไป
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่แก่ไป
แท้จริง สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
การอุบัติ ก็แก่ไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว อริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก
ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่า อริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตน
นั่นเองให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...
สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมตายไป ...
สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...
สิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมฉิขหายไป
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาฉิขหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
‘ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาของเราคนเดียวเท่านั้นที่ฉิขหายไป
แท้จริง สิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป การจุติ
การอุบัติ ก็ฉิขหายไปทั้งสิ้น
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว ถ้าเราจะพึงเศร้าโศก ลำบาก
ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ หลงงมงาย อาหารเราก็จะไม่อยากรับประทาน กายก็จะเศร้าหมอง
การงานก็จะหยุดชะงัก พวกศัตรูก็จะดีใจ และพวกมิตรก็จะเสียใจ’
เมื่อสิ่งที่มีความฉิขหายไปเป็นธรรมดา ฉิขหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นย่อม ไม่เศร้าโศก
ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก ไม่คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศรคือความโศกที่มีพิษทิ่มแทงปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทำตน
นั่นเองให้เดือดร้อน อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง
ภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร
พรหม หรือใครๆ ในโลกนี้ไม่พึงได้
ประโยชน์๑- แม้เล็กน้อยในโลกนี้
ใครๆ ย่อมไม่ได้ด้วยความเศร้าโศก
ย่อมไม่ได้ด้วยความคร่ำครวญ
พวกศัตรูทราบว่า เขาเศร้าโศก เป็นทุกข์
ย่อมดีใจ
แต่ในกาลใด บัณฑิตฉลาดในการวินิจฉัยเหตุผล
ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย
ในกาลนั้น พวกศัตรูเห็นหน้าซึ่งไม่ผิดปกติ
ของบัณฑิตนั้น ผู้ยังยิ้มแย้มตามเคย
ย่อมเป็นทุกข์
บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยวิธีใดๆ
คือด้วยการสรรเสริญ ด้วยการร่ายมนตร์
ด้วยการกล่าวคำสุภาษิต ด้วยการให้
หรือด้วยการอ้างประเพณี
ก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ ด้วยวิธีนั้นๆ
ถ้าทราบว่า ‘ประโยชน์นี้ เราหรือคนอื่นไม่พึงได้’
เธอผู้ไม่เศร้าโศก ควรอดทนโดยพิจารณาว่า
‘เราได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นแล้ว
บัดนี้ เราจะทำอย่างไร’
๑ ประโยชน์ ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่มีความแก่เป็นต้นกลับกลายเป็นสภาวะที่ไม่แก่
(องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๔๘/๒๖)
เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๗๘-๘๑.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=22&A=2232
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=22&siri=48
อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับฉบับหลวง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1232&Z=1305&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=48
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย :-
[48] http://www.84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=22&item=48&items=1
[48] http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=22&A=48&Z=48
แต่ปุถุชนย่อมไม่พิจารณาเห็นสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ลุ่มหลง ยินดียินร้าย
ตรงกันข้าม กลับถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำจนเกิดทุกข์กายทุกข์ใจ
ส่วนอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่ลุ่มหลง ไม่ยินดียินร้าย เป็นผู้ปราศจากทุกข์