
“ประยุทธ์” เผยพอใจผลการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ ไทยก้าวกระโดด 20 อันดับ อยู่ที่อันดับ 26 เชื่อส่งผลความเชื่อมั่นนักธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม แจงพัฒนาในหลายด้าน ความสำเร็จเกิดจากการร่วมมือทุกฝ่าย รัฐหนุนให้ทำธุรกิจสะดวกรวดเร็วขึ้น พร้อมปรับปรุงบริการ
วันนี้ (1 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พอใจผลการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) ประจำปี 2018 ของธนาคารโลกเป็นอย่างมาก โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 เมื่อปีที่แล้วมาอยู่ที่อันดับ 26 ในปีนี้ ท่ามกลางบรรดาเขตเศรษฐกิจและประเทศทั่วโลกจำนวน 190 ประเทศ และอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอันดับของไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอันดับที่ 49 ในปี 2016 เป็นอันดับที่ 46 ในปี 2017 จนก้าวมาอยู่ในอันดับที่ 26 ในปี 2018 ห่างจากมาเลเซียเพียง 2 อันดับ และยังเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มีการปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจมากที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยมีคะแนนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 77.44 จากเดิม 72.53 คะแนน
สำหรับการพัฒนาที่โดดเด่นของไทยมีหลายด้าน เช่น การลดระยะเวลาการจัดตั้งธุรกิจและยกเลิกการประทับตราบริษัทในใบหุ้น การลดขั้นตอนการขอใช้ไฟฟ้า การใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ การออกกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจใหม่ การเพิ่มสิทธิผู้ลงทุนรายย่อยทำให้ฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น การสร้างความชัดเจนระหว่างความเป็นเจ้าของกับการกำกับควบคุมบริษัท การตรวจสอบภาษีโดยใช้โปรแกรมบริหารความเสี่ยง การลดภาษีการโอนทรัพย์สิน การใช้ระบบยื่นฟ้องและจ่ายค่าธรรมเนียมศาลผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ การแก้ไขปัญหาการล้มละลาย ฯลฯ
“นายกฯ กล่าวว่า ความสำเร็จในแต่ละปีนั้นเกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย โดยพบว่าส่วนราชการหลายแห่งปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานไปมาก และมีการพูดคุยกับภาคเอกชนมากขึ้นโดยเฉพาะบริษัทกฎหมายและบริษัทบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจโดยตรง ที่สำคัญคือรัฐบาลมีความจริงใจที่จะสนับสนุนให้การทำธุรกิจของภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็วและเป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น การปลดล็อกความยุ่งยากต่างๆ โดยใช้คำสั่งตาม ม.44 ในเบื้องต้น และจะออกกฎหมายปกติเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงการบริการอีกหลายเรื่อง เช่น กำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนธุรกิจเป็นอัตราคงที่ ลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ แก้ไขกฎหมายหลักประกันธุรกิจ ขยายฐานการชำระแบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานประกันสังคม และการพัฒนาระบบ E-filing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากร ฯลฯ
https://mgronline.com/politics/detail/9600000110479
ไทยพุ่ง 20 อันดับ ความยาก-ง่ายประกอบธุรกิจ ตั้งเป้าที่ 2 ในอาเซียน

ธนาคารโลกปรับอันดับความยาก-ง่ายประกอบธุรกิจ ไทยดีขึ้นจากอันดับที่ 46 สู่อันดับ 26 ไทยตั้งเป้าเป็นที่ 2 ในอาเซียน
ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยรายงาน Doing business 2018 ซึ่งเป็นการจัดลำดับความยาก-ง่ายในการทำธุรกิจ ระบุว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 26 จากทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้นถึง 20 อันดับจากปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่อับดับที่46 และเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 และมาเลเซียที่อยู่ในอันดับที่ 24 โดยมีคะแนนรวม 77.44 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีคะแนนรวม 72.53 คะแนน ซึ่งประเทศไทยจัดเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีการปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจมากที่สุดในปีที่ผ่านมา
ในรายงานฉบับนี้ธนาคารโลกระบุว่าประเทศไทยมีการพัฒนาที่โดดเด่นในเรื่องการลดระยะเวลาการจัดตั้งธุรกิจ, ยกเลิกการประทับตราบริษัทในใบหุ้น, ลดกระบวนการขอใช้ไฟฟ้า, ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์, ออกกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจใหม่, เพิ่มสิทธิผู้ลงทุนรายย่อยทำให้ฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น, สร้างความชัดเจนของโครงสร้างการบริหารระหว่างความเป็นเจ้าของกับการควบคุม กำกับบริษัท, ตรวจสอบภาษีโดยใช้โปรแกรมบริหารความเสี่ยงมาคัดเลือกบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง, ลดอัตราภาษีการโอนทรัพย์สิน การใช้ระบบยื่นฟ้องทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ จ่ายค่าธรรมเนียมศาลผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์, การแก้ไขปัญหาการล้มละลายได้ง่ายขึ้น
นายอูลริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลกประเทศไทย มาเลเซียและความร่วมมือในภูมิภาค กล่าวว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากจากการปฏิรูปการประกอบธุรกิจในปีที่ผ่านมา ปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 26 และสามารถไต่ขึ้นมาติดอยู่ในกลุ่ม 15 ประเทศที่ทำให้การประกอบธุรกิจง่ายขึ้น นับว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายสำคัญ การปรับปรุงที่สำคัญ คือ ประเทศไทยยกเลิกข้อบังคับที่ต้องมีตราประทับของบริษัท และยกเลิกขั้นตอนการขออนุมัติจากกรมแรงงานในการส่งกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท ดังนั้น การเริ่มต้นธุรกิจจึงใช้เวลาเพียง 4.5 วัน เมื่อเทียบกับ 27.5 วัน เมื่อปีก่อน
ส่วนประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ นิวซีแลนด์ อันดับ 2 สิงคโปร์ และอันดับ 3 คือ เดนมาร์ก
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายจะให้อันดับขึ้นมาเป็นที่ 2 ของอาเซียนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ( ปี 2560-2564) โดยปี 2561 รัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงบริการอีกหลายเรื่อง เช่น การกำหนดค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนธุรกิจเป็นอัตราคงที่ การลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับหลักประกันธุรกิจ การขยายฐานการชำระแบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานประกันสังคม และการพัฒนาระบบ E-filing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากร
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผลการจัดอันดับดีขึ้น 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ จากอันดับ 78 ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 36 ด้านการขอใช้ไฟฟ้า จากอันดับที่ 37 มาอยู่ที่อันดับ 13 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 82 มาอยู่ที่ 42 ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย จากอันดับ 27 มาเป็นอันดับที่ 16 ด้านการชำระภาษี จากอันดับที่ 109 มาอยู่อันดับที่ 67 ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง จากอันดับที่ 51 มาอยู่อันดับที่ 34
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9600000110438
ปรับดีขึ้น! ไทยขยับขึ้น 20 อันดับ ความยากง่ายแต่ละประเทศในการทำธุรกิจ

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ผลการจัดอันดับ ความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ Ease of doing Business ซึ่งจัดโดย World Bank ประจำปี 2018(2561) ไทยปรับอยู่ตัวดีขึ้น 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ในปี 2017 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2018 ด้วยคะแนน 72.53 คะแนน ดีขึ้น 77.44% ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับปรุงแก้ไขลดขั้นตอนการจนทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ จากเดิม 5 ขั้นตอน ใช้เวลา 25.5 วัน เหลือเพียง 3 ขั้นตอน ใช้เวลา 2 วัน และลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการจากเดิม 6,600 บาท เหลือเพียง 5,800 บาท ทำให้การจัดอันดับดีขึ้นจากอันดับ 78 เป็น 36
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-63584
ขยับอับดับดีขึ้นเรื่อยๆ...มีใครเห็นกันบ้างไหมน๊า
มัวต้มกบในมโนของตัวเอง ไม่เคยเหลือบมองว่าลุงตู่พาประเทศชาติเดินไปไหนแล้ว
มาลารินยินดีและชื่นชมในความสำเร็จด้วยค่ะ
~มาลาริน~** ลุงตู่คงหายเหนื่อยบ้างแล้วนะคะ..นายกฯ ปลื้มไทยอันดับพุ่ง จัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ ส่งผลดีเศรษฐกิจ
“ประยุทธ์” เผยพอใจผลการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ ไทยก้าวกระโดด 20 อันดับ อยู่ที่อันดับ 26 เชื่อส่งผลความเชื่อมั่นนักธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม แจงพัฒนาในหลายด้าน ความสำเร็จเกิดจากการร่วมมือทุกฝ่าย รัฐหนุนให้ทำธุรกิจสะดวกรวดเร็วขึ้น พร้อมปรับปรุงบริการ
วันนี้ (1 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พอใจผลการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) ประจำปี 2018 ของธนาคารโลกเป็นอย่างมาก โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 เมื่อปีที่แล้วมาอยู่ที่อันดับ 26 ในปีนี้ ท่ามกลางบรรดาเขตเศรษฐกิจและประเทศทั่วโลกจำนวน 190 ประเทศ และอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอันดับของไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอันดับที่ 49 ในปี 2016 เป็นอันดับที่ 46 ในปี 2017 จนก้าวมาอยู่ในอันดับที่ 26 ในปี 2018 ห่างจากมาเลเซียเพียง 2 อันดับ และยังเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มีการปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจมากที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยมีคะแนนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 77.44 จากเดิม 72.53 คะแนน
สำหรับการพัฒนาที่โดดเด่นของไทยมีหลายด้าน เช่น การลดระยะเวลาการจัดตั้งธุรกิจและยกเลิกการประทับตราบริษัทในใบหุ้น การลดขั้นตอนการขอใช้ไฟฟ้า การใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ การออกกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจใหม่ การเพิ่มสิทธิผู้ลงทุนรายย่อยทำให้ฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น การสร้างความชัดเจนระหว่างความเป็นเจ้าของกับการกำกับควบคุมบริษัท การตรวจสอบภาษีโดยใช้โปรแกรมบริหารความเสี่ยง การลดภาษีการโอนทรัพย์สิน การใช้ระบบยื่นฟ้องและจ่ายค่าธรรมเนียมศาลผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ การแก้ไขปัญหาการล้มละลาย ฯลฯ
“นายกฯ กล่าวว่า ความสำเร็จในแต่ละปีนั้นเกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย โดยพบว่าส่วนราชการหลายแห่งปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานไปมาก และมีการพูดคุยกับภาคเอกชนมากขึ้นโดยเฉพาะบริษัทกฎหมายและบริษัทบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจโดยตรง ที่สำคัญคือรัฐบาลมีความจริงใจที่จะสนับสนุนให้การทำธุรกิจของภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็วและเป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น การปลดล็อกความยุ่งยากต่างๆ โดยใช้คำสั่งตาม ม.44 ในเบื้องต้น และจะออกกฎหมายปกติเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงการบริการอีกหลายเรื่อง เช่น กำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนธุรกิจเป็นอัตราคงที่ ลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ แก้ไขกฎหมายหลักประกันธุรกิจ ขยายฐานการชำระแบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานประกันสังคม และการพัฒนาระบบ E-filing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากร ฯลฯ
https://mgronline.com/politics/detail/9600000110479
ไทยพุ่ง 20 อันดับ ความยาก-ง่ายประกอบธุรกิจ ตั้งเป้าที่ 2 ในอาเซียน
ธนาคารโลกปรับอันดับความยาก-ง่ายประกอบธุรกิจ ไทยดีขึ้นจากอันดับที่ 46 สู่อันดับ 26 ไทยตั้งเป้าเป็นที่ 2 ในอาเซียน
ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยรายงาน Doing business 2018 ซึ่งเป็นการจัดลำดับความยาก-ง่ายในการทำธุรกิจ ระบุว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 26 จากทั้งหมด 190 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้นถึง 20 อันดับจากปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่อับดับที่46 และเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 และมาเลเซียที่อยู่ในอันดับที่ 24 โดยมีคะแนนรวม 77.44 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีคะแนนรวม 72.53 คะแนน ซึ่งประเทศไทยจัดเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีการปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจมากที่สุดในปีที่ผ่านมา
ในรายงานฉบับนี้ธนาคารโลกระบุว่าประเทศไทยมีการพัฒนาที่โดดเด่นในเรื่องการลดระยะเวลาการจัดตั้งธุรกิจ, ยกเลิกการประทับตราบริษัทในใบหุ้น, ลดกระบวนการขอใช้ไฟฟ้า, ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์, ออกกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจใหม่, เพิ่มสิทธิผู้ลงทุนรายย่อยทำให้ฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น, สร้างความชัดเจนของโครงสร้างการบริหารระหว่างความเป็นเจ้าของกับการควบคุม กำกับบริษัท, ตรวจสอบภาษีโดยใช้โปรแกรมบริหารความเสี่ยงมาคัดเลือกบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง, ลดอัตราภาษีการโอนทรัพย์สิน การใช้ระบบยื่นฟ้องทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ จ่ายค่าธรรมเนียมศาลผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์, การแก้ไขปัญหาการล้มละลายได้ง่ายขึ้น
นายอูลริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลกประเทศไทย มาเลเซียและความร่วมมือในภูมิภาค กล่าวว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากจากการปฏิรูปการประกอบธุรกิจในปีที่ผ่านมา ปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 26 และสามารถไต่ขึ้นมาติดอยู่ในกลุ่ม 15 ประเทศที่ทำให้การประกอบธุรกิจง่ายขึ้น นับว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายสำคัญ การปรับปรุงที่สำคัญ คือ ประเทศไทยยกเลิกข้อบังคับที่ต้องมีตราประทับของบริษัท และยกเลิกขั้นตอนการขออนุมัติจากกรมแรงงานในการส่งกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท ดังนั้น การเริ่มต้นธุรกิจจึงใช้เวลาเพียง 4.5 วัน เมื่อเทียบกับ 27.5 วัน เมื่อปีก่อน
ส่วนประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ นิวซีแลนด์ อันดับ 2 สิงคโปร์ และอันดับ 3 คือ เดนมาร์ก
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายจะให้อันดับขึ้นมาเป็นที่ 2 ของอาเซียนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ( ปี 2560-2564) โดยปี 2561 รัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงบริการอีกหลายเรื่อง เช่น การกำหนดค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนธุรกิจเป็นอัตราคงที่ การลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับหลักประกันธุรกิจ การขยายฐานการชำระแบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานประกันสังคม และการพัฒนาระบบ E-filing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากร
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผลการจัดอันดับดีขึ้น 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ จากอันดับ 78 ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 36 ด้านการขอใช้ไฟฟ้า จากอันดับที่ 37 มาอยู่ที่อันดับ 13 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 82 มาอยู่ที่ 42 ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย จากอันดับ 27 มาเป็นอันดับที่ 16 ด้านการชำระภาษี จากอันดับที่ 109 มาอยู่อันดับที่ 67 ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง จากอันดับที่ 51 มาอยู่อันดับที่ 34
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9600000110438
ปรับดีขึ้น! ไทยขยับขึ้น 20 อันดับ ความยากง่ายแต่ละประเทศในการทำธุรกิจ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ผลการจัดอันดับ ความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ Ease of doing Business ซึ่งจัดโดย World Bank ประจำปี 2018(2561) ไทยปรับอยู่ตัวดีขึ้น 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ในปี 2017 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2018 ด้วยคะแนน 72.53 คะแนน ดีขึ้น 77.44% ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ปรับปรุงแก้ไขลดขั้นตอนการจนทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ จากเดิม 5 ขั้นตอน ใช้เวลา 25.5 วัน เหลือเพียง 3 ขั้นตอน ใช้เวลา 2 วัน และลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการจากเดิม 6,600 บาท เหลือเพียง 5,800 บาท ทำให้การจัดอันดับดีขึ้นจากอันดับ 78 เป็น 36
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-63584
ขยับอับดับดีขึ้นเรื่อยๆ...มีใครเห็นกันบ้างไหมน๊า
มัวต้มกบในมโนของตัวเอง ไม่เคยเหลือบมองว่าลุงตู่พาประเทศชาติเดินไปไหนแล้ว
มาลารินยินดีและชื่นชมในความสำเร็จด้วยค่ะ