คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ทางแห่งความดี : ความสำคัญของใจ
http://pantip.com/topic/30532106/comment26

วันนั้น พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยอันงามของมหาบาลแล้ว ทรงหลั่งพระธรรมเทศนามุ่งมหาบาลเป็นสำคัญ ทรงเทศนาอนุปุพพิกถา 5 คือ
1. ทานกถา ว่าด้วยการให้ทาน
2. สีลกถา ว่าด้วยการรักษาศีล
3. สัคคกถา ว่าด้วยความสุขในสวรรค์
4. กามาทีนวกถา ว่าด้วยโทษและความต่ำทรามของกาม
5. เนกขัมมานิสังสกถา ว่าด้วยอานิสงส์แห่งการหลีกออกจากกาม
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
http://abhidhamonline.org/aphi/p9/123.htm
ลำดับของบารมี
ตอนที่กล่าวถึงเนกขัมมบารมีอันเป็นลำดับที่ ๓ นั้นได้กล่าวว่าเนกขัมมบารมี เป็นหัวใจแห่งบารมี ๑๐ ทัส ก็น่าจะสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ยกหัวใจขึ้นมาแสดงก่อนเป็นลำดับแรก แต่แสดงทานบารมีและสีลบารมีก่อนเป็นลำดับที่ ๑ และ ๒ ที่เป็นเช่นนี้ ก็ด้วยเหตุว่า
บุคคลทั้งหลาย ย่อมมีความตระหนี่เป็นนิสสัยสันดานด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันแต่ว่ามีมากหรือน้อย การสร้างบารมีต้องทำลายความตระหนี่ให้ลดลงเสียก่อนดังนั้นจึงได้ทรงยกเอาทาน เป็นปฐมบารมี
-------------------------------------------------
พันธนาคารชาดก
เรือนจำที่แท้จริง
http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt225.php
เรือนจำ (เครื่องผูก) ที่แท้จริงของมนุษย์คือ ลูกภรรยา สามี และทรัพย์สินศฤงคาร

แด่สมณะ......ผู้เพียรละกิเลส
http://larndham.org/index.php?/topic/17560-%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA/
พระสงฆ์ คือ ผู้ที่กำลังเดินทาง เดินทางเพื่อละกิเลส พระจะต้อง ละ ออกจากความอาย หน่าย จากความมี
ละออกจากความอาย เช่น โกนหัว โกนคิ้ว ( สังเกตได้จากทิดที่สึกใหม่ ต้องใส่หมวก ก็เพราะความอาย แต่ผู้ที่เป็นพระต้องละจากความอาย )
หน่ายจากความมี คือ เป็นพระจะต้องไม่มีสมบัติพัสถาน แม้แต่เสื้อผ้า เมื่อเป็นฆารวาสมีมากมายหลายชิ้น แต่เมื่อเป็นพระก็ต้องละให้หมด จะมีไว้ใช้เพียงแค่ ๓ ชิ้นเท่านั้น คือ สบง จีวร และสังฆาฏิ
ผ้าทั้งสามผืน ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยื่นให้ไปไว้ในปฐพี เป็นผ้าที่พาชีวิตหนีไปจากภัยมืดทั้ง ๓ คือ ภัยอันเกิดจาก อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ฉะนั้น พระจะต้องครองผ้าเพียง ๓ ผืนเท่านั้นเพื่อจะได้ระลึกถึงว่า “ ใครผู้ใดไม่ประจักษ์ไตรลักษณ์ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นทุกข์ “ และการที่จะประจักษ์แจ้งในสิ่งเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อมีจุดเริ่มต้นจากการสอนใจตนเองโดยที่ทุกครั้งที่จะมีการครองผ้าไตรจีวรนี้ ให้ระลึกนึกเพื่อเตือนสติตนเองว่า
“ หยุดนะ....เราจะหยุดกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด....เราจะมีแต่ศีล สมาธิ และปัญญา “
ความรู้ทั้งหมดนี้ หลวงพ่อท่านเพียรพยายามปลูกฝังให้กับพระที่มาบวช โดยเฉพาะพระที่จะเป็น “พระพี่เลี้ยง “ หรือ “ พระคู่สวด “ ควรมีความรู้เหล่านี้เพื่อถ่ายทอดให้แก่พระที่มาบวชใหม่ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระที่ท่านบวชไปนั้นก็มีอันต้องสึกออกไป ส่วนพระที่มีอยู่นั้น เวลาของการบวชก็ไม่เอื้ออำนวยให้ เพราะในเทศกาลก่อนการเข้าพรรษาจะมีผู้ที่มาบวชมากมาย
หลวงพ่อเล่าว่า สมัยก่อนวันหนึ่งท่านจะบวชให้เพียงรูปเดียวเพื่อที่จะมีเวลาให้อารมณ์แก่พระใหม่ได้อย่างเต็มที่ เริ่มตั้งแต่การมาขอบวช ท่านจะพูดคุยทั้งพ่อแม่ และผู้ที่จะบวชว่า
“ ท่านไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านสิ้นสุดจากการมีตระกูล ยกตระกูลของตนเองออกจากความรู้สึก “
และเมื่อผู้ที่มาขอบวชยกผ้าไตรจีวรที่อยู่บนพานขึ้นมา ท่านจะบอกให้เขาทำความรู้สึกว่า
“ ขณะนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ตระกูลโคตรมะ “
เพราะท่านถือหลักว่า การเป็นพระ ต้องเป็นผู้ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน ขณะที่เป็นพระ ต้องไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ.....
พระจะต้องมี พระพุทธเจ้า เป็นพ่อ
พระจะต้องมี พระธรรม เป็นนาย
พระจะต้องมี พระวินัย เป็นกรอบ
และพระจะต้องมี กิจเพื่อเดินทางสู่ความพ้นทุกข์....เท่านั้น
เมื่อท่านรับผ้าไตรจีวรนั้นและนำออกมา ท่านจะอธิบายให้แก่ผู้ที่มาบวชใหม่ทราบถึงความหมาย ที่มา และการใช้ผ้าสามผืน ตลอดจนความนึกคิดที่ควรจะกระทำ
ในวันบวช....พระพี่เลี้ยงจะต้องเป็นผู้ให้อารมณ์ โดยเริ่มจากพาพ่อนาคไปหลังพระประธานเพราะ “ คนหลังพระ “ คือคนที่ไม่รู้ธรรมะ เพื่อเป็นเคล็ดว่า ไปเพื่อทิ้งชีวิตที่ไม่รู้เรื่อง อันเป็นชีวิตทางโลกออกไป
จากนั้นพระพี่เลี้ยงจะถามว่า “ ท่านพร้อมที่จะออกจากตระกูลเก่าหรือไม่ “
เมื่อพ่อนาคตอบรับ พระพี่เลี้ยงทั้งสองก็จะนำผ้าเหลือง (สบง) มากางออก โดยจับไว้คนละมุมและยืนหันหลังชนกับพ่อนาค พร้อมกล่าวว่า
“ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ขอถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในการช่วยดำรงจากคน ให้เป็นพระ ทางเพื่อละกิเลส “
ผมวางแผนไว้ว่าเมื่อถึงวันที่พ่อและแม่ ของผม ท่านสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้แล้ว และผมได้จบภาระทางโลก ผมจะไปบวชครับ นั่นคือผมต้องละทางโลก ไม่มีตัวตน ไม่ยึดติดว่า นั้นคือพ่อ คือแม่ คือตัวตนของเราใช่ไหมครับ? ตัดขาดจากทางโลกไปเลยใช่ไหมครับ ?
สาธุครับ จขกท ที่จะสร้างบารมี ที่ทำได้ยากที่สุด คือเนกขัมมบารมี
ผมว่าช่วงนี้ตั้งใจเรียน ทำทาน รักษาศีล ฝึกเจริญภาวนา ดูแลพ่อแม่ก่อน จบแล้วมีงานทำ อาจจะบวชตามประเพณีดูใจตัวเองก่อน
อนึ่ง อย่าพึ่งไปติดเรือนจำชีวิตที่แท้จริง ก่อนเสียล่ะ
http://pantip.com/topic/30532106/comment26

วันนั้น พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยอันงามของมหาบาลแล้ว ทรงหลั่งพระธรรมเทศนามุ่งมหาบาลเป็นสำคัญ ทรงเทศนาอนุปุพพิกถา 5 คือ
1. ทานกถา ว่าด้วยการให้ทาน
2. สีลกถา ว่าด้วยการรักษาศีล
3. สัคคกถา ว่าด้วยความสุขในสวรรค์
4. กามาทีนวกถา ว่าด้วยโทษและความต่ำทรามของกาม
5. เนกขัมมานิสังสกถา ว่าด้วยอานิสงส์แห่งการหลีกออกจากกาม
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
http://abhidhamonline.org/aphi/p9/123.htm
ลำดับของบารมี
ตอนที่กล่าวถึงเนกขัมมบารมีอันเป็นลำดับที่ ๓ นั้นได้กล่าวว่าเนกขัมมบารมี เป็นหัวใจแห่งบารมี ๑๐ ทัส ก็น่าจะสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ยกหัวใจขึ้นมาแสดงก่อนเป็นลำดับแรก แต่แสดงทานบารมีและสีลบารมีก่อนเป็นลำดับที่ ๑ และ ๒ ที่เป็นเช่นนี้ ก็ด้วยเหตุว่า
บุคคลทั้งหลาย ย่อมมีความตระหนี่เป็นนิสสัยสันดานด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันแต่ว่ามีมากหรือน้อย การสร้างบารมีต้องทำลายความตระหนี่ให้ลดลงเสียก่อนดังนั้นจึงได้ทรงยกเอาทาน เป็นปฐมบารมี
-------------------------------------------------
พันธนาคารชาดก
เรือนจำที่แท้จริง
http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt225.php
เรือนจำ (เครื่องผูก) ที่แท้จริงของมนุษย์คือ ลูกภรรยา สามี และทรัพย์สินศฤงคาร

แด่สมณะ......ผู้เพียรละกิเลส
http://larndham.org/index.php?/topic/17560-%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA/
พระสงฆ์ คือ ผู้ที่กำลังเดินทาง เดินทางเพื่อละกิเลส พระจะต้อง ละ ออกจากความอาย หน่าย จากความมี
ละออกจากความอาย เช่น โกนหัว โกนคิ้ว ( สังเกตได้จากทิดที่สึกใหม่ ต้องใส่หมวก ก็เพราะความอาย แต่ผู้ที่เป็นพระต้องละจากความอาย )
หน่ายจากความมี คือ เป็นพระจะต้องไม่มีสมบัติพัสถาน แม้แต่เสื้อผ้า เมื่อเป็นฆารวาสมีมากมายหลายชิ้น แต่เมื่อเป็นพระก็ต้องละให้หมด จะมีไว้ใช้เพียงแค่ ๓ ชิ้นเท่านั้น คือ สบง จีวร และสังฆาฏิ
ผ้าทั้งสามผืน ที่พระพุทธองค์ทรงหยิบยื่นให้ไปไว้ในปฐพี เป็นผ้าที่พาชีวิตหนีไปจากภัยมืดทั้ง ๓ คือ ภัยอันเกิดจาก อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ฉะนั้น พระจะต้องครองผ้าเพียง ๓ ผืนเท่านั้นเพื่อจะได้ระลึกถึงว่า “ ใครผู้ใดไม่ประจักษ์ไตรลักษณ์ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นทุกข์ “ และการที่จะประจักษ์แจ้งในสิ่งเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อมีจุดเริ่มต้นจากการสอนใจตนเองโดยที่ทุกครั้งที่จะมีการครองผ้าไตรจีวรนี้ ให้ระลึกนึกเพื่อเตือนสติตนเองว่า
“ หยุดนะ....เราจะหยุดกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด....เราจะมีแต่ศีล สมาธิ และปัญญา “
ความรู้ทั้งหมดนี้ หลวงพ่อท่านเพียรพยายามปลูกฝังให้กับพระที่มาบวช โดยเฉพาะพระที่จะเป็น “พระพี่เลี้ยง “ หรือ “ พระคู่สวด “ ควรมีความรู้เหล่านี้เพื่อถ่ายทอดให้แก่พระที่มาบวชใหม่ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระที่ท่านบวชไปนั้นก็มีอันต้องสึกออกไป ส่วนพระที่มีอยู่นั้น เวลาของการบวชก็ไม่เอื้ออำนวยให้ เพราะในเทศกาลก่อนการเข้าพรรษาจะมีผู้ที่มาบวชมากมาย
หลวงพ่อเล่าว่า สมัยก่อนวันหนึ่งท่านจะบวชให้เพียงรูปเดียวเพื่อที่จะมีเวลาให้อารมณ์แก่พระใหม่ได้อย่างเต็มที่ เริ่มตั้งแต่การมาขอบวช ท่านจะพูดคุยทั้งพ่อแม่ และผู้ที่จะบวชว่า
“ ท่านไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านสิ้นสุดจากการมีตระกูล ยกตระกูลของตนเองออกจากความรู้สึก “
และเมื่อผู้ที่มาขอบวชยกผ้าไตรจีวรที่อยู่บนพานขึ้นมา ท่านจะบอกให้เขาทำความรู้สึกว่า
“ ขณะนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ตระกูลโคตรมะ “
เพราะท่านถือหลักว่า การเป็นพระ ต้องเป็นผู้ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน ขณะที่เป็นพระ ต้องไม่มีบ้าน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ.....
พระจะต้องมี พระพุทธเจ้า เป็นพ่อ
พระจะต้องมี พระธรรม เป็นนาย
พระจะต้องมี พระวินัย เป็นกรอบ
และพระจะต้องมี กิจเพื่อเดินทางสู่ความพ้นทุกข์....เท่านั้น
เมื่อท่านรับผ้าไตรจีวรนั้นและนำออกมา ท่านจะอธิบายให้แก่ผู้ที่มาบวชใหม่ทราบถึงความหมาย ที่มา และการใช้ผ้าสามผืน ตลอดจนความนึกคิดที่ควรจะกระทำ
ในวันบวช....พระพี่เลี้ยงจะต้องเป็นผู้ให้อารมณ์ โดยเริ่มจากพาพ่อนาคไปหลังพระประธานเพราะ “ คนหลังพระ “ คือคนที่ไม่รู้ธรรมะ เพื่อเป็นเคล็ดว่า ไปเพื่อทิ้งชีวิตที่ไม่รู้เรื่อง อันเป็นชีวิตทางโลกออกไป
จากนั้นพระพี่เลี้ยงจะถามว่า “ ท่านพร้อมที่จะออกจากตระกูลเก่าหรือไม่ “
เมื่อพ่อนาคตอบรับ พระพี่เลี้ยงทั้งสองก็จะนำผ้าเหลือง (สบง) มากางออก โดยจับไว้คนละมุมและยืนหันหลังชนกับพ่อนาค พร้อมกล่าวว่า
“ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ขอถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในการช่วยดำรงจากคน ให้เป็นพระ ทางเพื่อละกิเลส “
ผมวางแผนไว้ว่าเมื่อถึงวันที่พ่อและแม่ ของผม ท่านสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้แล้ว และผมได้จบภาระทางโลก ผมจะไปบวชครับ นั่นคือผมต้องละทางโลก ไม่มีตัวตน ไม่ยึดติดว่า นั้นคือพ่อ คือแม่ คือตัวตนของเราใช่ไหมครับ? ตัดขาดจากทางโลกไปเลยใช่ไหมครับ ?
สาธุครับ จขกท ที่จะสร้างบารมี ที่ทำได้ยากที่สุด คือเนกขัมมบารมี
ผมว่าช่วงนี้ตั้งใจเรียน ทำทาน รักษาศีล ฝึกเจริญภาวนา ดูแลพ่อแม่ก่อน จบแล้วมีงานทำ อาจจะบวชตามประเพณีดูใจตัวเองก่อน
อนึ่ง อย่าพึ่งไปติดเรือนจำชีวิตที่แท้จริง ก่อนเสียล่ะ
แสดงความคิดเห็น
ถามเรื่องการบวชหน่อยครับ