แล้วแม่ชีที่โกนหัวบวช บวชมาห้าปีสิบปีแล้ว
ตามหลักปกติ เราแค่ยกมือไหว้ ไม่ต้องก้มลงกราบสามครั้งแบบกราบพระสงฆ์ ถูกต้องไหมครับ?
พุทธบริษัทคือผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม จึงจะเป็นพุทธบริษัท เพระฉะนั้น ก็มีพุทธบริษัทฝ่ายบรรพชิตคือภิกษุ แต่ในสมัยพุทธกาลก็มีภิกษุณีด้วย เพราะเหตุว่า แม้ผู้หญิงที่ได้สะสมมาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ มีในสมัยนั้น จึงทรงอนุญาตให้ผู้หญิงได้บวชเป็นภิกษุณี
แต่ก็ทรงเห็นว่า จะไม่ทำให้พระศาสนายั่งยืน จึงทรงบัญญัติข้อจำกัดต่างๆ ที่จะทำให้ภิกษุณีค่อยๆ หมดไปเพราะว่า แม้ว่าไม่ใช่ภิกษุณี ผู้หญิงก็สามารถ
ที่จะฟังธรรมะ เข้าใจธรรมะ รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบันได้ แม่ชีก็คืออุบาสิกาซึ่งอยากจะไม่ครองเรือน แล้วก็อยากจะรักษาศีล ที่ผิดก็คือว่า
ทุกคนควรจะมีอิสระที่จะประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย จะ(มีศีล) ๕ บ้าง ๖ บ้าง อะไรบ้าง ก็แล้วแต่อัธยาศัย ซึ่งการขัดเกลา ละคลายกิเลส
ไม่จำเป็นต้องบอกใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ไปเรียกร้องสถานะหนึ่ง สถานะใด เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ตนเองก็เข้าใจผิดว่าเป็นนักบวช
ก็พยายามจะมีกฏเกณฑ์ตามพระภิกษุ ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ภิกษุ จะตั้งกฏเกณฑ์อย่างไร ก็ไม่ใช่บรรพชิตหรือว่าพุทธบริษัทที่เป็นฝ่ายบรรพชิต เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจถูกก็จะไม่มีการไปทำให้ผิดพระวินัย โดยการไปให้พระภิกษุมาบวชให้ ก็ไม่ใช่หน้ารที่ของภิกษุ ที่จะไปบวช
เพราะเหตุว่าบวช ต้องเป็นบรรพชิต ไม่ใช่ว่าคฤหัสถ์ที่เพียงรักษาศีล ทุกอย่าง เป็นการคลาดเคลื่อนจากการที่ไม่ได้เข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง
แม่ชี คืออุบาสิกา คนธรรมดาทั่วไป แม่ชี ไม่ใช่นักบวช ทำไมถึงเรียกว่า บวชชี
ตามหลักปกติ เราแค่ยกมือไหว้ ไม่ต้องก้มลงกราบสามครั้งแบบกราบพระสงฆ์ ถูกต้องไหมครับ?
พุทธบริษัทคือผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม จึงจะเป็นพุทธบริษัท เพระฉะนั้น ก็มีพุทธบริษัทฝ่ายบรรพชิตคือภิกษุ แต่ในสมัยพุทธกาลก็มีภิกษุณีด้วย เพราะเหตุว่า แม้ผู้หญิงที่ได้สะสมมาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ มีในสมัยนั้น จึงทรงอนุญาตให้ผู้หญิงได้บวชเป็นภิกษุณี
แต่ก็ทรงเห็นว่า จะไม่ทำให้พระศาสนายั่งยืน จึงทรงบัญญัติข้อจำกัดต่างๆ ที่จะทำให้ภิกษุณีค่อยๆ หมดไปเพราะว่า แม้ว่าไม่ใช่ภิกษุณี ผู้หญิงก็สามารถ
ที่จะฟังธรรมะ เข้าใจธรรมะ รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบันได้ แม่ชีก็คืออุบาสิกาซึ่งอยากจะไม่ครองเรือน แล้วก็อยากจะรักษาศีล ที่ผิดก็คือว่า
ทุกคนควรจะมีอิสระที่จะประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย จะ(มีศีล) ๕ บ้าง ๖ บ้าง อะไรบ้าง ก็แล้วแต่อัธยาศัย ซึ่งการขัดเกลา ละคลายกิเลส
ไม่จำเป็นต้องบอกใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ไปเรียกร้องสถานะหนึ่ง สถานะใด เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ตนเองก็เข้าใจผิดว่าเป็นนักบวช
ก็พยายามจะมีกฏเกณฑ์ตามพระภิกษุ ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ภิกษุ จะตั้งกฏเกณฑ์อย่างไร ก็ไม่ใช่บรรพชิตหรือว่าพุทธบริษัทที่เป็นฝ่ายบรรพชิต เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจถูกก็จะไม่มีการไปทำให้ผิดพระวินัย โดยการไปให้พระภิกษุมาบวชให้ ก็ไม่ใช่หน้ารที่ของภิกษุ ที่จะไปบวช
เพราะเหตุว่าบวช ต้องเป็นบรรพชิต ไม่ใช่ว่าคฤหัสถ์ที่เพียงรักษาศีล ทุกอย่าง เป็นการคลาดเคลื่อนจากการที่ไม่ได้เข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง