สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิก Pantip ทุกคน
วันนี้เจมส์จะมารีวิว
เซรั่มวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวที่ส่วนผสมดีมากๆตัวนึง
บอกได้คำเดียวครับว่า " หลอดเดียวจบ " เป็นทั้ง Whitening ,Anti-Aging และ Anti-Wrinkle
เชื่อว่าเพื่อนๆคงเห็นผลิตภัณฑ์ตัวนี้ กันมาบ้างแล้ว
นั่นคือ เซรั่ม
Brightage C จากแบรนด์
KENE นั่นเองครับ
ก่อนที่เจมส์จะพูดถึงตัวเซรั่ม เจมส์อยากจะพูดถึงแบรนด์ KENE กันซะนิดนึงครับ
KENE เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแนวเวชสำอาง ออกไปทางการแพทย์ มี concept คือ innovative skin solution คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการจัดการปัญหาผิว คือเป็น skin solution ไม่ใช่แค่ skin care หรือการดูแลผิวโดยทั่วไป แต่จะเน้นการดูแลผิวโดยใช้ส่วนผสมและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มีหลักฐานงานวิจัยรองรับ และเลือกใช้ส่วนผสมที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูง
เจมส์ว่าเป็นอีกแบรนด์ที่น่าจับตามองจริงๆครับ
" KENE - Brightage C Line & Radiance Corrector "
ซึ่งเจมส์จะบอกว่า นี่คือเซรั่มวิตามิน C ที่เข้มข้น และดีมากๆๆๆๆๆๆๆ
มากที่สุด มากจริงๆ สมกับคำร่ำลือ ของหลายๆคนครับ
ส่วนผสมหลักๆของเซรั่มนี้ประกอบด้วย vitamin C ที่มากถึง 12 % + Peptide 5 %
แล้วพ่วงมาด้วยด้วยผสมอีกหลายๆตัวที่ไปเสริม vitamin C และ peptide ให้มีประสิทธืภาพมากขึ้น
ถ้าวิเคราะห์ส่วนผสมแล้วเจมส์ว่าเซรั่มตัวนี้จะไปจัดการกับ 2 ปัญหาหลักๆคือ
---> ปัญหาการสูญเสียคอลลาเจนทั้งหลาย เช่น ริ้วรอย ผิวไม่เรียบเนียน ผิวไม่เต่งตึง ขาดความยืดหยุ่น ปัญหานี้ทั้ง Vitamin C และ Peptide จะช่วยทำงานเสริมฤทธิ์กันในการกระตุ้นการสร้าง collagen และ extracellular matrix หรือโครงสร้างค้ำจุนผิวต่างๆ
---> อีกปัญหาคือ ปัญหาของเม็ดสี ทั้งความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำแห่งวัย รอยดำจากสิวต่างๆ ซึ่งตัว VitaminC เองก็ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีลดรอยดำ โดยจะทำงานคู่กับส่วนผสมอีกตัวนึงที่เจมส์จะพูดถึงต่อไปครับ
ก่อนจะลงรายละเอียดก็ต้องบอกกันก่อนว่าเซรั่มตัวนี้จะแนวๆ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และลดจุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสไปพร้อมๆกันนั่นเอง

ก่อนอื่นเรามา Focus เรื่องวิตามิน C กันก่อนดีกว่านะครับ
หลักๆในสูตรจะมีวิตามินซีอยู่ 2 รูปแบบคือ
--->
Ascorbyl Tetraisopalmitate = 10 % (อนุพันธ์วิตามินซีรูปแบบที่เสถียรสูง ละลายในไขมัน)
--->
3-O Ethyl ascorbic acid = 2 % (อนุพันธ์วิตามินซี ที่ละลายในน้ำ)
และ ascorbic acid ที่มาท้ายๆ เจมส์เดาว่าน่าจะติดมากับส่วนผสมตัวอื่นมากกว่า
Vitamin C เป็นส่วนผสมตัวนึงที่ต้องบอกว่าเป็นตัวหลักในวงการ skin care ที่ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาเยอะมาก และเป็นส่วนผสมที่มีหลายๆคุณสมบัติ โดยคุณสมบัติหลักๆก็จะมี 5 อย่างด้วยกันคือ การต่อต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการอักเสบ และช่วยในการซ่อมแซมแผลหรือ wound healing แต่ถึงจะเป็นส่วนผสมที่ดี แต่ก็มีหลายๆปัจจัยที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ทาจริงๆหรือเปล่าเริ่มตั้งแต่
ความเข้มข้น จะเห็นว่าหลายๆตัวอาจจะบอกว่าเป็นเซรั่มวิตามินซีแต่ไม่ได้บอกความเข้มข้น ตรงนี้ก็อาจจะตกม้าตายได้เพราะ วิตามินซีเป็นส่วนผสมที่ต้องการความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงในการออกฤทธิ์ส่วนตัว เจมส์จะเลือกใช้ที่มากกว่า 10% ครับ ซึ่งสามารถคาดหวังผลได้
ส่วนเรื่องค่า pH ของวิตามินซีตัวดั้งเดิมเลยคือ ascorbic acid ซึ่งการจะใช้ได้ผลต้องมีค่า pH ที่เป็นกรดเหมาะสม เพื่อให้ส่วนผสมมี bioavailibility ที่มากพอดังนั้นหากเลือกตัว ascorbic acid ก็ต้องดูค่า pH กันนิดนึงครับ และหลังทาเราก็ควรทิ้งไว้ 15-20 นาทีเพื่อให้หน้าเรายังคง pH เป็นกรดอยู่ และการทาตัว skin care อื่นทับไปเร็วเกินไปก็อาจจะทำให้ค่า pH เปลี่ยนไปไม่เหมาะสมกับการทำงานของเจ้า ascorbic acid อีกจึงทำให้ทำงานไม่เต็มที่ก็เป็นได้
แต่ในกรณีของผลิตภัณฑ์ตัวนี้เนื่องจากรูปแบบที่เลือกใช้เป็นอนุพันธ์จึงไม่จำเป็นต้องใช้ค่า pH ที่เป็นกรด และไม่ต้องรอเวลาทำงาน จึงช่วยตัดบางปัจจัยที่ค่อนข้างยุ่งยากในการใช้งานออกไปได้ แล้วก็จะได้เรื่องความอ่อนโยนเพิ่มขึ้นมา โดยในสูตรของ KENE จะผสมระหว่างตัวที่ละลายน้ำและน้ำมัน ข้อดีก็คือเราได้จะประโยชน์ของ antioxidant ทั้งกับโครงสร้างผิวที่เป็นไขมัน และเป็นโครงสร้างที่ชอบน้ำครับ พูดมาตั้งยาวสำหรับเรื่อง Vitamin C เจมส์ให้ผ่านเลย เพราะความเข้มข้นสูง อนุพันธ์ที่ใช้เป็นรูปแบบใหม่ที่ประสิทธิภาพสูง ก็หวังผลได้ในเรื่องของริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน และเรื่องความกระจ่างใส ลดจุดด่างดำต่างๆครับ
ตอนแรกที่เจมส์เห็นผลิตภัณฑ์นี้คือ ใส่วิตามินซี มาเยอะขนาดนี้ ราคาสูงแน่ๆ 2-3 พันชัวร์
Skin care ที่ส่วนผสมดีๆ ก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายจริงไหมครับ
แต่จะบอกว่า ราคาถือว่าโอเคมากๆกับส่วนผสม
ทำให้รู้สึกคุ้มค่ามากๆ ตรงจุดนี้เอาใจเจมส์ไปเลยเต็มๆครับ


มาดูกันที่ Packaging กันบ้าง
ผลิตภัณฑ์เป็นหลอดบีบยาวๆ ซึ่งถือว่าดีครับ ป้องกันอากาศที่จะไปสัมผัสกับเนื้อเซรั่มได้ดี
แล้วการที่เป็นหลอดบีบ ทำให้เราควบคุมปริมาณในการใช้ได้ดีกว่าแบบขวดปั้มด้วยครับ
(เพราะวิตามินซีโดยปกติแล้วเสื่อมสภาพได้ง่าย แค่โดนอากาศสัมผัสบ่อยเข้า วิตามินซีในครีมก็จะเสื่อมได้แล้วครับ ดังนั้นบรรจุภัณฑ์แบบนี้ถือว่า ผ่านครับ)

ในส่วนของเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ เนื้อเซรั่ม
เป็นเนื้อที่ค่อนข้างกึ่งเหลว ทำให้เกลี่ยง่ายมากๆ

เนื้อเซรั่มให้ความชุ่มชื่นผิวได้ดี ในทันทีที่เกลี่ยทั่วบริเวณเสร็จ ผิวจะชุ่มชื่นขึ้นอย่างมาก
แต่พอผ่านไปสักพัก พอเซรั่ม set ตัว กลับไม่เหนียวเหนอะหนะ กลับสบายผิวอย่างไม่น่าเชื่อ
ตรงจุดนี้ทำให้ผมชอบเซรั่มตัวนี้มากๆเลยครับ
ประสบการณ์จากการใช้จริง :
ต้องบอกว่าเจมส์ชอบเซรั่มตัวนี้มากๆ เจมส์ทาเช้า-เย็น ทุกวันจริงๆ จนตอนนี้หมดหลอดแล้ว ซึ่งทำให้เจมส์เห็นผลที่ชัดเจนมากๆ ที่เห็นชัดๆเลย คือ ผิวที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผิวฟูขึ้น ผิวแน่นขึ้น ผิวหน้าโดยรวมกระจ่างขึ้น ไม่ดูโทรมแบบแต่ก่อน มันอมชมพูมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จุดด่างดำต่างๆแลดูจางลงครับ ที่สำคัญตอนทาคือไม่แสบ ไม่ร้อนเลย สบายผิวปกติครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยลองใช้วิตามินซียี่ห้อนึง 10.5 % ซึ่งทาแล้วก็รู้สึกอุ่นๆ แอบแสบนิดๆตอนมีแผลสิว เลยทำให้เลิกทาไป แต่ เซรั่ม Brightage C ตัวนี้ไม่รู้สึกเลย ดีใจมากๆ รู้สึกหน้าค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
ปล. เจมส์ได้เก็บภาพ ก่อน-หลัง ใช้ช่วง 14 วันแรกด้วยครับไปดูผลลัพธ์กันดีกว่า

อย่างแรกเลย รูปข้างบนด้านซ้ายคือยังไม่ได้ใช้ จะแลดูหมองๆไม่สดใส ผิวดูไม่เรียบเนียน , แต่ !!! พอใช้เซรั่มเช้า-เย็น ผ่านไป 14 วัน ผิวที่ได้คือ แลดูนุ่มนวลขึ้น แลดูเรียบกว่า ผิวฟูขึ้น กระจ่างขึ้น จุดสิว/รอยสิวข้างๆจมูกก็แลดูดีขึ้นครับ
ส่วนรูปข้างล่าง ก่อนใช้จะเห็นเลยว่าหน้าปรุๆ เห็นรูขุมขนชัดเจนกว่า ผ่านไป 14 วัน รูขุมขนแลดูกระชับขึ้น ผิวโดยรวมละเอียดขึ้น ดูนุ่มนวลน่าสัมผัสกว่า
ที่สำคัญถ้าเพื่อนๆสังเกตโทนสีผิว จะเห็นเลยว่า ผิวจะเริ่มมีสีโทนชมพูมากขึ้น ดูมีสุขภาพดีมากขึ้นนั่นเองครับ

พอลองดูภาพโดยรวม แบบหน้าตรงดู จะเห็นเลยว่า
ด้านขวามือที่ใช้เซรั่ม Brightage C มา 14 วันนั้น รอยคล้ำใต้ตาแลดูเบลอๆกว่า ผิวโดยรวมแลดูฟู นุ่ม ขึ้น แลดูกระจ่างใสอมชมพูกว่าเพียงเล็กน้อย และแลดูผิวจะเรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
------------------------------------------------
เราเห็นผลลัพธ์จากการใช้กันแล้ว
คราวนี้มาดูส่วนผสมกันบ้างดีกว่าครับ
--------------- to be continued ---------------
จะกลับมาต่อกันที่วิเคราะห์ส่วนผสมทางเครื่องสำอางกันนะครับ
การรีวิวในครั้งนี้ Base on ความเห็นส่วนตัว + ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง
สุดท้ายแล้วผมไม่ทราบได้นะครับ ว่าสิ่งนี้เหมาะกับทุกคนไหม ใช้แล้วจะแพ้ไหม ผลลัพธ์ในการใช้จะเหมือนกับผมรึเปล่า
ผมไม่สามารถตอบได้จริงๆครับ เพราะผิวของแต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน อยากให้ลองทดสอบและทดลองก่อนใช้ด้วยตัวเองนะครับ
และการวิเคราะห์ส่วนผสมเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวในการวิเคราะห์ ไม่ได้ชี้นำว่าทุกอย่างถูกหรือผิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนนะครับ
ขอบคุณครับ
Disclaimer : Sponsored Item by KENE Innovative Skin Solution
Thank You ~* xoxo
เพื่อนๆสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามกับผมเพิ่มเติมได้ที่ >>
https://www.facebook.com/jamesbaddude
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ช่องทางที่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ KENE
ทางเพจและทาง website ของ KENE / Konvy.com / ร้าน EVEANDBOY ทุกสาขา
สอบถามและขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/KeneThailand
LINE : @kene
Email : order@kene.co.th
https://kene.co.th/
สามารถติดต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน และติดตามผ่านทางช่องทางข้างล่างได้นะครับ
★ Blog ★ : https://jamesbadbitch.wordpress.com
♔ Facebook ♔ : https://www.facebook.com/jamesbaddude
♕ E-mail ♕ : jamesbadb.tch@gmail.com
For Work ● Line ● : james_badbitch
ติดต่อผ่านหลังไมค์ / inbox ก็ได้นะครับ
[SR] วิเคราะห์ส่วนผสมและรีวิว | ✱ KENE ✱ | Brightage C เซรั่มวิตามินซี 12% เข้มข้น เด็ดดวง ส่วนผสมดีๆอัดแน่นครบ หลอดเดียวจบ
วันนี้เจมส์จะมารีวิว เซรั่มวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวที่ส่วนผสมดีมากๆตัวนึง
บอกได้คำเดียวครับว่า " หลอดเดียวจบ " เป็นทั้ง Whitening ,Anti-Aging และ Anti-Wrinkle
เชื่อว่าเพื่อนๆคงเห็นผลิตภัณฑ์ตัวนี้ กันมาบ้างแล้ว
นั่นคือ เซรั่ม Brightage C จากแบรนด์ KENE นั่นเองครับ
ก่อนที่เจมส์จะพูดถึงตัวเซรั่ม เจมส์อยากจะพูดถึงแบรนด์ KENE กันซะนิดนึงครับ
KENE เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแนวเวชสำอาง ออกไปทางการแพทย์ มี concept คือ innovative skin solution คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นการจัดการปัญหาผิว คือเป็น skin solution ไม่ใช่แค่ skin care หรือการดูแลผิวโดยทั่วไป แต่จะเน้นการดูแลผิวโดยใช้ส่วนผสมและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มีหลักฐานงานวิจัยรองรับ และเลือกใช้ส่วนผสมที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูง
เจมส์ว่าเป็นอีกแบรนด์ที่น่าจับตามองจริงๆครับ
" KENE - Brightage C Line & Radiance Corrector "
ซึ่งเจมส์จะบอกว่า นี่คือเซรั่มวิตามิน C ที่เข้มข้น และดีมากๆๆๆๆๆๆๆ
มากที่สุด มากจริงๆ สมกับคำร่ำลือ ของหลายๆคนครับ
ส่วนผสมหลักๆของเซรั่มนี้ประกอบด้วย vitamin C ที่มากถึง 12 % + Peptide 5 %
แล้วพ่วงมาด้วยด้วยผสมอีกหลายๆตัวที่ไปเสริม vitamin C และ peptide ให้มีประสิทธืภาพมากขึ้น
ถ้าวิเคราะห์ส่วนผสมแล้วเจมส์ว่าเซรั่มตัวนี้จะไปจัดการกับ 2 ปัญหาหลักๆคือ
---> ปัญหาการสูญเสียคอลลาเจนทั้งหลาย เช่น ริ้วรอย ผิวไม่เรียบเนียน ผิวไม่เต่งตึง ขาดความยืดหยุ่น ปัญหานี้ทั้ง Vitamin C และ Peptide จะช่วยทำงานเสริมฤทธิ์กันในการกระตุ้นการสร้าง collagen และ extracellular matrix หรือโครงสร้างค้ำจุนผิวต่างๆ
---> อีกปัญหาคือ ปัญหาของเม็ดสี ทั้งความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำแห่งวัย รอยดำจากสิวต่างๆ ซึ่งตัว VitaminC เองก็ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีลดรอยดำ โดยจะทำงานคู่กับส่วนผสมอีกตัวนึงที่เจมส์จะพูดถึงต่อไปครับ
ก่อนอื่นเรามา Focus เรื่องวิตามิน C กันก่อนดีกว่านะครับ
หลักๆในสูตรจะมีวิตามินซีอยู่ 2 รูปแบบคือ
---> Ascorbyl Tetraisopalmitate = 10 % (อนุพันธ์วิตามินซีรูปแบบที่เสถียรสูง ละลายในไขมัน)
---> 3-O Ethyl ascorbic acid = 2 % (อนุพันธ์วิตามินซี ที่ละลายในน้ำ)
และ ascorbic acid ที่มาท้ายๆ เจมส์เดาว่าน่าจะติดมากับส่วนผสมตัวอื่นมากกว่า
Vitamin C เป็นส่วนผสมตัวนึงที่ต้องบอกว่าเป็นตัวหลักในวงการ skin care ที่ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาเยอะมาก และเป็นส่วนผสมที่มีหลายๆคุณสมบัติ โดยคุณสมบัติหลักๆก็จะมี 5 อย่างด้วยกันคือ การต่อต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการอักเสบ และช่วยในการซ่อมแซมแผลหรือ wound healing แต่ถึงจะเป็นส่วนผสมที่ดี แต่ก็มีหลายๆปัจจัยที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ทาจริงๆหรือเปล่าเริ่มตั้งแต่
ความเข้มข้น จะเห็นว่าหลายๆตัวอาจจะบอกว่าเป็นเซรั่มวิตามินซีแต่ไม่ได้บอกความเข้มข้น ตรงนี้ก็อาจจะตกม้าตายได้เพราะ วิตามินซีเป็นส่วนผสมที่ต้องการความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงในการออกฤทธิ์ส่วนตัว เจมส์จะเลือกใช้ที่มากกว่า 10% ครับ ซึ่งสามารถคาดหวังผลได้
ส่วนเรื่องค่า pH ของวิตามินซีตัวดั้งเดิมเลยคือ ascorbic acid ซึ่งการจะใช้ได้ผลต้องมีค่า pH ที่เป็นกรดเหมาะสม เพื่อให้ส่วนผสมมี bioavailibility ที่มากพอดังนั้นหากเลือกตัว ascorbic acid ก็ต้องดูค่า pH กันนิดนึงครับ และหลังทาเราก็ควรทิ้งไว้ 15-20 นาทีเพื่อให้หน้าเรายังคง pH เป็นกรดอยู่ และการทาตัว skin care อื่นทับไปเร็วเกินไปก็อาจจะทำให้ค่า pH เปลี่ยนไปไม่เหมาะสมกับการทำงานของเจ้า ascorbic acid อีกจึงทำให้ทำงานไม่เต็มที่ก็เป็นได้
แต่ในกรณีของผลิตภัณฑ์ตัวนี้เนื่องจากรูปแบบที่เลือกใช้เป็นอนุพันธ์จึงไม่จำเป็นต้องใช้ค่า pH ที่เป็นกรด และไม่ต้องรอเวลาทำงาน จึงช่วยตัดบางปัจจัยที่ค่อนข้างยุ่งยากในการใช้งานออกไปได้ แล้วก็จะได้เรื่องความอ่อนโยนเพิ่มขึ้นมา โดยในสูตรของ KENE จะผสมระหว่างตัวที่ละลายน้ำและน้ำมัน ข้อดีก็คือเราได้จะประโยชน์ของ antioxidant ทั้งกับโครงสร้างผิวที่เป็นไขมัน และเป็นโครงสร้างที่ชอบน้ำครับ พูดมาตั้งยาวสำหรับเรื่อง Vitamin C เจมส์ให้ผ่านเลย เพราะความเข้มข้นสูง อนุพันธ์ที่ใช้เป็นรูปแบบใหม่ที่ประสิทธิภาพสูง ก็หวังผลได้ในเรื่องของริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน และเรื่องความกระจ่างใส ลดจุดด่างดำต่างๆครับ
Skin care ที่ส่วนผสมดีๆ ก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายจริงไหมครับ
แต่จะบอกว่า ราคาถือว่าโอเคมากๆกับส่วนผสม
ทำให้รู้สึกคุ้มค่ามากๆ ตรงจุดนี้เอาใจเจมส์ไปเลยเต็มๆครับ
มาดูกันที่ Packaging กันบ้าง
ผลิตภัณฑ์เป็นหลอดบีบยาวๆ ซึ่งถือว่าดีครับ ป้องกันอากาศที่จะไปสัมผัสกับเนื้อเซรั่มได้ดี
แล้วการที่เป็นหลอดบีบ ทำให้เราควบคุมปริมาณในการใช้ได้ดีกว่าแบบขวดปั้มด้วยครับ
(เพราะวิตามินซีโดยปกติแล้วเสื่อมสภาพได้ง่าย แค่โดนอากาศสัมผัสบ่อยเข้า วิตามินซีในครีมก็จะเสื่อมได้แล้วครับ ดังนั้นบรรจุภัณฑ์แบบนี้ถือว่า ผ่านครับ)
ในส่วนของเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ เนื้อเซรั่ม
เป็นเนื้อที่ค่อนข้างกึ่งเหลว ทำให้เกลี่ยง่ายมากๆ
เนื้อเซรั่มให้ความชุ่มชื่นผิวได้ดี ในทันทีที่เกลี่ยทั่วบริเวณเสร็จ ผิวจะชุ่มชื่นขึ้นอย่างมาก
แต่พอผ่านไปสักพัก พอเซรั่ม set ตัว กลับไม่เหนียวเหนอะหนะ กลับสบายผิวอย่างไม่น่าเชื่อ
ตรงจุดนี้ทำให้ผมชอบเซรั่มตัวนี้มากๆเลยครับ
ประสบการณ์จากการใช้จริง :
ต้องบอกว่าเจมส์ชอบเซรั่มตัวนี้มากๆ เจมส์ทาเช้า-เย็น ทุกวันจริงๆ จนตอนนี้หมดหลอดแล้ว ซึ่งทำให้เจมส์เห็นผลที่ชัดเจนมากๆ ที่เห็นชัดๆเลย คือ ผิวที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ผิวฟูขึ้น ผิวแน่นขึ้น ผิวหน้าโดยรวมกระจ่างขึ้น ไม่ดูโทรมแบบแต่ก่อน มันอมชมพูมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จุดด่างดำต่างๆแลดูจางลงครับ ที่สำคัญตอนทาคือไม่แสบ ไม่ร้อนเลย สบายผิวปกติครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยลองใช้วิตามินซียี่ห้อนึง 10.5 % ซึ่งทาแล้วก็รู้สึกอุ่นๆ แอบแสบนิดๆตอนมีแผลสิว เลยทำให้เลิกทาไป แต่ เซรั่ม Brightage C ตัวนี้ไม่รู้สึกเลย ดีใจมากๆ รู้สึกหน้าค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
ปล. เจมส์ได้เก็บภาพ ก่อน-หลัง ใช้ช่วง 14 วันแรกด้วยครับไปดูผลลัพธ์กันดีกว่า
อย่างแรกเลย รูปข้างบนด้านซ้ายคือยังไม่ได้ใช้ จะแลดูหมองๆไม่สดใส ผิวดูไม่เรียบเนียน , แต่ !!! พอใช้เซรั่มเช้า-เย็น ผ่านไป 14 วัน ผิวที่ได้คือ แลดูนุ่มนวลขึ้น แลดูเรียบกว่า ผิวฟูขึ้น กระจ่างขึ้น จุดสิว/รอยสิวข้างๆจมูกก็แลดูดีขึ้นครับ
ส่วนรูปข้างล่าง ก่อนใช้จะเห็นเลยว่าหน้าปรุๆ เห็นรูขุมขนชัดเจนกว่า ผ่านไป 14 วัน รูขุมขนแลดูกระชับขึ้น ผิวโดยรวมละเอียดขึ้น ดูนุ่มนวลน่าสัมผัสกว่า
ที่สำคัญถ้าเพื่อนๆสังเกตโทนสีผิว จะเห็นเลยว่า ผิวจะเริ่มมีสีโทนชมพูมากขึ้น ดูมีสุขภาพดีมากขึ้นนั่นเองครับ
พอลองดูภาพโดยรวม แบบหน้าตรงดู จะเห็นเลยว่า
ด้านขวามือที่ใช้เซรั่ม Brightage C มา 14 วันนั้น รอยคล้ำใต้ตาแลดูเบลอๆกว่า ผิวโดยรวมแลดูฟู นุ่ม ขึ้น แลดูกระจ่างใสอมชมพูกว่าเพียงเล็กน้อย และแลดูผิวจะเรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
------------------------------------------------
เราเห็นผลลัพธ์จากการใช้กันแล้ว
คราวนี้มาดูส่วนผสมกันบ้างดีกว่าครับ
--------------- to be continued ---------------
จะกลับมาต่อกันที่วิเคราะห์ส่วนผสมทางเครื่องสำอางกันนะครับ
การรีวิวในครั้งนี้ Base on ความเห็นส่วนตัว + ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง
สุดท้ายแล้วผมไม่ทราบได้นะครับ ว่าสิ่งนี้เหมาะกับทุกคนไหม ใช้แล้วจะแพ้ไหม ผลลัพธ์ในการใช้จะเหมือนกับผมรึเปล่า
ผมไม่สามารถตอบได้จริงๆครับ เพราะผิวของแต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน อยากให้ลองทดสอบและทดลองก่อนใช้ด้วยตัวเองนะครับ
และการวิเคราะห์ส่วนผสมเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวในการวิเคราะห์ ไม่ได้ชี้นำว่าทุกอย่างถูกหรือผิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนนะครับ
ขอบคุณครับ
Disclaimer : Sponsored Item by KENE Innovative Skin Solution
Thank You ~* xoxo
เพื่อนๆสามารถเข้ามาพูดคุยสอบถามกับผมเพิ่มเติมได้ที่ >> https://www.facebook.com/jamesbaddude
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้