Reach for the SKY (Wooyoung Choi, Steven Dhoedt, 2015)

By Form Corleone
"ถ้าการสอบเข้ามหาลัยคือทั้งหมดของชีวิต เราจะต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง?" ภาพยนตร์สารคดีว่าด้วยเรื่องราวการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศเกาหลีใต้ ในแต่ละปีจะมีนักเรียนมัธยมปลายสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าต้องมีผู้สมหวังและคนที่ผิดหวังเป็นของคู่กัน ซึ่งอัตราส่วนของคนสมหวังจะน้อยกว่าคนผิดหวังเป็นธรรมดา เป้าหมายสูงสุดในการสอบเข้ามหา’ลัยอยู่ที่ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ คือ Seoul National University (มหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล), Korea University (โคแด) และ Yonsei University (ยอนเซ) จึงเป็นตัวย่อของ 'SKY' ตามชื่อเรื่อง นักเรียนหรือคนประเทศเกาหลีใต้ มีความเชื่อว่าการได้เข้ามหา’ลัยทั้งสามแห่งนี้ จะสามารถการันตีถึงความสำเร็จในชีวิตภายภาคหน้า รวมถึงฐานะทางสังคมที่ดีได้ เด็กนักเรียนทั้งหมดจึงต้องขยันและมุ่งมั่นในการสอบให้ติดในมหา’ลัยทั้งสามแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าบริบทของเด็กนักเรียนในเรื่องจึงไม่แตกต่างจากนักเรียนไทยที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ จุฬาฯ, มหิดล, เกษตรศาสตร์ เป็นต้น ทั้งหมดจึงนำมาซึ่งการเรียนอย่างหนักหน่วงในช่วงชีวิตวัยมัธยมปลาย ทั้งการกวดวิชาต่างๆเพื่อให้ทำข้อสอบได้คะแนนสูงมากกว่าคนอื่น ระบบการติวเพื่อสอบเข้าจึงเข้มข้นและแข่งขันกันมาก ไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก การเรียนในโรงเรียนแทบจะไม่มีประโยชน์ในการทำข้อสอบเพื่อเข้ามหา’ลัยได้เลย ซึ่งก็เหมือนโรงเรียนในประเทศเราที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กนักเรียนในการทำข้อสอบระดับชาติได้เท่ากันทุกคน ความเท่าเทียบของเด็กต่างจังหวัดและเด็กในเมืองจึงแตกต่างกันเพราะความไม่เท่ากันทางการศึกษา และข้อสอบที่ยากเกินกว่าระบบในโรงเรียนจะสอนได้ทั่วถึง

แม้ว่าความคล้ายคลึงของบริบทนักเรียนในเรื่องจะเหมือนกับนักเรียนในประเทศไทย แต่การสอบเข้าของประเทศเกาหลีใต้นั้นมีระบบที่โหดมากกว่าประเทศเราค่อนข้างเยอะ เพราะข้อสอบของประเทศเกาหลีใต้ไม่ได้ใช้คะแนนในการเทียบแบบบ้านเราทั้งหมด หรือสามารถสอบได้หลายที่ มีระบบรับตรง มีข้อสอบหลากหลายแนว หรือมีช่วงระยะเวลาสอบแต่ละวิชาหลายวันไล่เลียงกันไป ข้อดีแบบนี้ของประเทศเราคือเด็กนักเรียนสามารถเผื่อได้ว่า ถ้าสอบที่นี้ไม่ติดจะไปสอบที่ไหนต่อได้บ้าง หรือเลือกสอบหลายวิชาได้เพราะระยะเวลาในการสอบแต่ละวิชาต่างกัน แถมบางวิชายังสอบคนละวันอีกด้วย แต่สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ระบบการสอบจะมีวิชาบังคับ 3 วิชา และวิชาที่ต้องเลือกเพิ่มเติมตามที่แต่ละคณะต้องการอีก 4 วิชา เท่านั้น เรียกการสอบระดับชาตินี้ว่า 'สอบซูนึง' ความโหดหินของการสอบซูนึงก็คือ ทั้งหมดจะต้องสอบภายในวันเดียว!! นับรวมคือสอบ 7 วิชาถือเป็นอันจบสิ้นในหนึ่งปีที่เตรียมตัวกันมา จากนั้นนักเรียนต้องเอาคะแนนไปยื่นคล้ายกับระบบ 'Admission' ในบ้านเรา สุดท้ายก็รอผล ถ้าไม่ติดหลายคนมักเลือกสอบใหม่เพราะต้องการจะเข้า 3 มหา’ลัยนี้ให้ได้ สิ่งนี้ทำให้นักเรียนที่เข้าสอบเครียดมากก็คือการต้องเลือกวิชาที่จะต้องสอบเพิ่มเติมตามแต่ละคณะที่ต้องการให้ตรงกันและเพราะต้องสอบภายในวันเดียวจึงทำให้ถ้านักเรียนคนหนึ่งเลือกที่จะเรียนต่อทางด้านสายหนึ่งจะไม่สามารถเลือกอีกสายหนึ่งได้เลย เพราะทั้งหมดสอบภายในวันเดียวจบ จึงเผื่อใจไม่ได้เหมือนกับประเทศเราที่ไม่ได้ตรงนี้ก็ยังมีตรงนั้นอยู่ ดังนั้นแล้ว การสอบซูนึง จึงถือเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้เลยก็ว่าได้ ทำให้ทั้งประเทศแทบที่จะหยุดกิจกรรมต่างๆในช่วงขณะสอบ ทั้งการห้ามเครื่องบินบินขึ้นบินลงช่วงทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ รถไฟหรือรถสาธารณะต้องลดความเร็วเพื่อลดเสียงให้มากที่สุด มีการปิดถนนต่างๆ ห้ามรถใหญ่ผ่านเส้นทางในการไปสอบของนักเรียน มีตำรวจเจ้าหน้าที่คอยดูแลหรือรับส่งนักเรียนเพื่อให้ไปถึงสนามสอบทันเวลา ห้างสรรพสินค้าเปิดทำการช้ากว่าปกติ ทั้งหมดจึงเป็นภาพสะท้อนของคนในสังคมประเทศเกาหลีใต้ที่ทุกคนจนเกือบทั้งประเทศให้ความสำคัญกับวันนี้ และเป็นเสมือนวันสำคัญวันหนึ่งของประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนำพามาสู่ความกดดันที่เด็กนักเรียนคนหนึ่งต้องแบกรับเอาไว้สูงมาก การพลาดไปหนึ่งคะแนนคือการนำพาชีวิตไปสู่จุดจบเลยทีเดียว(ในมุมมองของเด็กนักเรียนเกาหลีใต้) ทำให้การถ่ายทอดเรื่องราวของสารคดีเรื่องนี้ไม่ต่างจากการนั่งดูภาวะแข่งขันที่เปรียบเสมือนสมรภูมิสงครามการแย่งชิงเก้าอี้ในการเข้าไปเรียนมหา’ลัยตามที่หวังไว้ ตลอดเวลาที่นั่งดูเราจึงรู้สึกเครียดตามไปด้วย

ข้อดีของ ‘Reach for the SKY’ คือการไม่เฉพาะเจาะจงไปที่เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังเตรียมตัวสอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวหนังยังถ่ายทอดตัวตนของเด็กนักเรียนที่รอสอบใหม่หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า 'เด็กซิ่ว' ซึ่งข้อดีของการมีเด็กนักเรียนหลายระดับนั้นทำให้การเล่าเรื่องเป็นลำดับขั้นในช่วงเริ่มแรกซึ่งเป็นการแนะนำตัวละครแต่ละตัว คือการทำให้เราสามารถรับรู้+เข้าใจพื้นฐานของตัวละครแต่ละตัวได้เป็นอย่างดีและสามารถเปรียบเทียบตัวเด็กแต่ละคนได้ และสิ่งหนึ่งที่สะท้อนในตัวเด็กซิ่ว คงไม่ใช่แค่เด็กที่สอบไม่ติดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีคำถามที่ถามตัวเองว่า 'ฉันอยากเป็นอะไร' ตามมาด้วย จนแล้วจนรอด 'ฉันก็ต้องสอบเข้าให้ได้' ไม่ว่าจะต้องเรียนอะไร ไม่ว่าจะต้องเก่งแค่ไหน ทั้งหมดไม่สำคัญเท่ากับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในกลุ่ม 'SKY' ให้ได้เท่านั้น ในส่วนของเด็กนักเรียนที่สอบครั้งแรกในชีวิต นั้นต้องเจอกับความกดดันจากพ่อแม่ ต้องเจอความกดดันของครูในโรงเรียน ต้องคอยตามว่าข้อสอบปีนี้จะเปลี่ยนไปแบบไหน หรือระบบสอบเข้าจะเป็นรูปแบบไหน จนมาพร้อมกับความเครียด+กดดัน รวมถึงภาระหน้าที่ต่างๆที่ต้องแบกรับไว้ ทั้งการเรียนในห้องเรียน และการติวในโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ รวมถึงสภาพครอบครัวที่มองคล้ายๆกับบ้านเรา ที่พ่อแม่บางคนชอบเอาลูกชาวบ้านมาคุยว่าเก่งแบบนั้น เก่งแบบนี้ มาเล่าให้ลูกตัวเองฟัง แม้กระทั่ง ซ้ำเติมลูกด้วยการบอกว่า สมัยเด็กๆเรียนเก่งกว่านี้ แต่พอโตขึ้นก็เรียนไม่เก่ง เป็นต้น ทั้งๆที่ตัวลูกเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วเหมือนกัน เด็กนักเรียนอีกหนึ่งคนที่สารคดีเลือกหยิบมาถ่ายทอด สำหรับเรานั้นน่าสนใจมากคือการที่เด็กคนนี้รอสอบใหม่และมาอยู่โรงเรียนประจำ ในที่นี้เราจะใช้คำว่า 'โรงเรียนกวดวิชาประจำ' น่าแปลกมากที่มีโรงเรียนแบบนี้อยู่ด้วย มันจึงเป็นการรวมตัวของเด็กรอสอบใหม่ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการเอาคนผิดหวังมารวมตัวกัน และยังเต็มไปด้วยสภาพของการเข้มงวดภายในโรเรียน รวมถึงสภาพแวดล้อมในการอ่านหนังสือต่างๆ การเรียกตรวจรายชื่อเหมือนเป็นนักโทษ การปลูกฝังค่านิยมแรงกระตุ้นต่อการอ่านหนังสือตามกำแพงและตามเสาต่างๆ ที่มองยังไงก็เหมือน 'เรือนจำลัทธิ' อะไรสักอย่างดีๆนี้เอง ซึ่งดูแล้วแปลกดีเหมือนกัน คิดเล่นๆว่าถ้าประเทศเรามีโรงเรียนกวดวิชาแบบนี้บ้าง คงจะมีเรื่องให้ดราม่ากันไม่เว้นสัปดาห์แน่ๆ

และนอกจากตัวสารคดีจะถ่ายทอดชีวิตของเด็กนักเรียนแล้ว ตัวหนังเองยังถ่ายทอดชีวิตติวเตอร์ที่เปรียบเสมือนผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันเด็กนักเรียนให้ไปถึงฝั่งฝันในส่วนของการทำข้อสอบให้ผ่าน ทั้งการจัดเตรียมการสอน การจัดห้องสอน หรือเบื้องหลังการบรรยายแต่ละครั้ง ทำให้เรามองเห็นมิติบางอย่างที่สะท้อนถึงค่านิยมของเด็กๆที่มองว่าติวเตอร์พวกนี้คือแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นสำหรับพวกเขา ที่สามารถชี้ไม้เป็นนกได้เลย แง่มุมหนึ่งของบุคคลเหล่านี้จึงเป็นเหมือนส่วนหนึ่งที่ช่วยค้ำจูงระบบการสอบแข่งขันแบบนี้เอาไว้ และอีกมุมหนึ่งก็เหมือนคนที่มาปลดปล่อยให้นักเรียนหลุดพ้นจากระบบเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เหรียญจึงมีสองด้านเสมอขึ้นอยู่กับมุมที่มอง แน่นอนว่าหนังสะท้อนทั้งสองมุมนี้ได้ดีมาก โดยอาศัยการเปิดเรื่องไปที่ห้องติวหนังสือ และภาพที่เด็กนักเรียนสอบติดและมาขอลายเซ็นหลังจากจบการสอบไปแล้ว หรือมาให้ดอกไม้ขอบคุณติวเตอร์ของเขาเสมือนเป็นฮีโร่ในชีวิตก็ว่าได้ การสะท้อนภาพของติวเตอร์ในเรื่องจึงเป็นอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแง่มุมของการไหว้เจ้า บนบานศาลกล่าว ที่เปรียบเสมือนทำเนียมประเพณีปฏิบัติของคนแถบประเทศเอเชียไปแล้ว เมื่อลูกๆมีหน้าที่อ่านหนังสือสอบอย่างเต็มที่ ติวเตอร์มีหน้าที่สอนให้เด็กๆทำข้อสอบให้ได้ สิ่งเดียวที่พ่อกับแม่พยายามทำก็คือ การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพื่อช่วยลูกๆในวันสอบ เป็นความตลกที่ชวนอมยิ้มแต่ก็ตลกร้ายไปพร้อมกัน

ฉะนั้นแล้ว 'Reach for the SKY' จึงเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ให้แง่มุมการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ในส่วนของการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกมิติ และเรายังสามารถตั้งคำถามต่อสิ่งที่เด็กนักเรียนในเรื่องกำลังเผชิญหน้าอยู่ ตั้งคำถามต่อระบบการศึกษาในเรื่อง และยังสามารถนำคำถามเหล่านั้นกลับมาถามประเทศของเราบ้าง ว่ามีสิ่งไหนที่เหมือนกันหรือสิ่งไหนที่ต่างกัน อย่างน้อยที่สุด งานนี้ก็ทำให้เราหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เรากำลังอ่านหนังสือเพื่อเข้าสอบในมหา’ลัยที่อยู่อันดับต้นๆของประเทศ แม้ว่าเราจะเลยช่วงเวลานั้นมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าความรู้สึกของแรงกดดันในช่วงชั้น ม.6 มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งที่ผ่านมา และมันอาจจะเป็นช่วงที่กำหนดชีวิตหลายๆอย่างได้เลย การนั่งดูภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ จึงไม่ใช่แค่การนั่งดูเหล่าเด็กนักเรียนเกาหลีใต้ตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้ามหา’ลัยเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการนั่งมองภาพสะท้อนตัวเองในอดีตที่ตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้ามหาลัยให้ได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะได้ที่เรียนตามที่เราตั้งใจไว้ แต่ถ้าเราไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ล่ะ? เส้นทางจะเป็นแบบไหน แล้วระหว่างทางที่มาถึงจุดนี้เราต้องยอมแลกกับอะไรบ้าง ยอมเสียอะไรไปบ้าง และสำหรับตอนนี้เรามาอยู่ถึงจุดไหนกันแน่ จุดที่การเข้าเรียนมหาลัยที่ดีจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนที่เราเชื่อมั่นตอนสมัยเราอยู่มัธยมปลายหรือเปล่า? ค่านิยมการเข้าเรียนมหา’ลัยที่ดีคือการตัดสินคุณค่าของชีวิตคนๆหนึ่งว่าจะ 'ดีหรือเลว' ในอนาคตได้จริงหรือ? ใครกันจะตอบได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเราคนปัจจุบันที่เป็นคนตอบคำถามนี้เสียเอง...

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนต์ครับ
ตัวอย่างหนัง

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Reach for the SKY (Wooyoung Choi, Steven Dhoedt, 2015) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"ถ้าการสอบเข้ามหาลัยคือทั้งหมดของชีวิต เราจะต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง?" ภาพยนตร์สารคดีว่าด้วยเรื่องราวการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศเกาหลีใต้ ในแต่ละปีจะมีนักเรียนมัธยมปลายสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าต้องมีผู้สมหวังและคนที่ผิดหวังเป็นของคู่กัน ซึ่งอัตราส่วนของคนสมหวังจะน้อยกว่าคนผิดหวังเป็นธรรมดา เป้าหมายสูงสุดในการสอบเข้ามหา’ลัยอยู่ที่ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ คือ Seoul National University (มหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล), Korea University (โคแด) และ Yonsei University (ยอนเซ) จึงเป็นตัวย่อของ 'SKY' ตามชื่อเรื่อง นักเรียนหรือคนประเทศเกาหลีใต้ มีความเชื่อว่าการได้เข้ามหา’ลัยทั้งสามแห่งนี้ จะสามารถการันตีถึงความสำเร็จในชีวิตภายภาคหน้า รวมถึงฐานะทางสังคมที่ดีได้ เด็กนักเรียนทั้งหมดจึงต้องขยันและมุ่งมั่นในการสอบให้ติดในมหา’ลัยทั้งสามแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าบริบทของเด็กนักเรียนในเรื่องจึงไม่แตกต่างจากนักเรียนไทยที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ จุฬาฯ, มหิดล, เกษตรศาสตร์ เป็นต้น ทั้งหมดจึงนำมาซึ่งการเรียนอย่างหนักหน่วงในช่วงชีวิตวัยมัธยมปลาย ทั้งการกวดวิชาต่างๆเพื่อให้ทำข้อสอบได้คะแนนสูงมากกว่าคนอื่น ระบบการติวเพื่อสอบเข้าจึงเข้มข้นและแข่งขันกันมาก ไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก การเรียนในโรงเรียนแทบจะไม่มีประโยชน์ในการทำข้อสอบเพื่อเข้ามหา’ลัยได้เลย ซึ่งก็เหมือนโรงเรียนในประเทศเราที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กนักเรียนในการทำข้อสอบระดับชาติได้เท่ากันทุกคน ความเท่าเทียบของเด็กต่างจังหวัดและเด็กในเมืองจึงแตกต่างกันเพราะความไม่เท่ากันทางการศึกษา และข้อสอบที่ยากเกินกว่าระบบในโรงเรียนจะสอนได้ทั่วถึง
แม้ว่าความคล้ายคลึงของบริบทนักเรียนในเรื่องจะเหมือนกับนักเรียนในประเทศไทย แต่การสอบเข้าของประเทศเกาหลีใต้นั้นมีระบบที่โหดมากกว่าประเทศเราค่อนข้างเยอะ เพราะข้อสอบของประเทศเกาหลีใต้ไม่ได้ใช้คะแนนในการเทียบแบบบ้านเราทั้งหมด หรือสามารถสอบได้หลายที่ มีระบบรับตรง มีข้อสอบหลากหลายแนว หรือมีช่วงระยะเวลาสอบแต่ละวิชาหลายวันไล่เลียงกันไป ข้อดีแบบนี้ของประเทศเราคือเด็กนักเรียนสามารถเผื่อได้ว่า ถ้าสอบที่นี้ไม่ติดจะไปสอบที่ไหนต่อได้บ้าง หรือเลือกสอบหลายวิชาได้เพราะระยะเวลาในการสอบแต่ละวิชาต่างกัน แถมบางวิชายังสอบคนละวันอีกด้วย แต่สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ระบบการสอบจะมีวิชาบังคับ 3 วิชา และวิชาที่ต้องเลือกเพิ่มเติมตามที่แต่ละคณะต้องการอีก 4 วิชา เท่านั้น เรียกการสอบระดับชาตินี้ว่า 'สอบซูนึง' ความโหดหินของการสอบซูนึงก็คือ ทั้งหมดจะต้องสอบภายในวันเดียว!! นับรวมคือสอบ 7 วิชาถือเป็นอันจบสิ้นในหนึ่งปีที่เตรียมตัวกันมา จากนั้นนักเรียนต้องเอาคะแนนไปยื่นคล้ายกับระบบ 'Admission' ในบ้านเรา สุดท้ายก็รอผล ถ้าไม่ติดหลายคนมักเลือกสอบใหม่เพราะต้องการจะเข้า 3 มหา’ลัยนี้ให้ได้ สิ่งนี้ทำให้นักเรียนที่เข้าสอบเครียดมากก็คือการต้องเลือกวิชาที่จะต้องสอบเพิ่มเติมตามแต่ละคณะที่ต้องการให้ตรงกันและเพราะต้องสอบภายในวันเดียวจึงทำให้ถ้านักเรียนคนหนึ่งเลือกที่จะเรียนต่อทางด้านสายหนึ่งจะไม่สามารถเลือกอีกสายหนึ่งได้เลย เพราะทั้งหมดสอบภายในวันเดียวจบ จึงเผื่อใจไม่ได้เหมือนกับประเทศเราที่ไม่ได้ตรงนี้ก็ยังมีตรงนั้นอยู่ ดังนั้นแล้ว การสอบซูนึง จึงถือเป็นวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้เลยก็ว่าได้ ทำให้ทั้งประเทศแทบที่จะหยุดกิจกรรมต่างๆในช่วงขณะสอบ ทั้งการห้ามเครื่องบินบินขึ้นบินลงช่วงทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ รถไฟหรือรถสาธารณะต้องลดความเร็วเพื่อลดเสียงให้มากที่สุด มีการปิดถนนต่างๆ ห้ามรถใหญ่ผ่านเส้นทางในการไปสอบของนักเรียน มีตำรวจเจ้าหน้าที่คอยดูแลหรือรับส่งนักเรียนเพื่อให้ไปถึงสนามสอบทันเวลา ห้างสรรพสินค้าเปิดทำการช้ากว่าปกติ ทั้งหมดจึงเป็นภาพสะท้อนของคนในสังคมประเทศเกาหลีใต้ที่ทุกคนจนเกือบทั้งประเทศให้ความสำคัญกับวันนี้ และเป็นเสมือนวันสำคัญวันหนึ่งของประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนำพามาสู่ความกดดันที่เด็กนักเรียนคนหนึ่งต้องแบกรับเอาไว้สูงมาก การพลาดไปหนึ่งคะแนนคือการนำพาชีวิตไปสู่จุดจบเลยทีเดียว(ในมุมมองของเด็กนักเรียนเกาหลีใต้) ทำให้การถ่ายทอดเรื่องราวของสารคดีเรื่องนี้ไม่ต่างจากการนั่งดูภาวะแข่งขันที่เปรียบเสมือนสมรภูมิสงครามการแย่งชิงเก้าอี้ในการเข้าไปเรียนมหา’ลัยตามที่หวังไว้ ตลอดเวลาที่นั่งดูเราจึงรู้สึกเครียดตามไปด้วย
ข้อดีของ ‘Reach for the SKY’ คือการไม่เฉพาะเจาะจงไปที่เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังเตรียมตัวสอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวหนังยังถ่ายทอดตัวตนของเด็กนักเรียนที่รอสอบใหม่หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า 'เด็กซิ่ว' ซึ่งข้อดีของการมีเด็กนักเรียนหลายระดับนั้นทำให้การเล่าเรื่องเป็นลำดับขั้นในช่วงเริ่มแรกซึ่งเป็นการแนะนำตัวละครแต่ละตัว คือการทำให้เราสามารถรับรู้+เข้าใจพื้นฐานของตัวละครแต่ละตัวได้เป็นอย่างดีและสามารถเปรียบเทียบตัวเด็กแต่ละคนได้ และสิ่งหนึ่งที่สะท้อนในตัวเด็กซิ่ว คงไม่ใช่แค่เด็กที่สอบไม่ติดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีคำถามที่ถามตัวเองว่า 'ฉันอยากเป็นอะไร' ตามมาด้วย จนแล้วจนรอด 'ฉันก็ต้องสอบเข้าให้ได้' ไม่ว่าจะต้องเรียนอะไร ไม่ว่าจะต้องเก่งแค่ไหน ทั้งหมดไม่สำคัญเท่ากับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในกลุ่ม 'SKY' ให้ได้เท่านั้น ในส่วนของเด็กนักเรียนที่สอบครั้งแรกในชีวิต นั้นต้องเจอกับความกดดันจากพ่อแม่ ต้องเจอความกดดันของครูในโรงเรียน ต้องคอยตามว่าข้อสอบปีนี้จะเปลี่ยนไปแบบไหน หรือระบบสอบเข้าจะเป็นรูปแบบไหน จนมาพร้อมกับความเครียด+กดดัน รวมถึงภาระหน้าที่ต่างๆที่ต้องแบกรับไว้ ทั้งการเรียนในห้องเรียน และการติวในโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ รวมถึงสภาพครอบครัวที่มองคล้ายๆกับบ้านเรา ที่พ่อแม่บางคนชอบเอาลูกชาวบ้านมาคุยว่าเก่งแบบนั้น เก่งแบบนี้ มาเล่าให้ลูกตัวเองฟัง แม้กระทั่ง ซ้ำเติมลูกด้วยการบอกว่า สมัยเด็กๆเรียนเก่งกว่านี้ แต่พอโตขึ้นก็เรียนไม่เก่ง เป็นต้น ทั้งๆที่ตัวลูกเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วเหมือนกัน เด็กนักเรียนอีกหนึ่งคนที่สารคดีเลือกหยิบมาถ่ายทอด สำหรับเรานั้นน่าสนใจมากคือการที่เด็กคนนี้รอสอบใหม่และมาอยู่โรงเรียนประจำ ในที่นี้เราจะใช้คำว่า 'โรงเรียนกวดวิชาประจำ' น่าแปลกมากที่มีโรงเรียนแบบนี้อยู่ด้วย มันจึงเป็นการรวมตัวของเด็กรอสอบใหม่ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการเอาคนผิดหวังมารวมตัวกัน และยังเต็มไปด้วยสภาพของการเข้มงวดภายในโรเรียน รวมถึงสภาพแวดล้อมในการอ่านหนังสือต่างๆ การเรียกตรวจรายชื่อเหมือนเป็นนักโทษ การปลูกฝังค่านิยมแรงกระตุ้นต่อการอ่านหนังสือตามกำแพงและตามเสาต่างๆ ที่มองยังไงก็เหมือน 'เรือนจำลัทธิ' อะไรสักอย่างดีๆนี้เอง ซึ่งดูแล้วแปลกดีเหมือนกัน คิดเล่นๆว่าถ้าประเทศเรามีโรงเรียนกวดวิชาแบบนี้บ้าง คงจะมีเรื่องให้ดราม่ากันไม่เว้นสัปดาห์แน่ๆ
และนอกจากตัวสารคดีจะถ่ายทอดชีวิตของเด็กนักเรียนแล้ว ตัวหนังเองยังถ่ายทอดชีวิตติวเตอร์ที่เปรียบเสมือนผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันเด็กนักเรียนให้ไปถึงฝั่งฝันในส่วนของการทำข้อสอบให้ผ่าน ทั้งการจัดเตรียมการสอน การจัดห้องสอน หรือเบื้องหลังการบรรยายแต่ละครั้ง ทำให้เรามองเห็นมิติบางอย่างที่สะท้อนถึงค่านิยมของเด็กๆที่มองว่าติวเตอร์พวกนี้คือแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นสำหรับพวกเขา ที่สามารถชี้ไม้เป็นนกได้เลย แง่มุมหนึ่งของบุคคลเหล่านี้จึงเป็นเหมือนส่วนหนึ่งที่ช่วยค้ำจูงระบบการสอบแข่งขันแบบนี้เอาไว้ และอีกมุมหนึ่งก็เหมือนคนที่มาปลดปล่อยให้นักเรียนหลุดพ้นจากระบบเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เหรียญจึงมีสองด้านเสมอขึ้นอยู่กับมุมที่มอง แน่นอนว่าหนังสะท้อนทั้งสองมุมนี้ได้ดีมาก โดยอาศัยการเปิดเรื่องไปที่ห้องติวหนังสือ และภาพที่เด็กนักเรียนสอบติดและมาขอลายเซ็นหลังจากจบการสอบไปแล้ว หรือมาให้ดอกไม้ขอบคุณติวเตอร์ของเขาเสมือนเป็นฮีโร่ในชีวิตก็ว่าได้ การสะท้อนภาพของติวเตอร์ในเรื่องจึงเป็นอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแง่มุมของการไหว้เจ้า บนบานศาลกล่าว ที่เปรียบเสมือนทำเนียมประเพณีปฏิบัติของคนแถบประเทศเอเชียไปแล้ว เมื่อลูกๆมีหน้าที่อ่านหนังสือสอบอย่างเต็มที่ ติวเตอร์มีหน้าที่สอนให้เด็กๆทำข้อสอบให้ได้ สิ่งเดียวที่พ่อกับแม่พยายามทำก็คือ การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพื่อช่วยลูกๆในวันสอบ เป็นความตลกที่ชวนอมยิ้มแต่ก็ตลกร้ายไปพร้อมกัน
ฉะนั้นแล้ว 'Reach for the SKY' จึงเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ให้แง่มุมการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ในส่วนของการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกมิติ และเรายังสามารถตั้งคำถามต่อสิ่งที่เด็กนักเรียนในเรื่องกำลังเผชิญหน้าอยู่ ตั้งคำถามต่อระบบการศึกษาในเรื่อง และยังสามารถนำคำถามเหล่านั้นกลับมาถามประเทศของเราบ้าง ว่ามีสิ่งไหนที่เหมือนกันหรือสิ่งไหนที่ต่างกัน อย่างน้อยที่สุด งานนี้ก็ทำให้เราหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เรากำลังอ่านหนังสือเพื่อเข้าสอบในมหา’ลัยที่อยู่อันดับต้นๆของประเทศ แม้ว่าเราจะเลยช่วงเวลานั้นมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าความรู้สึกของแรงกดดันในช่วงชั้น ม.6 มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งที่ผ่านมา และมันอาจจะเป็นช่วงที่กำหนดชีวิตหลายๆอย่างได้เลย การนั่งดูภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ จึงไม่ใช่แค่การนั่งดูเหล่าเด็กนักเรียนเกาหลีใต้ตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้ามหา’ลัยเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการนั่งมองภาพสะท้อนตัวเองในอดีตที่ตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้ามหาลัยให้ได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะได้ที่เรียนตามที่เราตั้งใจไว้ แต่ถ้าเราไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ล่ะ? เส้นทางจะเป็นแบบไหน แล้วระหว่างทางที่มาถึงจุดนี้เราต้องยอมแลกกับอะไรบ้าง ยอมเสียอะไรไปบ้าง และสำหรับตอนนี้เรามาอยู่ถึงจุดไหนกันแน่ จุดที่การเข้าเรียนมหาลัยที่ดีจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนที่เราเชื่อมั่นตอนสมัยเราอยู่มัธยมปลายหรือเปล่า? ค่านิยมการเข้าเรียนมหา’ลัยที่ดีคือการตัดสินคุณค่าของชีวิตคนๆหนึ่งว่าจะ 'ดีหรือเลว' ในอนาคตได้จริงหรือ? ใครกันจะตอบได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเราคนปัจจุบันที่เป็นคนตอบคำถามนี้เสียเอง...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนต์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/